สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 273 บิดาและบุตรชายแสนน่ารักผู้ไม่ลงรอยกัน
- Home
- สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!
- บทที่ 273 บิดาและบุตรชายแสนน่ารักผู้ไม่ลงรอยกัน
บทที่ 273 บิดาและบุตรชายแสนน่ารักผู้ไม่ลงรอยกัน
บทที่ 273 บิดาและบุตรชายแสนน่ารักผู้ไม่ลงรอยกัน
วันต่อมา คนจากแคว้นมารและสมาพันธ์นักล่าก็บอกลาชิงลั่วเยี่ยน ขอบคุณที่นางให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
ชิงอวี่ติดตามชิงลั่วเยี่ยนอย่างใกล้ชิด วันนี้เหมือนจะว่าง่ายเป็นพิเศษ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่กล่าวสักคำ
หลังจากจูเก่อฉงและชิงลั่วเยี่ยนแลกเปลี่ยนคำพูดตามมารยาทพอเป็นพิธีแล้ว สายตาก็มาหยุดอยู่ที่ชิงอวี่โดยไม่รู้ตัวอีก ภายในใจมีความลังเลไม่อยากจากก่อตัวขึ้นมา “แม่นางอวี่ชิง หวังว่าครั้งหน้าจะได้พบกันอีก”
ชิงอวี่ยิ้มตอบ เป็นชิงลั่วเยี่ยนที่มองรอยยิ้มดูน่าตลกของนางแล้วเอ่ยขึ้น “หัวหน้าสมาพันธ์จูเก่อไม่ต้องคิดถึงนางมากมายหรอก อวี่ชิงจะติดตามข้าขึ้นยอดเขาใจสงบ ถึงเวลานั้นเจ้าจะได้เจอนางอีกก็ย่อมได้”
“เป็นเช่นนั้นจริงหรือ? เช่นนั้นก็ดีมาก” จูเก่อฉงมีสีหน้ายินดีขึ้นมาก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
ก่อนจาก บุรุษที่ดูธรรมดาถ่อมตัวที่อยู่ข้างกายจูเก่อฉงมาตลอดพลันเงยหน้าขึ้นจดจ้องชิงอวี่อย่างลึกล้ำครู่หนึ่ง จากนั้นหันกลับไปเดินตามจูเก่อฉงจากไป
ชิงอวี่นัยน์ตาหม่นแสงลงขณะมองเงาร่างที่เดินหายไปช้า ๆ
“จอมมารไปแล้วหรือ?” ชิงลั่วเยี่ยนพลันหันมองนาง ถามพร้อมรอยยิ้มบางบนหน้า
ชิงอวี่ตอบกลับท่าทางสำรวม “เจ้าค่ะ ท่านจอมมารบอกว่าไม่อยากพบหน้าคนจากสมาพันธ์นักล่าจึงเดินทางไปก่อน”
“หึ คนผู้นั้นไปที่ใดหรือทำอะไรก็ชอบทำตามใจตนเองอยู่เรื่อยจริง ๆ ไม่เคยไว้หน้าเจ้าอารามอย่างข้าเลย” ชิงลั่วเยี่ยนหัวเราะเสียงเบาด้วยสีหน้าจนใจ นางจ้องชิงอวี่แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “อวี่ชิง ดูเจ้าจะรู้จักกับจอมมารดีทีเดียวนะ!”
ชิงอวี่นัยน์ตาฉายประกายวาบชั่วพริบตาหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “ท่านเจ้าอารามล้อเล่นเป็นแน่ ข้ามาจากแดนต่ำ มีหรือจะรู้จักกับท่านจอมมารผู้เป็นที่เคารพสูงส่งได้?”
“ก็จริง” ชิงลั่วเยี่ยนก้มหน้าลงส่งยิ้มให้ “แต่ข้าไม่เคยเห็นเขาแสดงความชื่นชอบใครเช่นนี้มาก่อน ท่าทางของเขาต่อเจ้า….. พิเศษไม่น้อย ยากนักที่จะไม่คิดสงสัย เขาเองก็เป็นคนถามข้าเองว่าข้าจะพาเจ้าขึ้นยอดเขาใจสงบไปหรือไม่”
“ไหนเจ้าว่ามาสิ ดูเขาจะใส่ใจเจ้าไม่น้อยเลยนะ?” ชิงลั่วเยี่ยนยืนเรียวแขนงามออกไปเชิดคางชิงอวี่ขึ้นเบามือ มองใบหน้างามของนางแล้วชิงลั่วเยี่ยนพลันเอ่ย “ดวงหน้าน้อย ๆ นี่ดูช่างงดงามจริงเชียว หรือว่ามันจะทำให้จอมมารผู้ยิ่งใหญ่ใจสะท้านได้?”
นัยน์ตาเมล็ดซิ่งยั่วยวนใจของชิงลั่วเยี่ยนหรี่ลง ราวกับพยายามค้นหาความนัยภายใต้สีหน้าเรียบนิ่งของชิงอวี่ โชคร้ายที่นางไม่อาจเห็นอะไรแปลกประหลาดจากใบหน้าของเด็กสาวเลย
ชิงอวี่ถอยออกมาสองก้าวแล้วเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ “หากใจท่านจอมมารหวั่นไหวกับเปลือกนอกกายง่าย ๆ เช่นนี้ ความงดงามอันเป็นที่สุดของท่านเจ้าอารามคงได้ทำคนอื่น ๆ หมดโอกาสไปแต่แรกแล้วเจ้าค่ะ”
ไม่มีสตรีใดรังเกียจคำชม ชิงลั่วเยี่ยนก็เช่นกัน โดยเฉพาะยามมันออกจากปากชิงอวี่นั้น ฟังดูน่าเชื่อถือมากกว่าเป็นไหน ๆ
เพราะนางรู้มาตั้งแต่ต้นแล้วว่าเด็กสาวไม่เหมือนใครอื่นที่พยายามจะยกยอปอปั้นนางด้วยคำหวานหู
แม้เด็กสาวจะมาจากแดนต่ำ แต่นางกลับได้รู้สึกถึงความต่ำต้อยน่าสมเพชแม้สักนิด แต่กลับพบว่าเด็กสาวมีกลิ่นอายสูงส่งของชนชั้นสูงอย่างน่าประหลาด และน่าแปลกนักที่คำทั้งหลายของเด็กสาวกลับยังรั้งอยู่ในหัวนางไม่ไปไหน ไม่ว่าจะเป็นคำกล่าวชมหรือคำเสียดสีก็ตามแต่
ถึงกระนั้นนางก็พบว่าคำพูดส่วนใหญ่ของเด็กคนนี้มักมีประโยชน์เป็นส่วนใหญ่
คิดได้ดังนี้ ชิงลั่วเยี่ยนจึงเอ่ยถามขึ้น “อวี่ชิง เจ้าว่าโรคนอนไม่หลับของข้าสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?”
ใครก็ตามที่ได้ลิ้มรสการได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจมาก่อน ย่อมต้องการรักษามันยิ่งชีพ ทำให้กลัวตายมากกว่าคนอื่น ๆ หากสุขภาพมีอะไรแม้เพียงเล็กน้อยก็จะทำให้รู้สึกเครียดกว่าคนอื่นหลายร้อยเท่า
ชิงลั่วเยี่ยนก็เช่นกัน หรืออย่างน้อย ๆ นางก็คงอยากมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าท่านพ่อของนาง
เมื่อนางขึ้นยอดเขาใจสงบ นางจะยิ่งได้รับพลังสูงส่งมิอาจหยั่งถึง ได้รับความเป็นนิรันดร์ จะเป็นผู้ที่อยู่เหนือใต้หล้าแห่งเมฆาสวรรค์ ผู้คนสยบแทบเท้านาง ทุกอย่างที่นางต้องการไม่ว่าคนของสิ่งของย่อมกลายมาเป็นของนางทั้งสิ้น
ใครที่ต่อต้านนางก็จะมีเพียงชะตาเดียว นั่นก็คือจะต้องตายด้วยความทรมานแสนสาหัส
ความโลภและความทะเยอทะยานฉายชัดบนใบหน้าชิงลั่วเยี่ยนอย่างไม่ปิดบัง ชิงอวี่เห็นแล้วยกยิ้มน้อย ๆ แววตาฉายประกายวาดผ่านไปแวบหนึ่ง
นางตอบเสียงค่อยว่า “มันเป็นความทุกข์ทางใจที่ส่งผลต่อท่านเจ้าอาราม ใช้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ คงไม่อาจรักษาให้หายดีได้ เว้นเสียแต่ว่า…..”
“เว้นเสียแต่อะไร?” ชิงลั่วเยี่ยนรีบถาม
“การรักษาความทุกข์ทางใจจำต้องรักษาที่จิตใจ หากท่านเจ้าอารามสามารถชี้เฉพาะสาเหตุของฝันร้ายได้ เปลี่ยนตอนจบร้ายของมันให้กลายเป็นตอนจบดี ไม่แน่ว่าโรคนอนไม่หลับก็จะหายดีได้โดยไม่ต้องพึ่งยาใด”
ได้ยินดังนั้น ชิงลั่วเยี่ยนสีหน้าชะงักค้าง มุมปากยกยิ้มเยาะขึ้นคราหนึ่ง
ตอนจบดีงั้นหรือ?
หึ! น่าขันนัก!
ท่านพ่อของนางจากไปนับร้อยปีแล้ว ร่างกายก็คงสลายไม่เหลือแม้แต่เถ้า
ส่วนพี่ใหญ่ที่นางเสียใจที่สุดกับหลานตัวน้อยที่ตายในครรภ์ตั้งแต่ยังไม่ทันลืมตาดูโลก จะทำให้พวกเขาฟื้นคืนกลับมารับคำขอโทษของนางได้อย่างไรกัน?
เรื่องมันเกิดไปแล้ว ไม่อาจหวนคืนได้อีก
ความทุกข์ทางใจ? มันจะรักษาได้จริง ๆ หรือ??
ดูท่านางจะยังโหดเหี้ยมไม่พอ ไม่เช่นนั้นคนตายจะตามมาหลอกหลอนนางจนนางกลายเป็นโรคนอนไม่หลับได้หรือ? ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ทุกคืน
มันอาจเป็นบทลงโทษกับความชั่วที่นางก่อ ทำให้นางต้องฝันร้ายไม่อาจหลับตาลงได้ทุกคืน อันเป็นความรู้สึกที่ผุดขึ้นจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจกระมัง
————————————–
ออกมาจากอารามศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นาน ปีศาจน้อยก็ได้รับข่าวจากสำนักเซียนแพทย์ทันที
พวกเขานั่งอยู่บนหลังปักษาปีกทองในตำนานเหมือนตอนมา โหลวจวินเหยาหลุบตาลงลูบหัวเจ้าอสูร โดยมีปีศาจน้อยมองอยู่ด้านข้าง ปีศาจน้อยจึงเอ่ยขึ้น “วันนี้ท่านไม่บอกลาชิงลั่วเยี่ยนแล้วจากมาเลย นางคงเสียหน้าแย่ ข้าว่านางต้องเก็บเอาไปคิดแค้นเป็นแน่”
โหลวจวินเหยาเดาะลิ้นยักไหล่หน้าตาเรียบเรื่อย “ช่างปะไร นางก็แค้นข้ามาไม่ใช่เพียงสองสามวันอยู่แล้ว ให้นางเกลียดข้ามากกว่าเดิมยังดีเสียกว่า”
นางใช้น้ำเสียงคลุมเครือกับเขาอยู่ตลอด ทำให้คนคิดว่าระหว่างคนทั้งคู่มีอะไรบางอย่าง ดีที่จิ้งจอกน้อยไม่เหมือนคนธรรมดาคนอื่น ไม่เช่นนั้นได้เห็นก็คงเอะอะเป็นเรื่องใหญ่แล้วกระมัง?
แต่แม้เบื้องหน้านางจะแสดงท่าทีรักใคร่สนิทสนมกับเขาอย่างน่าประหลาด แต่ก็เป็นคนที่คิดร้ายต่อเขามากที่สุดเช่นกัน อาคมสาปแช่งที่เขาต้องทนทุกข์มาเกือบร้อยปีก็เป็นฝีมือนางไม่ใช่หรืออย่างไร?
ทว่าต่อหน้าเขานางก็ยังคงรอยยิ้มเปลือกนอกนั่นไว้ได้ ทำท่าราวกับไม่รู้ความ ซึ่งก็น่ากลัวนัก
สตรีเช่นนางก็เหมือนอสรพิษร้ายที่ใช้หน้าตางดงามลวงคนให้เลอะเลือนไป
แม้นางจะงดงามนัก แต่ก็ยังเลือดเย็น ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าระหว่างที่กำลังหลงรูปลักษณ์นางอยู่นั้นจะถูกเขี้ยวที่มีพิษร้ายกัดเข้าอย่างดุร้ายตอนไหน
ปีศาจน้อยได้ยินคำตอบก็หัวเราะออกมาพลางเอ่ยเสียงหยอกเย้า “ข้าว่าท่านกลัวแม่นางน้อยจะโกรธมากกว่ากระมัง? ข้าสังเกตอยู่ท่านรู้หรือไม่? กระทั่งชิงลั่วเยี่ยนเอ่ยคำเย้าหยอกเอิน ตาท่านก็จ้องแต่แม่นางน้อยผู้นั้น แล้วยังตอนที่ความสัมพันธ์เกือบถูกเปิดโปงเพราะท่านอยากทำให้นางมั่นใจนั่นอีก”
“วันนี้เจ้าพูดเก่งดีเหลือเกินนะ?” โหลวจวินเหยาตวัดสายตามอง แต่ก็นับว่ายอมรับกลาย ๆ นั่นเอง
“มันน่ามหัศจรรย์นักที่จะมีวันที่ข้าได้เห็นท่านเป็นห่วงใครมากมายเช่นนี้ คอยวนเวียนอยู่รอบกายนาง กลัวว่านางจะไม่พออกพอใจ” ปีศาจน้อยว่าพลางถอนใจส่ายหน้า “นายท่าน จากนี้ต่อไปท่านไม่อยู่ยงแล้วกระมัง เพราะท่านมีจุดอ่อนแล้ว”
“จุดอ่อน?” โหลวจวินเหยาหัวร่อ มือก็ลูบหัวปักษาปีกทองในตำนานไป “ข้าไม่คิดว่านั่นเป็นจุดอ่อน แต่กลับรู้สึกว่าข้าจะแกร่งขึ้นก็เพราะนาง ข้าจะได้ทำให้นางมีความสุขปลอดภัยได้”
โหลวจวินเหยาว่าจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นจ้องตาปีศาจน้อย “ฟังจากเจ้าว่า ดูเจ้าจะไม่ใส่ใจเม่ยจีสักเท่าไหร่เลยนี่? หากนางรู้เขาคงโกรธจนกินหัวเจ้าได้”
“นางทนทำเช่นนั้นไม่ลงหรอก” ปีศาจน้อยตอบกลั้วหัวเราะ
ทั้งสองยังหยอกเล่นกันไปมา จนกระทั่งปีศาจน้อยเงียบไป ใบหูเขาขยับเล็กน้อย จากนั้นจึงหันกลับมามองโหลวจวินเหยา “มีสารจากสำนักเซียนแพทย์ ไป๋จือเยี่ยนขอให้ท่านเดินทางไปที่นั่น เขาบอกว่าอาหลานอยากพบท่าน”
โหลวจวินเหยาชะงักไปดูท่าทางประหลาดใจ จากนั้นจึงพยักหน้าตอบ “ดีเลย นานแล้วที่ข้าไม่ได้เห็นอาหลาน”
แต่อาหลานเป็นฝ่ายเรียกหาเขาก่อนในเวลาเช่นนี้ คงมีเรื่องอะไรเป็นแน่
— สำนักเซียนแพทย์ —
หลังจากวิญญาณกลับคืนร่างจนสมบูรณ์ ชิงหลานเฟยก็เฝ้าบำรุงรักษาร่างกายจนกลับมาแข็งแรง ไม่ได้ก้าวออกนอกประตูเรือนเลยสักนิด ดังนั้นเมื่อวันนี้นางออกมา ไป๋ชิวจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ ทว่าเมื่อเห็นนางมีสีหน้าปกติ ทั้งยังดูจะดีขึ้นกว่าเดิม เขาก็คิดว่านางคงจะฟื้นตัวได้ดี
หลังจากไป๋จือเยี่ยนพาชิงเป่ยกลับสำนักเซียนแพทย์เพื่อพบหน้าบิดามารดา ก็กลับแคว้นมารไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นก็รั้งอยู่ที่สำนักเซียนแพทย์ตลอดโดยไม่ก้าวเท้าออกมาเลย
ไม่มีใครรู้ว่าครั้งนี้เขาคิดอะไร ไป๋ชิวยังได้พบหน้าลูกชายตนแค่แวบหนึ่งยามกลับมาเท่านั้น จากนั้นก็ไม่เห็นตัวคนอีก แม้จะไม่ได้ว่ากล่าวสักคำ แต่จริง ๆ แล้วก็ขุ่นใจไม่ใช่น้อย
วันนี้ชิงหลานเฟยยอมออกมาในที่สุด ส่วนไป๋จือเยี่ยนก็ออกมาเช่นกัน แต่ดูท่าชายหนุ่มจะลืมไปแล้วว่าไป๋ชิวเองก็ยืนอยู่ข้างกายไม่ห่างจากชิงหลานเฟย เพราะเอาแต่ถามไถ่สุขภาพนางไม่หยุดเพียงอย่างเดียว
หลายชั่วอึดใจเขาถึงได้เห็นว่าไป๋ชิวอยู่ด้วยจึงคลี่ยิ้มเอ่ยคำขึ้น “ท่านพ่อ”
ไป๋ชิวเพียงส่งเสียงฮึ่มเย็นชาไร้อารมณ์ใด
ไป๋จือเยี่ยนถูจมูกตนด้วยความอับอายแล้วครวญเสียงทรมานใจ “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไปอีก? ข้าไม่ได้ทำอะไรให้ท่านโกรธกระมัง? กระทั่งอาหลานยังชอบข้ามากเลยนะ แต่แค่มองหน้าข้าดี ๆ ท่านยังไม่อยาก นี่ข้าเป็นลูกแท้ ๆ ของท่านหรือไม่เนี่ย?”
“ถ้าไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ก็คงดีกว่านี้ จะได้เขี่ยออกจากสำนักไปตั้งนานแล้ว เจ้าจะได้ไม่มีหน้ามาโอดครวญตรงหน้าข้าเช่นตอนนี้ได้” ไป๋ชิวตอกกลับไร้เมตตา
ไป๋จือเยี่ยน “…..”
ในใจเขาเจ็บปวด รู้สึกอยากร้องไห้นัก
รอบข้างยังมีคนอยู่ด้วยนะท่านไม่เห็นหรือไร? อย่างน้อยก็น่าจะเห็นใจกันหน่อยสิท่านพ่อ
เขาหันหน้าไปก็เป็นไปดังคาด เห็นว่าชิงหลานเฟยยกมือขึ้นปิดปาก เหมือนกำลังหัวเราะคิกคักอยู่ ส่วนม่อจิ่งอวี้ก็ดูจะตกใจอยู่บ้างจึงจ้องตรงมาที่พวกเขาด้วยสายตาว่างเปล่าเช่นนั้น
ไป๋จือเยี่ยนมุมปากกระตุก กระเถิบไปข้างกายไป๋ชิวกระซิบเสียงแผ่ว “ท่านพ่อ อีกเดี๋ยวโหลวจวินเหยาจะมาถึงแล้ว อาหลานบอกว่านางอยากรำลึกความหลังกับเขาสักหน่อย ข้าว่าท่าน….. เอ่อ….. คงจะยุ่งมาก ๆ เพราะฉะนั้นท่านไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนก็ได้”