สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 265 เกิดมาเพื่อเป็นราชัน!
บทที่ 265 เกิดมาเพื่อเป็นราชัน!
บทที่ 265 เกิดมาเพื่อเป็นราชัน!
ชิงลั่วเยี่ยนนั้นวางใจกับชิงอวี่มาก ถึงกับย้ายเด็กสาวมาอยู่ข้างกาย ให้เป็นผู้ช่วยส่วนตัว
แต่นางก็รู้ดีกว่าเด็กสาวคนนี้ไม่ธรรมดา ดังนั้นนางจึงปฏิบัติกับอีกฝ่ายไม่เหมือนคนอื่น ดังนั้นแม้ชิงอวี่จะมีฐานะเป็นเพียงข้ารับใช้ชั้นต่ำ แต่ก็ได้รับความโปรดปรานมากกว่าใครอื่น ทำตามคำสั่งเพียงชิงลั่วเยี่ยน งดเว้นจากงานใช้แรงและงานจิปาถะทั้งหลายในอาราม
ดังนั้นผู้ช่วยหญิงคนอื่น ๆ จึงแอบริษยานางอยู่ภายใน มีหรือจะแสดงท่าทีเป็นมิตรกับนางได้?
อีกทั้งนางยังมีหน้าตาสะสวย แม้จะสวมชุดผู้ช่วยเหมือน ๆ กัน แต่ก็น่ามองนัก
ทั้งเตะตาชิงลั่วเยี่ยนทั้งมีหน้าตารูปโฉมงดงามเช่นนี้ ดูท่าสวรรค์จะลำเอียง ชื่นชอบเด็กสาวคนนี้มากไปหน่อย
“ชิงอวี่ คิดอะไรอยู่หรือ?”
น้ำเสียงอ่อนโยนน่าฟังของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นเบา ๆ ชิงอวี่จึงดึงสติกลับมาได้ “ข้าไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ”
ชิงลั่วเยี่ยนยกริมฝีปากขึ้นน้อย ๆ พลางหัวเราะเสียงเบา “งั้นหรือ? ข้าเห็นเจ้าเหมือนครุ่นคิดบางอย่างอยู่ ข้าเรียกเจ้าตั้งหลายครั้งเจ้าก็ไม่ตอบ”
นางเหม่อไปเช่นนั้นเลยหรือ?
ชิงอวี่ครุ่นคิดถึงสถานการณ์ชั่วขณะ ก่อนเอ่ยปากขึ้น “ข้าเพียงกำลังคิดว่าจอมมารนั่นมีจุดประสงค์อะไร วันนี้จึงมาที่นี่ได้”
ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือไม่ นางจึงอ้างโหลวจวินเหยามาช่วยกอบกู้สถานการณ์
ชิงลั่วเยี่ยนได้ยินก็พลันเลิกคิ้ว ดูประหลาดใจอยู่บ้าง “เจ้าดูจะสนใจจอมมารผู้นั้นอยู่บ้างนะ?”
แล้วนางก็หัวเราะราวกับเข้าใจดี “ก็ไม่แปลกที่จะสนใจ อย่างไรใคร ๆ ในแดนเมฆาสวรรค์ต่างก็สนใจในตัวเขาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรีก็ตาม”
ชิงอวี่ยืนฟังนิ่ง ๆ แต่ในใจครุ่นคิด ได้ยินคำชมออกจากปากชิงลั่วเยี่ยนเช่นนี้ ดูท่าข่าวลือที่ว่านางชอบโหลวจวินเหยาจะจริง ชิงลั่วเยี่ยนมาตกหลุมรักเช่นนี้ ไม่รู้จะว่าเป็นคำสาปหรือเป็นพรดี
พูดถึงจุดนี้ ชิงลั่วเยี่ยนก็คลี่ยิ้มหันไปหาเด็กสาว “ถึงเจ้าจะฉลาดนัก ยังมีความลับซุกซ่อนมากมาย ข้าคิดว่าเจ้าไม่อ่อนแอเปราะบางอย่างภายนอก ทว่า…… จงรู้ไว้ว่าเขาไม่ใช่คนที่เจ้าควรสนใจ อารมณ์เขาร้ายนัก กระทั่งข้ายังโดนปิดประตูใส่หน้าอยู่หลายครา!”
ชิงอวี่ยืนกะพริบตาใส พยักหน้าราวกับเข้าใจ
แต่นางไม่รู้ว่าบุรุษที่นางกล่าวว่านิสัยเสีย อย่าได้ตั้งตนเป็นศัตรูผู้นั้น เป็นคนที่แอบมาขึ้นเตียงนางอยู่ทุกคืน เกาะติดเหนียวแน่นไม่ยอมหลุดจริง ๆ
แต่ด้านนั้นมีนางที่เห็นเพียงคนเดียว
หากวันนี้พวกเขาคิดจะต้อนรับเพียงคนจากแคว้นมารเพียงอย่างเดียวก็อาจดูจงใจเกินไป
แต่ดูเหมือนนางจะเห็นคนจากขุมอำนาจอื่นอยู่ด้วย ชุดสีทองอันเป็นสัญลักษณ์ ที่อกมีเหยี่ยวทะยานดูดุร้าย ที่ไหล่มีแถบเครื่องยศ หากจำไม่ผิด มันเป็นชุดของสมาพันธ์นักล่า
แคว้นมารกับสมาพันธ์นักล่าไม่ถูกกันมาตลอด แล้วชิงลั่วเยี่ยนคิดอะไรอยู่ถึงได้เชิญคนจากสมาพันธ์นักล่ามาด้วยเช่นนี้?
แต่ก่อนที่ชิงอวี่จะได้คิดอะไร ชิงลั่วเยี่ยนก็อธิบายให้ฟังเสียก่อน
“ความแค้นระหว่างสมาพันธ์นักล่ากับแคว้นมารยาวนานมานับร้อยปี หากเจ้ามองปมออก มันเริ่มจากเมื่อครั้งที่หัวหน้าของทั้งสองฝั่งยังเด็ก คนหนุ่มเลือดร้อนสองคนเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง ทว่าตอนนี้ทั้งคู่เติบใหญ่ จิตใจมั่นคง ในฐานะที่ข้าเป็นผู้อาวุโส ข้าย่อมต้องช่วยพวกเขาคืนดีกัน”
“ได้ความเมตตาใส่ใจจากท่านเจ้าอารามเช่นนี้ พวกเขาคงซาบซึ้งต่อท่านมาก” ชิงอวี่เอ่ยยิ้ม ๆ ในดวงตามีประกายฉายขึ้นเงียบเชียบ
จู่ ๆ ชิงลั่วเยี่ยนเกิดใจดีโยไร้สาเหตุขึ้นมา คงวางแผนอะไรไว้แน่ แต่แกรงว่าโหลวจวินเหยาคงไม่รู้ แม้เขาเองจะมีแผนเช่นกัน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าชิงลั่วเยี่ยนไม่ได้นั่งรอโชคชะตานำพาอยู่เฉย ๆ นางเองก็จัดการตระเตรียมรอเขาเดินทางมาเช่นกัน
คนจากสมาพันธ์นักล่าเดินทางมาถึงอารามศักดิ์สิทธิ์ก่อนก้าวหนึ่ง จูเก่อฉงแต่ก่อนคงจะถูกกระทำไว้มาก จึงทำให้รู้สึกว่าตนด้อยกว่าคนอื่น ดังนั้นหลังจากก่อตั้งสมาพันธ์นักล่าขึ้น ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องมีขบวนใหญ่ตามหลังไปทุกเมื่อ เขาจะได้โอ้อวดตำแหน่งฐานะตนได้
จูเก่อฉงนั้นมีร่างกายสูงใหญ่ เครื่องหน้าก็ดูดี เป็นบุรุษที่มีความแกร่งและเสน่ห์อย่างบุรุษเพศ
แต่แม้จะมีท่าทางองอาจมากมายเพียงไหน เขาร่ำเรียนวิชาหมอผีที่นับเป็นวิถีนอกรีต ดังนั้นที่หว่างคิ้วจึงมีร่องรอยมืดมนหม่นหมองประดับอยู่ไม่คลาย
ชุดเขาเป็นสีทองทั้งตัว กระทั่งหยกประดับบนศีรษะก็เป็นสีทอง ราวกับว่าหลงใหลในสีอันเป็นเครื่องหมายของราชัน คงคิดว่ายิ่งทำให้ดูยิ่งใหญ่ ให้ความรู้สึกราวกับมีอำนาจแข็งแกร่งสูงสุดกระมัง
จูเก่อฉงเดินเข้ามา สองมือไขว้หลังไว้ มีคนกลุ่มใหญ่เดินตามหลังอยู่เสมอ
แต่วันนี้มีบางอย่างแปลกไป ข้าง ๆ มีคนอีกคนเพิ่มมา แม้คนผู้นั้นจะสวมชุดสมาพันธ์นักล่า แต่เห็นได้ชัดว่ามีฐานะแตกต่างจากคนอื่น ๆ
จูเก่อฉงนั้นให้ความสำคัญกับลำดับชั้นยศมาก แม้จะเป็นสหายที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาก็ยังไม่ยอมให้ข้ามเส้น ใครที่เป็นลูกน้องนั้นทำได้แต่เดินตามหลังเท่านั้น ห้ามมายืนเคียง เป็นกฎที่เขาหนักแน่นยิ่ง
การที่คนผู้นั้นยืนอยู่ข้างกายเขาได้ย่อมหมายความว่าไม่ใช่คนธรรมดา
แต่คนของสมาพันธ์เองก็ยังไม่มีใครรู้ว่าบุคคลลึกลับที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นข้างกายจูเก่อฉงเป็นใครกันแน่
“ไม่ได้พบกันนาน ท่านเจ้าอารามยิ่งงามจับจิตขึ้นทุกวัน” จูเก่อฉงเอ่ยขึ้นพลางยกยิ้มให้สตรีที่นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่
ชิงลั่วเยี่ยนยิ้มตอบพลางสะบัดผมปอยหนึ่งที่ห้อยอยู่ข้างขมับออก “หัวหน้าสมาพันธ์จูเก่อเองก็ดูองอาจไม่เปลี่ยน หลายปีผ่านไปก็มีเสน่ห์ความเป็นผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นเช่นกัน!”
รอยยิ้มจูเก่อฉงยิ่งกดลึก “ท่านเจ้าอารามชมมากไปแล้ว”
“หัวหน้าสมาพันธ์จูเก่อนั่งก่อนเถอะ?” ชิงลั่วเยี่ยนเชื้อเชิญ ทำท่ามือเชิญให้นั่ง
จูเก่อฉงนั่งลงโดยดี คนอื่น ๆ ที่ติดตามมาต่างรออยู่ด้านนอก มีแต่บุรุษที่เดินข้างกายเท่านั้นที่เดินเข้ามาด้วย ซึ่งก็นั่งลงเช่นกัน ดูท่าจะเป็นคนที่จูเก่อฉงให้ความสำคัญไม่น้อย
แต่แม้อีกฝ่ายจะมีบรรยากาศไม่ธรรมดา แต่กลับมีหน้าตาธรรมดามาก หากยืนอยู่ในหมู่คนก็คงมองข้ามไปทันที
แต่นางรู้สึกว่า….. มีตรงไหนผิดปกติอยู่
อย่างน้อยชิงอวี่ก็รู้สึกว่าคนที่เตะตานางได้คนแรกไม่ใช่จูเก่อฉง แต่กลับเป็นคนดูท่าทางธรรมดาผู้นี้ต่างหาก
เหมือนเขารู้ว่านางมอง เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองกลับมายังนาง ก่อนเขาจะหันหน้าหลบไป
ชิงอวี่เลิกคิ้วสงสัย ทำไมนางถึงรู้สึกคุ้นเคยกับคนผู้นี้แปลก ๆ? แล้วสายตาเมื่อครู่….. เห็นได้ชัดว่ามันแตะแต้มไปด้วยอารมณ์หนึ่งอย่างน่าประหลาด
“ท่านเจ้าอารามยังรอใครอื่นอีกหรือ?” จูเก่อฉงนั่งลงแล้วจึงถามขึ้น
เขารู้จากการดูที่นั่งที่จัดเอาไว้เมื่อครู่ ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่มาที่นี่ อีกคนที่มาก็คงไม่ธรรมดาเป็นแน่
ชิงลั่วเยี่ยนหัวเราะเบา ๆ นิ้วเรียวยกจอกเหล้าข้างกายขึ้นแตะริมฝีปากแดงฉ่ำแล้วจิบเข้าไปอึกหนึ่ง จากนั้นเอ่ยขึ้นช้า ๆ “อีกไม่นานก็คงถึงแล้ว”
ชิงลั่วเยี่ยนไม่ได้บอกว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ แต่ไม่รู้ทำไม จูเก่อฉงจึงรู้สึกว่าต้องเป็นคนที่เขารู้จักดีแน่นอน
เพิ่งจะคิดได้เท่านั้น ความสงสัยก็ถูกคลี่คลายลงทันที
ท้องฟ้าสีน้ำเงินด้านนอกที่เหมือนกับเพิ่งถูกทำความสะอาดมาใหม่ ๆ ถูกเงาดำขนาดใหญ่บดบังเอาไว้ จากนั้นก็เกิดเสียงร้องของปักษาตัวหนึ่งร้องก้องขึ้น ท้องฟ้าที่มืดครึ้มพลันคลายลง ก่อนที่คนหลายสิบจะปรากฏขึ้นที่หน้าห้องโถงใหญ่
จากนั้นบุรุษหนุ่มร่างสูงจึงเดินนำหน้าเข้ามาท่าทางสบาย ๆ ไม่ใส่ใจ ฝีเท้าไม่เร่งรีบ ค่อย ๆ ก้าวทีละก้าว
คนบางคน….. เกิดมาแล้วก็ไม่อาจมองข้ามได้จริง ๆ ไม่ว่าจะไปปรากฏที่ใดก็จะมีแต่คนมองตามไปทุกแห่งหน
เขาให้กลิ่นอายทรงพลังนัก เมื่อเดินเข้ามาใกล้ก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงแรงกดดัน ทำเอาศิษย์อารามศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายพากันหน้าซีดงอหลังลงเป็นท่าคำนับอย่างไม่อาจคุมตนอยู่ เข่ากลับอ่อนขึ้นมาจนเกือบจะทรุดลงคุกเข่าอยู่รอมร่อ
ชิงลั่วเยี่ยนนัยน์ตามีแววทะมึนวาดผ่าน ก่อนจะลงมือสลายแรงกดดันนั้นอย่างเงียบเชียบ จากนั้นนางจึงคลี่ยิ้มบาง “จอมมารยังทรงอำนาจเหมือนเคย แต่กลิ่นอายเช่นนี้ไม่ดีเท่าไหร่ อาจทำให้คนอื่นเห็นว่าเจ้าไม่เป็นมิตรได้!”
บุรุษที่ค่อย ๆ ย่างเข้ามามีใบหน้าไร้ที่ติ ราวกับรวมเอาความงามทั้งใต้หล้าเอาไว้ ชุดสีม่วงดูหรูหราสูงส่งตัดกับใบหน้าเนียนอย่าง ราวกับเป็นชนชั้นสูงเผ่ามารทมิฬที่เลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์มานานแล้วก็มิปาน คนเผ่านี้มีใบหน้าโดดเด่นงดงามเป็นที่สุด แต่ก็เลือดเย็นโหดเหี้ยม ทำให้คนอื่นหวาดกลัวเป็นยิ่งนัก
นัยน์ตาสีม่วงคู่งามที่นับเป็นตัวแทนของเขาค่อย ๆ กวาดตามองเข้ามายังห้องโถงใหญ่
กระทั่งจูเก่อฉงที่ตั้งตนเป็นศัตรูกันมานานเขายังมองเมินไป ใบหน้ายังคงไร้อารมณ์ แต่เมื่อพบร่างน้อยในชุดผู้ช่วยสีชมพูยืนอยู่บนแท่นสูง สตรีในใจของเขาผู้นั้น แววยิ้มอ่อนโยนเบาบางก็ปรากฏขึ้นในดวงตาแวบหนึ่ง
นัยน์ตาเรียวยาวแฉลบขึ้นของชิงอวี่มองไปด้วยความชื่นชม มองตามชายหนุ่มที่เดินเข้ามาช้า ๆ นิ่ง
หรือนางจะเห็นเขาสวมชุดธรรมดาจนชินตาเสียแล้วจึงไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนกันนะ?
ทำไมนางถึงรู้สึกว่าวันนี้อาเหยาของนางดูหล่อเหลาเป็นพิเศษเลยเล่า หล่อเหลาเสียจนนางคันมือ อยากจับมาปู้ยี่ปู้ยำเสียเหลือเกิน
นับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเขาดูจริงจังใบหน้าไร้อารมณ์มากเช่นนี้ ใบหน้าไร้รอยยิ้มทั้งยังเคร่งขรึม บรรยากาศสูงส่งกดดันของเจ้าครองแคว้นแห่งแดนเมฆาสวรรค์เช่นนี้ทำให้นางมองเขาในมุมใหม่ได้จริง ๆ
ถูกเด็กสาวจ้องตาไม่กะพริบเช่นนั้น เขาก็เกือบยั้งใจตนไม่ได้ โหลวจวินเหยาจึงได้แต่หลบตามา ต่อหน้าเจ้าตัวเล็กผู้นี้ เขาระงับใจตนเองได้ยากเหลือเกิน
หากเขายังสบตานางต่อไป มั่นใจได้เลยว่าเขาคงยั้งตัวเองไม่อยู่ ได้เปิดโปงนางเป็นแน่
ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น สีหน้าจูเก่อฉงก็เปลี่ยนไปทันที เดิมทีเขาดูมีชีวิตชีวา แต่ตอนนี้กลับเหี่ยวเฉาราวกับมะเขือถูกน้ำแข็งกัดเสียอย่างนั้น
แม้ตอนนี้เขาจะเป็นผู้นำของสมาพันธ์นักล่า มีจุดยืนเป็นของตนเองบนแดนเมฆาสวรรค์ ไม่จำเป็นต้องก้มหัวทำงานให้อีกฝ่าย ไม่ต้องเป็นขี้ข้าต่ำต้อยไร้ความสำคัญอีกแล้วก็ตาม
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย ก็ราวกับว่าเขาไม่อาจยืดตัวตรงเผชิญหน้าอีกฝ่ายได้เลย
โหลวจวินเหยานั้นมีพลังวิเศษที่ทำให้ผู้คนยอมสยบเช่นนี้ เกิดมาเพื่ออยู่บนจุดสูงส่ง มีแต่จะส่งสายตามองลงมา และแม้จะตัวคนเดียว แต่ก็ยังหยิ่งผยองดูน่าเคารพ ราวกับว่ามันควรจะต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
จูเก่อฉงเกลียดเขามาก แต่ก็ยังอดหวั่นเกรงอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี