สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 269 พบกันครั้งแรก นับว่ายอดเยี่ยม
- Home
- สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!
- บทที่ 269 พบกันครั้งแรก นับว่ายอดเยี่ยม
บทที่ 269 พบกันครั้งแรก นับว่ายอดเยี่ยม
บทที่ 269 พบกันครั้งแรก นับว่ายอดเยี่ยม
นางคิดว่าเขาคงถูกสังหารระหว่างแผนลับของชิงเทียนหลินตอนนั้นไปแล้ว
ซึ่งก็ทำให้นางนึกขึ้นได้ โหลวจวินเหยาเคยบอกนางหลายอย่าง รวมถึง….. เรื่องที่ซีจ้านเฉินเป็นคนของชิงเทียนหลินด้วย
เมื่อครั้งยังอยู่ปราการเมฆาคล้อย เขาไม่ได้อยู่กับชิงเทียนหลินเลย กระทั่งปกป้องคนรอบข้างไม่ให้ได้รับอันตรายไปด้วย
หลังจากนางตกผาไป ได้ยินว่าซีจ้านเฉินตามหานางอยู่นาน รั้งอยู่ที่ปราการเมฆาคล้อยกว่าสองอาทิตย์
ไม่คิดเลยว่าต่อมาจะได้พบหน้ากันบนแดนเมฆาสวรรค์
นางรู้ว่าเขาไม่ธรรมดา มีสายเลือดเผ่าอสรพิษ เป็นนักฆ่าชั้นเซียนแห่งแดนมุกหยก ไม่ค่อยรับภารกิจนัก แต่รับเมื่อไหร่ก็จะเป็นภารกิจระดับสูง คนอื่นไม่อาจทำได้สำเร็จ
เขาเข้าออกแดนธาราขาวได้ดั่งใจ เพราะพลังบำเพ็ญนั้นสูงกว่าดินแดนที่อยู่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะขึ้นมายังแดนเมฆาสวรรค์ได้ด้วย
โหลวจวินเหยาเคยบอกว่าจะมาแดนเมฆาสวรรค์ ต้องผ่านอุโมงค์มิติพิเศษที่ภายในมีอันตรายซุกซ่อน หากไม่แกร่งมากพอหรือใจไม่เข้มแข็งพอก็จะเอาชีวิตไปทิ้งได้
ภายในอุโมงค์มิติ มีซากศพของนักเดินทางทั้งหลายกระจัดกระจายอยู่ทั่ว เป็นเหล่าคนที่ยอมเอาตนเข้าเสี่ยงเพื่ออยากรู้ว่าแดนสูงสุดแห่งนั้นจะเป็นอย่างไร
แล้วซีจ้านเฉินมาทำอะไรที่นี่?
ในหัวชิงอวี่มีคำถามมากมาย แต่ก่อนจะได้ถาม ซีจ้านเฉินก็เอ่ยเสียงเบาออกมาก่อน “ข้าขอโทษ”
นางยืนอึ้งอยู่เช่นนั้น ไม่รู้จะตอบอย่างไร สุดท้ายก็พบว่าตนถูกชายหนุ่มกอดไว้
ชิงอวี่อยากดิ้น แต่ซีจ้านเฉินกลับปล่อยนางแล้ว น้ำเสียงยามเอ่ยติดจะแหบอยู่บ้าง “เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
พูดจบ ซีจ้านเฉินก็สวมหน้ากากหนังมนุษย์อีกครั้ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปไม่พูดอะไรอีก
ปล่อยให้ชิงอวี่ยืนมองเขาเดินจากไป นางยืนชะงักไปไม่ขยับอยู่นาน
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ในเมื่อเผยตัวตนแล้ว ทำไมถึงจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำเล่า?
หรือเพราะเขาแค่อยากพบหน้านางหรือ?
แต่ว่า….. ทำไมกัน? หรือจะมีเรื่องลำบากใจอะไรที่บอกไม่ได้กันนะ……
“เป็นคนรู้จักหรือ?” ชื่อเยว่ถาม
“อืม เป็นสหายน่ะ” ชิงอวี่หลุบตาลง ตอบเสียงเรียบ “แต่ไม่รู้ทำไมถึงไปเข้ากับสมาพันธ์นักล่าได้”
เมื่อไม่เห็นเขาแล้ว ชิงอวี่จึงละสายตามา นางกำลังจะเดินออกไป ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบคน
ร่างสูงในชุดขาวยืนอยู่เงียบเชียบ ใบหน้าหล่อเหลาสง่างาม นัยน์ตาสีแดงราวกับมีหยาดโลหิตไหลเวียนอยู่ สวยจับจิตจับใจ
เขาคือคนที่นั่งอยู่ข้างโหลวจวินเหยา ไม่รู้ว่าเขาเดินออกมาเมื่อไหร่ ไม่รู้ด้วยว่าเห็นอะไรไปบ้าง ชิงอวี่ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยกเท้าขึ้นเดินต่อ สายตาก็จับจ้องอยู่ที่เขาจนกระทั่งเดินผ่านไป
ในเมื่อเขาไม่พูด นางย่อมไม่เป็นฝ่ายเปิดปากก่อน
อย่างไรตอนนี้นางก็เป็นผู้ช่วยในอารามศักดิ์สิทธิ์ ส่วนท่าทีประหลาดของโหลวจวินเหยาก่อนหน้านั้นก็เกือบจะทำความลับแตก นางจึงไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรอีก
แต่นางเพิ่งเดินผ่านเขาไป น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาที่เจือแววสันโดษเหินห่างก็ดังขึ้นมา
“แม่นางชิงอวี่ ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว”
ชิงอวี่หยุดฝีเท้า หันกลับมามอง “เจ้ารู้จักข้าหรือ?”
ปีศาจน้อยยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ “ก่อนหน้าก็ไม่เคยรู้จัก แต่เห็นท่าทีของนายท่าน ตอนนี้จึงรู้จักแล้ว”
ชิงอวี่เลิกคิ้ว “งั้นหรือ? เขาอาจเห็นว่าข้างาม จนถูกความหลงใหลเข้าครอบงำชั่วขณะก็เป็นได้”
เหมือนจะขบขันกับคำหลงตนเองของนาง ปีศาจน้อยที่ยกยิ้มมุมปากก็พลันหัวเราะ เผยให้เห็นฟันขาวน่าดู
ถัดจากริมฝีปากคือฟันคล้ายเขี้ยวที่เห็นอยู่ราง ๆ เสียงหัวเราะไม่คิดปิดบังยิ่งทำให้เขาดูน่ารักยิ่งขึ้นไปอีก
แต่ส่วนมากเขาจะทำตัวเย็นชาอยู่ตลอด ไม่ค่อยหัวเราะจริงใจเช่นนี้ ดังนั้นภาพน่ารักน่าดูเช่นนี้จึงเห็นได้ไม่บ่อยนัก
ชิงอวี่ถูกเสียงหัวเราะดึงความสนใจไปชั่วขณะ พอตั้งสติได้ก็รู้สึกโกรธขึ้นมา นี่เขาหัวเราะนางหรือ?
เคราะห์ดีที่ปีศาจน้อยเพียงหัวเราะสั้น ๆ เท่านั้น ไม่นานก็กลับมาสงบท่าที ทว่ายามเอ่ยก็ยังมีแววขันเจือมา “หากคนอื่นมาได้ยินเจ้าพูดเข้าคงได้ถูกล้ออย่างไร้ความปรานี”
“บนแดนเมฆาสวรรค์นี้ เรื่องหน้าตานั้นมีเพียงไม่กี่คนที่จะเหนือกว่านายท่าน ใบหน้านี้นี่ล่ะที่ทำให้สตรีทั้งหลายอิจฉา เป็นบุรุษรูปงามแห่งแดน เพราะฉะนั้น…..”
ปีศาจน้อยหยุดลงเล็กน้อย “หากจะบอกว่านายท่านทำตัวสนิทสนมกับเจ้าเพียงเพราะเรื่องหน้าตา ก็คงไม่มีใครเชื่อคำเจ้า”
ชิงอวี่เม้มปากสีหน้าเฉยชา จากนั้นเอ่ยถามเสียงไร้อารมณ์ “เช่นนั้นเจ้าจะบอกว่า….. ข้าไม่คู่ควรกับคนอย่างเขาหรือ?”
“โฮ่ ๆ แม่นางล้อข้าเล่นเป็นแน่ เจ้าเป็นองค์หญิงน้อยหนึ่งเดียวของชนเผ่าหมานและอารามศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ เกรงว่าจะไม่มีใครเหมาะสมกับนายท่านมากไปกว่าแม่นางแล้ว” ปีศาจน้อยยังคงรอยยิ้มอ่อนโยนไว้ เอ่ยเสียงไม่รีบร้อน
เหมือนเขาจะไม่เห็นเลยว่าเด็กสาวเงียบงันไปดูไม่ชอบใจ ใบหน้านางดูเย็นชาอยู่บ้าง
ได้ยินดังนั้น ชิงอวี่อดสะดุ้งไม่น้อย ก่อนจะหัวเราะหึออกมา “ดูเจ้ารู้ไม่ใช่น้อยเลยนี่ เขาเป็นคนบอกหรือ?”
“ก็ไม่ได้บอกทั้งหมด นับตั้งแต่ที่นายท่านเริ่มลงไปแดนต่ำบ่อยครั้งเข้า ทุกคนในแคว้นมารก็จับตามองเจ้าแล้ว ถึงจะมีเบาะแสเพียงนิด สุดท้ายเราก็ได้ข้อมูลมาบ้าง”
“ตอนนี้ก็ยังสืบข้อมูลอยู่หรือ?” ชิงอวี่ถามพลางหรี่ตาลง
ปีศาจน้อยยกยิ้ม สีหน้าไร้พิษภัย “เรื่องนี้ทำตามความต้องการนายท่าน เพราะอย่างไรหากอยากปกป้องเจ้า ย่อมต้องสืบข้อมูลล้วงลึกให้ถึงที่สุด”
ชิงอวี่หัวเราะหยัน เอ่ยเสียงห้วน “อย่าตามข้ามา”
จากนั้นนางก็หมุนตัวจากไป
ปีศาจน้อยฟังคำนาง ไม่ตามนางไปจริง ๆ
ในเมื่อถูกพบแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องตามไปอีก ไม่เช่นนั้นอาจทำให้นางรู้สึกรังเกียจได้
อีกทั้ง ได้พบนางครั้งแรกเช่นนี้ รู้สึกได้เลยว่านางทั้งฉลาดและเฉลียว ไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่จะบีบเล่นรังแกได้ง่าย อีกทั้ง….. นางต่างจากภาพที่เขาจินตนาการไว้นัก อย่างน้อยหากเขาไม่ได้รังเกียจนาง พวกคนที่แคว้นมารก็คงไม่รังเกียจนางด้วยเช่นกันกระมัง
— ที่ไหนสักแห่ง ณ แดนธาราขาว —
สมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้าย
“ท่านอยากพบข้าหรือ?”
ชิงเยี่ยหลีได้รับคำจากลูกน้องแล้วก็มาทันที แต่เมื่อเดินเข้ามา กลับเห็นบิดาของเขา ฉงเฟย หัวหน้าสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้าย ซ้ายขวาโอบสตรีร่างอ้อนแอ้นดูยั่วยวนเอาไว้
สตรีทั้งสองสวมชุดเปิดเผย ทั้งสั้นทั้งตัวจิ๋ว ปิดส่วนสำคัญแทบจะไม่มิด บ้างหัวเราะเอียงอายคิกคัก เป็นภาพสกปรกเสื่อมสายตายิ่งนัก
ชิงเยี่ยหลีจึงมองลงต่ำแทน ไม่มองพวกนาง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากท่านพ่อไม่ได้มีเรื่องสำคัญ เช่นนั้นข้าขอตัว”
“เดี๋ยว” ฉงเฟยว่า ยกมือขึ้นโบกไล่สตรีทั้งสองออกไป “เยี่ยเอ๋อร์ เจ้ามานั่งตรงนี้!”
เมื่อพวกนางออกไปแล้ว ชิงเยี่ยหลีจึงค่อย ๆ เดินไปนั่งบนเก้าอี้
ฉงเฟยเหลือบมองก่อนหัวร่อออกมา “เยี่ยเอ๋อร์ไม่พอใจหรือ? บุรุษอย่างเราต้องมีสตรีไว้ข้างกายสักหลายคน เจ้ายังไม่เคยลิ้มลอง ไม่มีทางรู้ว่ารสชาติมันหวานล้ำเพียงไหนหรอก”
“ข้าไม่จำเป็นต้องลิ้มลอง”
ฉงเฟยส่ายหน้าจนใจ “ชนเผ่าหมาป่ามักภักดีต่อคู่ตนเองมาก เทียบกับข้าแล้ว ดูเจ้าจะได้เลือดชนเผ่าหมาป่ามามากกว่าข้าเสียอีก ทำให้ข้ารู้สึกละอายไม่น้อย”
ชิงเยี่ยหลีได้ยินก็ลากสายตาไปมองอีกฝ่ายเล็กน้อย “ท่านพ่ออย่ากล่าวว่าตนเองเกินควรเลย กินเหล้าไปก็ไม่ได้ทำให้ลืมความหลังได้ รังแต่จะทำให้คิดถึงท่านแม่และเศร้าโศกมากกว่าเดิม”
รอยยิ้มสบาย ๆ ของฉงเฟยพลันจะแข็งค้าง ราวกับถูกคนอ่านใจออก สีหน้าเขาดูน่าขบขันนัก
ผ่านไปนาน ฉงเฟยจึงถอนหายใจออกมา “เจ้าหนู…..”
ทุกคนคิดว่าเขาลืมไปแล้ว กระทั่งตัวเขายังคิดว่าตนเองลืมมันไปนานแล้ว
ทว่าทุกคืนที่หลับตาฝัน เขาก็จะตื่นมาแล้วคลำหาคนข้างตัวอย่างไม่รู้ตัว
แต่ก็พบเพียงความเหน็บหนาวว่างเปล่า
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่เขาก็ยังทำเช่นนั้นตลอด
เขาไม่เคยปล่อยให้สตรีนางไหนนอนข้างกายเขาข้ามคืนมาก่อน รักเพียงนางที่คลี่ยิ้มอบอุ่น ซุกไซ้อยู่ในอ้อมกอดเขาก่อนจะผล็อยหลับไปเท่านั้น
ชีวิตยืนยาวของเขาผ่านสตรีมาหลายคน แต่มีเพียงนางเท่านั้นที่ยังอยู่ในหัวใจ ที่เขาไม่อาจลืมได้แม้จะผ่านไปนาน ถึงกระทั่งที่รู้สึกโดดเดี่ยวเป็นครั้งแรกในรอบร้อยปีที่นางไม่ได้อยู่ข้างกาย
แม้จะมีสตรีสะสวยมากมายข้างกาย แต่กลับรู้สึกว่าหัวใจของตนช่างว่างเปล่า
ชิงเยี่ยหลีเองก็ไม่ได้รักบิดาตนมากมาย ที่กลับมาก็เพราะมีสายเลือดที่ไม่อาจตัดกันขาดได้ก็เท่านั้น แต่บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าสงสารมากจริง ๆ ดังนั้นจึงเกลียดอีกฝ่ายไม่ลง
ด้วยไม่อยากเห็นบิดาต้องมีใบหน้าสิ้นหวังมัวหมอง ชิงเยี่ยหลีจึงรีบเอ่ย “ท่านมีอะไรถึงเรียกข้ามาที่นี่?”
ฉงเฟยเหมือนถูกดึงหลุดจากภวังค์ความเศร้าจึงเอ่ยขึ้น “ข้าจะบอกว่าหลังเจ้าจัดการธุระตนเสร็จแล้ว เจ้าควรจะเดินทางขึ้นไปแดนเมฆาสวรรค์สักหน่อย!”
ชิงเยี่ยหลีที่มีใบหน้านิ่งสงบพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย นัยน์ตาสีเขียวเข้มบนใบหน้าหล่อเหลาดูลึกล้ำขึ้น ผ่านไปชั่วอึดใจจึงเอ่ยคำ “ไปทำไม?”
มีหรือฉงเฟยจะจับสัมผัสอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นไม่ได้? ฉงเฟยกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะขึ้น “อย่าเข้าใจผิดไป ข้าไม่ได้คิดจะยื่นมือเข้ายุ่งเรื่องของเจ้า แต่ข้าเพียงขอความช่วยเหลือจากเจ้าในฐานะบิดาเท่านั้น”
ชิงเยี่ยหลีเม้มปาก “ช่วยเรื่องอะไร?”
“เจ้าคงได้ยินเรื่องแดนศักดิ์สิทธิ์บนแดนเมฆาสวรรค์ ยอดเขาใจสงบ แล้วกระมัง?” ฉงเฟยเอ่ยถาม
ชิงเยี่ยหลีเอียงศีรษะเล็กน้อย “ได้ยินมาบ้าง”
“ข้าอยากให้เจ้าช่วยไปเอาของบางอย่างจากยอดเขาใจสงบ” นัยน์ตาสีเขียวของฉงเฟยทะมึนลง เขาใคร่ครวญอยู่นาน ก่อนจะเงยหน้าขึ้น “มันเป็นของที่สำคัญกับข้ามาก”
ชิงเยี่ยหลีนัยน์ตาสั่นระริกเล็กน้อย “ก็ได้ ข้าจะนำมันกลับมาให้ท่าน”