สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 258 ไป๋จือเยี่ยน เจ้าอาจเกิดมาเป็นหมูจริง ๆ ก็ได้
- Home
- สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!
- บทที่ 258 ไป๋จือเยี่ยน เจ้าอาจเกิดมาเป็นหมูจริง ๆ ก็ได้
บทที่ 258 ไป๋จือเยี่ยน เจ้าอาจเกิดมาเป็นหมูจริง ๆ ก็ได้
บทที่ 258 ไป๋จือเยี่ยน เจ้าอาจเกิดมาเป็นหมูจริง ๆ ก็ได้
บุรุษทั้งสองออกจะแตกตื่นอยู่เล็กน้อย ด้วยไม่รู้ว่าจะปลอบชิงหลานเฟยที่ดีใจจนเสียน้ำตาอย่างไรดี
หลายอึดใจผ่านไปนางจึงสงบสติอารมณ์ลงได้ จากนั้นนางก็ส่ายหน้าหัวเราะ “ข้าไม่เป็นไรแล้ว เพียงแต่รู้สึกมีความสุขมากเท่านั้น”
ชิงเป่ยจึงคลี่ยิ้มตามนางแล้วเอ่ยว่า “หากชิงอวี่อยู่ด้วยก็ดีสิ”
ได้ยินดังนั้น ม่อจิ่งอวี้ก็เอ่ยถามขึ้นทันที “แล้วแม่หนูอยู่ไหนเสียเล่า? ทำไมถึงไม่อยู่กับเจ้า? แล้ว….. เจ้ามาอยู่ที่สำนักเซียนแพทย์ได้อย่างไร?”
ในหัวเขามีคำถามมากมายนักจนไม่รู้ว่าจะถามอย่างไรดี ไม่นานมานี้เพิ่งได้ยินมาว่าเด็กทั้งสองยังอยู่ในแดนต่ำ แต่ตอนนี้กลับมาอยู่บนแดนเมฆาสวรรค์ กระทั่งลูกชายยังมาอยู่ตรงหน้าเขานี่แล้ว
ชิงหลานเฟยเองก็อยากถามเช่นนั้น นางรีบหันมามองเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาพร้อมสายตาสอบถาม
“เรื่องมันยาว” ชิงเป่ยถอนหายใจ “เดิมทีเราก็อยู่ที่แดนมุกหยก แล้วจู่ ๆ ชิงอวี่ก็หายตัวไป ไป๋จือเยี่ยนเลยพาข้ามาแดนเมฆาสวรรค์ บอกกับข้าว่าชิงอวี่ถูกขุมอำนาจหนึ่งบนแดนเมฆาสวรรค์ลักพาตัวไป”
เมื่อได้ยินชื่อคุ้นหู ชิงหลานเฟยก็ประหลาดใจ “คนที่เจ้าว่านี่….. ใช่ประมุขน้อยสำนักเซียนแพทย์หรือไม่?”
หากนางจำไม่ผิด มีอยู่หลายครั้งด้วยกันที่ไป๋ชิวเอ่ยชื่อนั้นขึ้นมา
“นั่นล่ะท่านแม่” ชิงเป่ยพยักหน้าตอบ
ชิงหลานเฟยยิ่งคิดก็ยิ่งน่าประหลาด นางมุ่นคิ้วแน่น “แล้วเจ้าไปรู้จักกับประมุขน้อยสำนักเซียนแพทย์ได้อย่างไร?”
จะโทษนางที่สงสัยก็ไม่ได้ คนจากต่างแดนอยู่ ๆ มาเจอกัน ไม่ว่าใครก็ต้องว่าฟังดูน่าเหลือเชื่อนัก
ชิงเป่ยเข้าใจว่าเหตุใดท่านแม่จึงดูประหลาดใจ เขาหัวเราะออกมาเสียงดังยามนึกถึงเรื่องนั้น ยามเอ่ยคำก็มีสีหน้าเจ้าเล่ห์ “ท่านแม่ มันไม่เกี่ยวกับข้าเลย พวกเขาเป็นสหายของชิงอวี่ทั้งนั้ ข้าเลยรู้จักพวกเขาไปด้วย ไม่เท่านั้นนะ ข้ายังได้รู้จักกับจอมมารผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นมาร โหลวจวินเหยา ด้วย”
เป็นไปดังคาด เขาพูดจบ ใบหน้าชิงหลานเฟยก็ยิ่งประหลาดใจนัก นัยน์ตางามนางเบิกกว้างแล้วร้องขึ้น “เจ้าได้….. เจอกระทั่งเด็กคนนั้น เสี่ยวจวินน่ะหรือ?”
หากนับเวลาที่นางออกจากแดนเมฆาสวรรค์ดี ๆ นางก็ไม่ได้เห็นเขามากว่าร้อยปีแล้ว ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้จะโตขึ้นมาเป็นอย่างไรแล้ว
หลังจากนางฟื้นขึ้นมา นางก็ได้ยินเรื่องราวเขามาบ้าง รู้ว่าเด็กคนนั้นอบอุ่นขึ้น มีเมตตามากกว่าเก่า ดูท่าจะจัดการเรื่องต่าง ๆ เป็นผู้ใหญ่และสุขุมขึ้น
แม้ลูกน้องที่ทรงพลังและจงรักภักดีกับเขาสุด ๆ จะได้รับการขนานนามว่าเป็นพวกคนนอกรีตแห่งแดนเมฆาสวรรค์ นางก็เชื่อว่าเด็กหนุ่มเลือดท่วมตัวที่มีรอยยิ้มใสซื่อกระจ่างคนนั้นยังแอบซ่อนความอบอุ่นไว้ภายในโดยไม่มีใครรู้
“ตอนเราอยู่ที่แดนมุกหยก เราติดหนี้บุญคุณเขานับครั้งไม่ถ้วน เขาบอกตลอดว่าเขาเป็นคนรู้จักของท่านแม่ ดังนั้นเขาจึงเป็นห่วงพวกเรานัก” แม้ชิงเป่ยจะไม่ได้ยินดีนักที่อีกฝ่ายแย่งความสนใจบางส่วนของชิงอวี่ไปจากเขา แต่เขาก็ยังบอกไปตามตรง เผยสิ่งที่ควรจะบอก
ได้ยินดังนั้น รอยยิ้มมุมปากชิงหลานเฟยก็ลึกขึ้น “เด็กคนนั้นจริง ๆ แล้วจิตใจดี เมื่อก่อนเราเพียงพบกันชั่วเวลาสั้น ๆ เท่านั้น แต่เขาก็ยังจำความเมตตาที่ข้ามอบให้เขาได้ แล้วช่วยดูแลพวกเจ้าทั้งสองคนอย่างดี ข้าต้องอย่าลืมหาจังหวะขอบคุณเขาแล้ว”
เมื่อเห็นว่าท่านแม่มองบุรุษผู้นั้นดีมากแค่ไหน อีกทั้งยังชื่นชมไม่หยุด ชิงเป่ยก็อดรู้สึกอิจฉาน้อย ๆ ไม่ได้
เอาเถอะ อย่าเพิ่งพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับคนผู้นั้นเลยดีกว่า ไม่เช่นนั้นท่านแม่คงได้หาว่าเขาไม่รู้จักโต รอให้ท่านแม่รู้ก่อนเถอะว่าอีกฝ่ายแย่งลูกสาวนางไปแล้ว ถึงตอนนั้นจะได้รู้กันว่าอีกฝ่ายชั่วร้ายเพียงไหน
“แล้วยัยหนูอยู่ที่ไหนกันแน่?”
เห็นคนเป็นแม่กับลูกชายคุยกันมีความสุขเช่นนี้ ม่อจิ่งอวี้ก็คิดครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเอ่ยขัดขึ้น แม้เขาจะพบหน้าลูกชายแล้ว แต่เขาก็อยากเห็นหน้าลูกสาวมากกว่าเล็กน้อย อย่างไรในใจคนเป็นพ่อก็มักจะเอนเอียงไปหาองค์หญิงน้อยอันแสนน่ารักของพวกเขาอยู่มากกว่านิดหนึ่งอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ชิงเป่ยส่ายหัวตอบกลับ “ข้าไม่รู้แน่ชัด แต่โหลวจวินเหยาบอกว่าชิงอวี่ปลอดภัยดี แต่ไม่อาจออกจากสถานที่นั้นได้ชั่วคราว แม้ข้าจะไม่รู้ว่านางพยายามจะทำอะไร แต่ชิงอวี่มีไหวพริบเฉลียวฉลาดนัก เจ้าแผนการไม่น้อย นางต้องไม่เป็นไรแน่”
คำของเด็กหนุ่มนั้น ฟังดูก็รู้ว่าเชื่อใจและชื่นชมในตัวพี่สาวของเขาโดยสมบูรณ์
ม่อจิ่งอวี้คิดจะเอยคำอีก แต่คู่พ่อลูกไป๋ชิวกับไป๋จือเยี่ยนกลับรุดหน้าเข้ามาพร้อมกับศิษย์สำนักเซียนแพทย์ทั้งหลายที่ย่ำฝีเท้ากันเข้ามาดูรีบร้อนนัก พวกเขาคงจะได้ยินเสียงเอะอะเมื่อก่อนหน้านี้เช่นกัน
ไป๋จือเยี่ยนมาถึงเป็นคนแรก หากเกิดเรื่องกับชิงเป่ย ยังไม่ทันได้อธิบายก็คงถูกถีบหัวส่งออกไปแล้วกระมัง
หากเจ้าหนูมาบาดเจ็บที่นี่เข้าละก็ กลับไปโหลวจวินเหยาได้ทรมานเขาช้า ๆ จนตายแน่นอน
“เจ้าหนู ข้าหาคนมาพาเจ้าเดินแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วไปเดินถูกกับดักได้อย่างไร!?” ไป๋จือเยี่ยนถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นเด็กหนุ่มยังอยู่ครบส่วน แต่พอโล่งใจแล้วก็อดเปิดปากดุเขาไม่ได้
เจ้าหนูนี่เจ้าปัญหาพอ ๆ กับแม่นางน้อยชิงอวี่เลยเชียว!
บังเอิญนักที่ศิษย์คนที่รับหน้าที่นำทางชิงเป่ยเองก็อยู่ด้วย เมื่อได้ยินคำไป๋จือเยี่ยน เขาก็ก้มหน้ารู้สึกผิด ก่อนส่งสายตาอึดอัดไปทางชิงเป่ย
เจ้าหนูจะฟ้องหรือไม่? แต่อีกฝ่ายเป็นคนบอกให้เขาไปเองนะ……
เคราะห์ดีที่ชิงเป่ยไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มเอ่ยขึ้น “ข้าไม่ชอบให้คนตามข้าไปทั่ว อยากเดินเองมากกว่า ตอนนี้ก็ไม่เป็นไรแล้วไม่ใช่หรือ?”
“หากเกิดเรื่องขึ้น จะเสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยเสียงไม่พอใจ
ตลอดเวลานี้เขาสนใจแค่ชิงเป่ย เพิ่งเมื่อครู่นี้เองที่เห็นว่าข้างเด็กหนุ่มมีคนยืนอยู่อีกสองคน คนที่เป็นบุรุษเขาไม่เคยพบหน้า แต่สตรีตรงหน้านั้นดูคุ้นตานัก
โหลวจวินเหยาเก็บรักษาร่างเนื้อนาง ซ่อนเอาไว้บนเขาหลังแคว้นมาร ห้ามไม่ให้ใครย่างกรายเข้าไป แต่เขาเคยเห็นร่างนางอยู่หลายครั้งเพราะมีฝีมือจึงถูกขอให้ไปตรวจสภาพการฟื้นร่างของนาง
แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนางมีชีวิตอยู่ตรงหน้า เขาจึงตกใจไม่น้อย
“ท่านคือ….. อาหลาน?”
สีหน้าชิงหลานเฟยกลายเป็นประหลาดใจ “รู้จักข้าด้วยหรือ?”
เด็กคนนี้คงจะเป็นลูกอกตัญญูดื้อรั้นนอกรีตที่ไป๋ชิวเอ่ยถึง ประมุขน้อยแห่งสำนักเซียนแพทย์ ไป๋จือเยี่ยน
ไป๋ชิวตามมาถึงแทบจะในทันที อดประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงคุย ไอ้ลูกจอมเสเพลของเขารู้จักชิงหลานเฟยด้วยหรือ?
ไป๋จือเยี่ยนเลิกคิ้วดูดีขึ้นแล้วเอ่ยยิ้ม ๆ “ข้าเป็นสหายของจวินเหยา เมื่อครั้งจวินเหยาคิดรักษาร่างอาหลานเอาไว้ ข้าน่ะมีส่วนช่วยอย่างใหญ่หลวงเลยน่า? เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะจดจำอาหลานได้ แต่ต้องบอกเลยว่าอาหลานที่ลืมตาตื่นนั้นงามกว่าท่านที่นอนหลับอยู่มากทีเดียว”
ไป๋จือเยี่ยนพูดจาลื่นไหล รูปร่างหน้าตาก็ดี เป็นที่ชื่นชอบ คำทั้งหลายส่งผลให้ชิงหลานเฟยมองเขาในแง่ดีโดยพลัน
“เป็นเช่นนี้เอง จวินเอ๋อร์จิตใจดีนัก กระทั่งสหายของเขาก็จิตใจดีไม่แพ้กัน ข้าขอแสดงความขอบคุณเจ้าด้วย” ชิงหลานเฟยกล่าวพลางคลี่ยิ้มเป็นมิตรอ่อนโยนให้
“อาหลานไม่ต้องมากพิธีกับข้า จวินเหยาเล่าให้ฟังหลายครั้งว่าผู้อาวุโสปฏิบัติกับเขาดีเพียงไหน ข้าชื่นชมท่านมาก เขามีนิสัยเช่นนั้น มีแต่คำพูดท่านที่เขาพอจะฟังอยู่บ้าง”
คนสองคนที่ไม่เคยพบหน้า กลับคุยกันจ้อราวกับเป็นสหายที่ไม่ได้พบกันนาน ไม่มีใครเข้ามาแทรกได้สักนิด
ม่อจิ่งอวี้ได้ยินชื่อนั้นมาหลายครา และด้วยไป๋ชิวยืนอยู่ใกล้ ๆ พอดี เขาจึงเปิดปากถามขึ้น “คนที่ชื่อโหลวจวินเหยาเป็นใครกันแน่?”
ไป๋ชิวจึงอธิบาย “เป็นเจ้าแคว้นมารคนปัจจุบัน เขาเป็นเด็กที่ข้าช่วยเหลือมาเมื่อคราวออกเดินทางเมื่อนานมาแล้ว มีชีวิตยากลำบากนัก ทั้งบิดามารดาถูกสังหารก่อนเขาทันได้เห็นหน้าด้วยซ้ำ แต่มารดาเขาเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย นางสู้สุดใจเพื่อรักษาชีวิตลูกเอาไว้”
“ข้าจึงนำเขากลับมาด้วย เขาเติบโตขึ้นในสำนักเซียนแพทย์ จนอายุได้สิบห้าเขาก็พลันมาบอกลา ไม่บอกว่าเหตุใดจึงต้องไป หลายปีให้หลังข้าจึงรู้ว่าเขาจากไปเพื่อแก้แค้น”
“พวกคนที่สังหารบิดามารดาของเขาทั้งตระกูล กระทั่งสิงสาราสัตว์ทุกตัวก็ไม่ยกเว้น ล้างบางทั้งตระกูล ใช้เลือดล้างเลือด ด้วยกำลังของเด็กหนุ่มตัวคนเดียว กลับสังหารคนทั้งตระกูลได้แล้ว”
“หลังจากเรื่องนั้นผ่านไป เขาก็ไม่กลับมาสำนักเซียนแพทย์อีก แต่ร่อนเร่ทั่วแดนเมฆาสวรรค์อยู่หลายปี และเมื่อสถานการณ์เริ่มเกิดความโกลาหล เขาจึงก่อตั้งแคว้นมารขึ้น สะท้านสะเทือนไปทั้งแดน พวกเขารุดขึ้นมามีอำนาจเหนือกว่าขุมอำนาจทั้งหลายบนแดนเมฆาสวรรค์ กว่าร้อยปีไม่พ่ายแพ้ นับเป็นคนที่ทรงพลัง มีสติปัญญาเฉียบแหลมคนหนึ่ง”
เห็นได้ชัดว่าไป๋ชิวประเมินเขาไว้สูงทีเดียว
แม้จะไม่รู้อะไรมากนัก แต่สามารถครองอำนาจสูงสุดตั้งแต่ยังหนุ่มได้เช่นนั้น ย่อมไม่ใช่ธรรมดาเป็นแน่
อีกทั้งชื่อเสียงแย่ ๆ ของแคว้นมารก็เลื่องชื่อลือนามนัก
ในฐานะจอมมารแห่งแคว้นนอกรีต เฟยเอ๋อร์ยังกล้าบอกว่าเขามีจิตใจดีอีก นางเห็นอะไรในตัวเขากันแน่?
ม่อจิ่งอวี้รู้สึกพิศวงอยู่บ้าง
คนทั้งคู่ยังคุยกันอย่างออกรส เมื่อไป๋จือเยี่ยนรู้ว่าชิงเป่ยได้กลับมาพบหน้าบิดามารดาแล้ว อย่างไรก็เลี่ยงไม่พูดถึงชิงอวี่ไม่ได้
แต่ปากไป๋จือเยี่ยนในตอนนั้นพล่อยไปสีกหน่อย เขาคิดเอาเองว่าชิงเป่ยคงจะบอกไปทุกอย่างแล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยคำออกมาไม่ยั้งคิด “อาหลานไม่ต้องเป็นกังวล ยัยหนูชิงอวี่หัวไวนัก มีหรือนางจะถูกเอาเปรียบได้?”
“อีกทั้งจวินเหยายังเอาอกเอาใจนางราวกับเป็นแม่ทูนหัว สมัยยังอยู่แดนต่ำก็ปกป้องนางยิ่งกว่าอะไรดี แล้วตอนนี้มาอยู่บนแดนเมฆาสวรรค์ เขายิ่งไปหานางทุกคืน กว่าจะกลับก็เกือบรุ่งสาง ฮ่า ๆ ข้าว่าเขาคงทนไม่ไหว ต้องแล่นไปอุ่นเตียงอุ่นผ้าห่มให้ยัยหนูเสียกระมัง…..”
พอพูดถึงจุดนั้น เขายังหยุดหัวเราะเสียงเจ้าเล่ห์ออกมาด้วย
ชิงหลานเฟยฟังมาถึงตรงนี้ก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรไปชั่วขณะ
ทว่าม่อจิ่งอวี้นั้นหน้าทะมึนไปแล้ว “เจ้าว่าอะไรนะ? อุ่นเตียงอุ่นผ้าห่ม!?”
ไป๋จือเยี่ยนพูดเร็วไปหน่อย ชิงเป่ยแม้อยากห้ามก็ห้ามไม่ทัน ดังนั้นจึงได้แต่เขยิบร่างไปให้ไกลจากเจ้าตัวให้มากที่สุดเท่านั้น
เขาสัมผัสได้ว่าท่านพ่ออาจจะระเบิดความโกรธขึ้นมาก็เป็นได้
ทว่าไป๋จือเยี่ยนยังยืนบื้อไม่รู้ความราวกับคนโง่ ไม่รู้อ่านสถานการณ์ ยังคงประกาศความลับต่อไป “ใช่แล้ว! แล้วเขานึกว่าข้าไม่รู้ มีหรือข้าจะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร? ยัยหนูหน้าตาดีเสียขนาดนั้น ทั้งยังฉลาดมีความสามารถ เขาจะอดเอารัดเอาเปรียบเด็กสาวเช่นนางสักหน่อยได้อย่างไรกัน?”
ม่อจิ่งอวี้ได้ยินแล้วก็แทบระเบิด เขาไม่อาจทำใจรับได้ว่าลูกสาวผู้งดงามล้ำค่าของเขากลับต้องตาหมาป่าชั่วร้ายตัวใหญ่เข้า อาจถูกจับกินเมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้!
น่าขันนัก! เขาไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นเป็นอันขาด!
แม้จะติดหนี้บุญคุณที่เขาช่วยชีวิตเฟยเอ๋อร์ไว้ แต่หากเกี่ยวพันถึงลูกสาวคนสำคัญของเขาด้วยแล้ว เขาไม่มีทางถอยแน่
ชิงเป่ยเหลือบมองไป๋จือเยี่ยนที่ยังยืนไม่รู้ความด้วยหางตา มีลูกน้องน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้ ดูท่าเรื่องครองคู่ของโหลวจวินเหยากับชิงอวี่คงเป็นเรื่องยากสาหัสเอาการ