สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 26 คนหนุ่มกับดอกรักที่ผลิบาน
บทที่ 26 คนหนุ่มกับดอกรักที่ผลิบาน
“ชิ เลือดเย็นชะมัด อย่างไรเสียพวกเราก็ยังเป็นพี่น้องกันอยู่ดี!” ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเก้าอี้พูดพร้อมจิ๊ปากเบาๆ หลังจากตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ได้ก็คว้าขวดเหล้าเทลงคอในทันที
ของเหลวใสดั่งผลึกแก้วไหลตามทางลงมาจากริมฝีปากข้างหนึ่ง หยดจากคางได้รูปราวกับถูกแกะสลักมาอย่างดี ก่อนจะค่อย ๆ ไหลผ่านลำคอและไหลผ่านเข้าไปในคอเสื้อ
“อาฉือ ข้าบอกแล้วว่าช่วงนี้ให้พักการดื่มเหล้าไปก่อน!” ซวนหยวนเช่อขมวดคิ้วแน่น เอื้อมมือไปแย่งขวดเหล้ามาถือไว้
อาฉือไม่สนใจ ทำเพียงยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางก่อนจะจ้องมองไปยังซวนหยวนเช่อ “องค์รัชทายาทเจ้ากี้เจ้าการถึงเพียงนี้ตลอดเวลาเลยหรือ? มากจนถึงขั้นห้ามไม่ให้คนดื่มเหล้าเลย?”
เมื่อครู่อาจยังเห็นใบหน้าเขาไม่ชัดเจนนัก ทว่าพอเขาหันมา ก็พบว่าเป็นบุรุษหน้าตาดีมากผู้หนึ่ง นัยน์ตาที่ดูราวกับกำลังส่งยิ้มสั่นสะท้านใจคน ส่วนคิ้วเองก็ดูโก้งโค้งยั่วยวนกว่าของสตรีเสียอีก
ริมฝีปากมีเสน่ห์ส่องประกายด้วยหยาดสุราชวนให้คนลุ่มหลง มันโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย ให้กลิ่นอายชายโฉด
ซวนหยวนเช่อสติหลุดไปครู่ ก่อนนัยน์ตาจะล้ำลึกขึ้น “ได้ยินว่าเสด็จพ่อมาหาเจ้า เจ้าปฏิเสธหรือ?”
“น่าขันสิ้นดี คิดว่าอยากเจอก็เจอข้าได้หรือ คิดว่าตนเองเป็นใครกัน!?”
“ซวนหยวนฉือ เขาเป็นเสด็จพ่อของเจ้านะ!” ซวนหยวนเช่อไม่พอใจเล็กน้อย เอ่ยชื่อเต็มของบุรุษตรงหน้าออกมา
ได้ยินดังนั้นเขาก็เอานิ้วอุดหูอย่างไม่ใส่ใจ เหลือบมองซวนหยวนเช่อที่ยืนอยู่ด้านข้าง “เจ้านี่แก่จนเริ่มหลง ๆ ลืม ๆ เสียแล้วหรือ? เมื่อสิบปีก่อนเขาได้ประกาศให้ทั้งแคว้นรู้แล้วว่าเขาตัดความสัมพันธ์กับข้า! หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าไม่คิดจะมาเหยียบที่นี่ด้วยซ้ำ!”
หลังจากหยุดพักหายใจอยู่ชั่วครู่ เขาก็กล่าวต่อ “อีกอย่าง ตอนนี้ข้าคือมู่ฉือ อย่าได้เรียกชื่อข้าผิดอีกเป็นครั้งที่สอง ซวนหยวนเป็นสกุลราชวงศ์ ใครที่ใช้นามสกุลนี้ไม่ระวังอาจหัวหลุดจากบ่าได้ ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหลายปี!”
นัยน์ตาซวนหยวนเช่อพลันทะมึนลง
สองคนนี้ เดิมทีคือผู้ที่มีโอกาสสืบราชบัลลังก์ต่อจากองค์ฮ่องเต้มากที่สุด
แต่เป็นเพราะมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น ซวนหยวนฉือทำให้ฮ่องเต้ชิงหลานเกรี้ยวหนัก จึงถูกริบยศถาบรรดาศักดิ์องค์ชายทิ้ง ตัดสายสัมพันธ์พ่อลูกขาดสะบั้น
ทว่าสาเหตุที่แท้จริงเบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้
ซวนหยวนเช่อมักมีนิสัยเย็นชาไม่ใส่ใจสิ่งใดมาตั้งแต่ยังเล็ก มีเพียงซวนหยวนฉือเท่านั้นที่ชวนเขาไปเล่นด้วยกันได้ ดังนั้นทั้งสองคนจึงสนิทจนแยกออกจากกันแทบไม่ได้ในที่สุด
เหตุไม่คาดฝันครั้งนั้นเกิดขึ้นกะทันหันมากจนซวนหยวนเช่อไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ
ทว่าซวนหยวนฉือที่มีอะไรมักพูดคุยให้เขาฟังตลอด กลับไม่เคยปริปากบอกเรื่องนี้กับเขา หลังจากที่รับโทษจากในวังเรียบร้อยแล้ว เขาก็ออกจากวังไปโดยไม่ลังเล
การออกจากวังไปครั้งนั้นกินเวลายาวนานถึงสิบปีเต็ม
ซวนหยวนเช่อเพิ่งได้พบเขาเมื่อราวหนึ่งปีก่อน สองพี่น้องจึงได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
แต่ดูท่าจะมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป
มู่ฉือยังคงเป็นบุรุษเจ้าสำราญ ชอบเล่นชอบหัวเราะอยู่ดังเดิม ทว่าระหว่างคนทั้งคู่….. ดูราวกับมีบางสิ่งบางอย่างขวางกั้นอยู่ ไม่อาจสนิทสนมกันได้เช่นกาลก่อน
ซวนหยวนเช่อนั่งลงข้างเขา “เหตุใดเจ้า….. ถึงต้องไปด้วย ทิ้งพี่น้องของเจ้าไว้อย่างโหดร้ายเช่นนี้ได้ลงคอ?”
เมื่อตอนนั้น ทั้งสองสัญญากันไว้ว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องกันไม่มีวันเปลี่ยนแปลง จะไม่หันหลังให้กันเด็ดขาด
มู่ฉือยิ้ม ตบหลังไหล่ซวนหยวนเช่อ “เหตุใดจึงทำหน้าหดหู่เช่นนั้นเล่า? ใครทิ้งเจ้ากัน เจ้าบ้า? พอข้าไม่อยู่แล้วเจ้าไม่มีเพื่อนเล่นหรืออย่างไร?”
ซวนหยวนเช่อจ้องหน้าเขานิ่ง บนใบหน้าไม่มีความตลกขบขันเจืออยู่แม้เพียงนิดเดียว
เมื่อเห็นซวนหยวนเช่อทำสีหน้าเช่นนั้น มู่ฉือจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ “ก็ได้ ข้าบอกแล้วว่าเราเป็นพี่น้องกัน และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม เรื่องนั้นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการพูดถึงเรื่องในตอนนั้นมากนัก
ซวนหยวนเช่อนัยน์ตาหม่นแสงลง หากแต่ก็ไม่บังคับ อาฉือนั้นดูภายนอกเป็นคนไร้พิษภัยคนหนึ่ง ทว่าจิตใจอ่อนไหวนัก หากเขาไม่ต้องการบอก ไม่ว่าถามอย่างไรก็ไม่มีวันได้คำตอบ
“ใช่แล้ว จะว่าไปเจ้าไปบาดเจ็บมาได้อย่างไร? สภาพเจ้าดูไม่ได้เลย”
เมื่อเขาถามออกมาเช่นนั้น รอยยิ้มบนหน้ามู่ฉือพลันแข็งค้างไป สีหน้ากระอักกระอ่วนเริ่มเผยขึ้นบนใบหน้า “ข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น ข้ากับเพื่อนออกมารำลึกความหลังกัน เลยไปดื่มกันสักสองสามจอก ตอนกลับข้าดันไปเจอผู้มีฝีมือสองฝ่ายประมือกันอย่างหนักหน่วง ข้าไม่อยากแกว่งเท้าหาเสี้ยน กำลังจะเดินอ้อมไปแล้วเชียว คนพวกนั้นกลับคิดว่าข้าจะเอาเรื่องไปรายงาน จากนั้นจึงเข้าโจมตีข้าราวกับคนคลั่ง”
ซวนหยวนเช่อยิ้มก่อนกล่าว “ข้าพร่ำบอกไม่รู้กี่ครั้งว่าการดื่มเหล้ามีแต่จะนำปัญหามาให้แต่เจ้าก็ไม่ฟัง สักวันคงได้ถูกมีดแทงหลังตายไม่ทันรู้ตัว”
เพิ่งอายุได้สามขวบเท่านั้น แต่คนผู้นี้กลับแอบเข้าไปขโมยเหล้าในห้องเก็บเหล้าหลวง ดังนั้นจึงมีความทนทานต่อสุราสูงมาก พันจอกไม่เมา เรียกได้ว่าซดสุราต่างน้ำ
ได้ยินซวนหยวนเช่อกล่าวเตือนเช่นนั้น มู่ฉือยังคงนิ่งเฉย ทว่าริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ รอยยิ้มเยาะจึงแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มงาม บนใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นตื่นเต้น
ซวนหยวนเช่อเลิกคิ้ว “คิดอะไรอยู่ถึงได้ดูอารมณ์ดีเช่นนั้น?”
“หือ? เปล่า” มู่ฉือส่ายหน้ายิ้ม ๆ “เอ้อ ใช่แล้วพี่ชาย เจ้าหมั้นกับธิดาจวนหย่งอันอ๋องใช่หรือไม่? เป็นอย่างไรบ้าง? จะแต่งกันเมื่อไหร่?”
ซวนหยวนเช่อชะงักไปเล็กน้อย “เหตุใดจู่ ๆ จึงถามเช่นนั้นขึ้นมา?”
“ข้าเพียงแสดงความเป็นห่วงไงเล่า!” มู่ฉือกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความรัก “ได้ยินมาว่า เยี่ยนหนิงลั่วผู้นี้เป็นโฉมสะคราญที่หาได้ยากยิ่ง ใต้หล้านี้มีเพียงองค์หญิงเก้าแห่งหลินยวนที่สามารถทัดเทียมได้ ผู้คนมีแต่อิจฉาริษยาเจ้า”
“หากเจ้าชอบ ไม่แต่งเองเสียเลยเล่า?” ซวนหยวนเช่อพูด ริมฝีปากเหยียดเกือบเป็นเส้นตรง ก่อตัวเป็นรอยยิ้มที่มองแทบไม่เห็นขึ้น
“ไม่ล่ะ ไม่เอา เรื่องเช่นนั้นไม่มีวันเกิดขึ้น ข้าไม่มีโชคเช่นนั้น อย่างแรกข้าไม่มีเงิน อย่างที่สองข้าไม่มีอำนาจ จะให้แต่งแม่นางจากตระกูลดี ๆ หน่อยสำหรับข้าช่างยากยิ่งนัก!” มู่ฉือทำหน้าตาเศร้าสร้อยสิ้นหวัง ขมวดคิ้วมุ่นอย่างเดียวดาย
ซวนหยวนเช่ออดเตะคนข้างตัวไม่ได้ “ยังทำเป็นคนจนไม่มีเงินอีกหรือ? คิดว่าข้าไม่รู้หรือไงว่าเมื่อสองสามวันก่อนเจ้าเอาทองหนึ่งล้านตำลึงออกไปน่ะ? ทำอะไรถึงต้องใช้เงินมากเช่นนี้?”
มู่ฉือเลิกคิ้ว “เจ้าส่งคนติดตามข้าหรือ?”
“ติดตามอะไร!? ข้าเพียงมาหาเจ้าแล้วเผลอได้ยินเจ้าสั่งลูกน้องต่างหาก”
“อ้อ เป็นเช่นนั้น…..” มู่ฉือลูบคาง “ไม่มีอะไรมาก ข้าถูกพิษและบาดเจ็บ มีคนช่วยข้าไว้ เงินนั่นเป็นของแลกเปลี่ยนที่ข้าตกลงกับอีกฝ่าย”
ซวนหยวนเช่อเลิกคิ้วสูง คนผู้นี้ถูกปล้นเข้าแล้วยังไม่รู้ตัวอีกหรือ?
หนึ่งล้านเชียวนะ! ทองคำหนึ่งล้าน!
เงินมากขนาดนั้นซื้อเมืองได้ทั้งเมือง เจ้ารู้หรือไม่? เช่นนี้ไม่เป็นการปล้นกันกลางวันแสก ๆ งั้นหรือ!?
“คนที่ช่วยเจ้าไว้คือผู้ใด?” ซวนหยวนเช่อถาม คิ้วขมวดมุ่น
“เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ฮึ่ม เรื่องเช่นนี้นับเป็นการกรรโชกทรัพย์กันเห็น ๆ ทองมากถึงหนึ่งล้าน เจ้านี่ใจดีมีเมตตามากเลยกระมัง? ถึงได้ให้ไปง่าย ๆ เช่นนั้น”
“ชีวิตข้าไม่มีค่าถึงทองหนึ่งล้านตำลึงเลยหรือ?” มู่ฉือหัวเราะหยัน “อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะไปนำทองกลับมา? ในฐานะองค์รัชทายาทของแคว้น เช่นนั้นไม่ใจแคบไปหน่อยหรือ?”
ซวนหยวนเช่อหัวเราะหยันออกมาด้วยความโกรธ “เห็นเจ้าถูกหลอกเอาทองไปหนึ่งล้านเช่นนี้ ดูตัวเจ้ามีความสุขเสียเหลือเกินนะ?”
“ก็แค่ทองหนึ่งล้าน เป็นเพียงน้ำหยดลงมหาสมุทรหนึ่งหยดสำหรับข้า หึ คนพวกนั้นคิดประจบข้า จ่ายให้ข้าเท่าไหร่ก็ไม่ทันยั้งคิด อย่างไรก็ไม่ใช่เงินข้าอยู่แล้ว อะไรที่ให้ไปแล้วก็ถือว่าให้ไปแล้ว!” มู่ฉือยิ้มตาหยีจนกลายเป็นรูปจันทร์เสี้ยว ใบหน้าแย้มยิ้มใสซื่อไร้พิษภัยออกมา ราวกับเป็นน้องชายข้างบ้านผู้ว่าง่ายคนหนึ่ง
คนผู้นี้หน้าตาดี ฉลาดหลักแหลม แล้วยังมีพรสสวรรค์ด้านการบำเพ็ญเพียร
ถึงจะถูกริบยศองค์ชายไป แต่เจ้านี่ก็ยังมีอาจารย์ที่อยู่ในสำนักใหญ่หนึ่งในสามของแคว้น สำนักไร้สิ้นสุด
เขาเป็นศิษย์คนสุดท้ายที่อาจารย์รับเข้าสำนัก แล้วยังเป็นศิษย์ที่มีอายุน้อยที่สุดในหมู่ศิษย์ หน้าตาดีปากหวาน ทั้งศิษย์พี่ชายและหญิงต่างก็ชื่นชอบเขา ทว่ามีคนไม่น้อยที่ต่อสู้ฝ่าฟันทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับคำสั่งสอนจากเจ้าสำนักไร้สิ้นสุด ซึ่งก็หมายความว่ามีคนไม่น้อยที่เข้ามาเลียแข้งเลียข้าศิษย์คนโปรดของสำนัก ดังนั้นไม่ต้องจินตนาการก็รู้ได้ว่าเจ้านี่มีเงินทองใช้ไม่ขาดมือได้อย่างไร
ฉะนั้น เงินหนึ่งล้านตำลึงทองไม่นับว่ามากสำหรับเขา
ซวนหยวนเช่อถอนหายใจ รู้สึกว่าตนหมดหวังกับคนผู้นี้
“เอาล่ะ ๆ อย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นเลย รีบไปจัดการเรื่องของเจ้าเสียเถอะ ฮ้าว~ ข้าจะขอนอนต่ออีกหน่อย” มู่ฉือหาวออกมาอย่างเกียจคร้าน จากนั้นโบกมือไล่ซวนหยวนเช่อ ปีนขึ้นเก้าอี้ หันหลังให้องค์รัชทายาท จากนั้นก็หลับไป
ซวนหยวนเช่อ “….”
————————
สองสามวันที่ผ่านมา ชิงอวี่ช่วยสอนศิลปะการต่อสู้ให้ชิงเป่ย แล้วยังต้องลับสมองกับโม่หานเยียนอีก
ส่วนเหล่านายหญิงและคุณหนูทั้งหลายช่วงนี้ต่างก็ว่างมาก พากันเข้ามาเยี่ยมเยียนประตูเรือนนางเป็นระยะ จนกระทั่งนางได้มีเวลาว่างนั่นเองถึงนึกได้ว่าตนลืมสัญญาที่ว่าอีกสองสามวันนางจะไปช่วยถอนพิษออกจากร่างโหลวจวินเหยา
ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนเป็นชุดบุรุษ แปลงโฉมตนเองเล็กน้อยก่อนจะออกไปจากจวนโดยใช้ประตูด้านข้าง
หอเมฆาเคลื่อนนั้นห่างจากจวนหย่งอันอ๋องเพียงสองช่วงถนน หากจะว่าไกล ก็ไม่นับว่าไกลมากนัก ตอนนี้เกือบได้เวลาอาหารเย็น ผู้คนบนถนนจึงค่อนข้างบางตา ไม่เช่นนั้นชิงอวี่คงถูกเหล่าชาวบ้านล้อมตัวไว้ ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าผละตัวออกมาได้เป็นแน่
จริง ๆ แล้วหากนางจะแปลงโฉมตนเองให้หน้าตาน่าเกลียดสักหน่อย เช่นนั้นจะได้ไม่ดึงความสนใจจากคนภายนอกได้แล้วแท้ๆ ทว่าเรื่องเช่นนั้นมันเสียแรงมากเกินไป นางขี้เกียจ การที่ต้องแปลงโฉมจนจำใบหน้าตนเองไม่ได้นั้นนับว่าเปลืองแรงนางยิ่ง
นางเดินผ่านสองช่วงถนนมาอย่างรวดเร็ว ยามที่กำลังจะเดินเข้าตรอกที่นำไปสู่หอเมฆาเคลื่อนนั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“แม่นาง!” เป็นน้ำเสียงดูดีเสียงหนึ่งที่เจือไปด้วยรอยยิ้ม
ชิงอวี่เลิกคิ้ว คาดเดาว่าคงจะเป็นคู่รักหนุ่มสาวเรียกหากันกระมัง แสงอาทิตย์กำลังส่องแสงสวยได้ที่ คู่รักนัดพบเจอกันยามพลบค่ำเช่นนี้ อืม เป็นคนหนุ่มสาวนี่ดีเสียจริง
“แม่นาง เหตุใดจึงเมินข้าเช่นนี้?” น้ำเสียงพลันมีความเศร้าเล็ก ๆ เจือมา นางเดาอีกว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้คงจะทำให้แม่นางของเขาอารมณ์ไม่ดี คงจะกำลังเง้างอดอยู่เป็นแน่
ชิงอวี่มั่นใจว่าการคาดเดาของนางถูกต้องทุกประการ นางจึงมุ่งหน้าต่อไปไม่หวั่นไหว อืม เกือบถึงแล้ว
ที่ด้านหลังพลันมีลมหอบหนึ่งพัดวูบมา คนผู้หนึ่งพลันปรากฏตัวที่เบื้องหน้า เขาสวมชุดสีเงิน รูปร่างผอมสูง ผมสีดำใช้ผ้าสีเงินมัดไว้อย่างเรียบง่าย ดูท่าทางสดชื่นและเป็นผู้มีฝีมือคนหนึ่ง
เป็นชายหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีผู้หนึ่ง รอยยิ้มบนหน้าลวงคนให้ชอบเขาได้โดยง่าย ไม่ต้องกล่าวถึงใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น เป็นชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง
ยามคนเราเห็นของสวยของงาม อารมณ์ย่อมดีขึ้น
และชิงอวี่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ทว่าเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ไหนจะขวางทางนาง แล้วยังเรียกนางว่า….. แม่นาง เช่นนี้ย่อมไม่ดีต่อนางเท่าไหร่นัก
“คุณชายท่านนี้ เรารู้จักกันหรือ?” ชิงอวี่เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มสง่างามและอ่อนโยน
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้จะเป็นใครไปได้นอกจากมู่ฉือ?
ยามลืมตาตื่น เขาก็มาเฝ้าอยู่ที่นอกจวนหย่งอันอ๋องในทันที รออยู่นานจนกระทั่งเห็นนางเดินออกมา อย่าได้ถามว่านางปลอมตัวออกมาเช่นนี้ เหตุไรเขาถึงยังจำนางได้
นั่นเป็นเพราะ….. เขาไม่มีวันยอมรับกับใคร เมื่อครั้งที่เกือบจะคงสติไว้ไม่อยู่หลังจากถูกพิษ เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แผ่ออกมาจากเด็กสาวผู้นี้ เป็นบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกสบายใจยิ่ง ความรู้สึกเช่นนี้เขาไม่มีทางลืมลงแน่
อีกทั้งนางยังมีนัยน์ตางามที่ยากจะลืมเลือนคู่นั้น
แต่เหตุใด….. นางถึงจำเขาไม่ได้เล่า?