สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 28 บาดเจ็บ
บทที่ 28 บาดเจ็บ
โหลวจวินเหยาค่อนข้างประหลาดใจที่นางสามารถบอกได้ว่าพลังเขาถูกผนึกเอาไว้ ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงเบา “ถูกต้อง ที่แดนเมฆาสวรรค์ หากผู้มีฝีมือกล้าแกร่งล้ม พวกหนูชั้นต่ำที่จ้องตำแหน่งตาเป็นมันและรวมกลุ่มเข้ามาลอบทำร้ายมันสบโอกาส เป็นโลกที่ผู้อ่อนแอมักเป็นฝ่ายถูกรังแกกดขี่”
ชิงอวี่พยักหน้าเข้าใจ จากนั้นแตะแขนเขาเป็นเชิงปลอบ “ท่านวางใจ คำสาปเลือดเช่นนี้ข้าเชี่ยวชาญนัก รอพลังท่านฟื้นคืนมาเมื่อไหร่ค่อยตอบโต้กลับให้หนัก ผู้ใดที่กลั่นแกล้งรังแกท่าน ท่านก็กลับไปแก้แค้นเสียให้สิ้น”
โหลวจวินเหยายิ้มไม่เอ่ยคำใด รู้สึกเด็กคนนี้น่าสนใจไม่น้อย
เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ชิงอวี่พลันสกัดจุดโหลวจวินเหยาให้หมดสติไป
ต้องล้อกันเล่นเป็นแน่แท้ ถึงเขาจะบอกไว้ก่อนหน้าว่าต้องการดูว่านางจะถอนคำสาปอย่างไร หากแต่นางไม่เผยความลับตนง่าย ๆ เช่นนั้นแน่ ต่อไปจะได้ไม่ไปเตะตาใครเข้าง่าย ๆ
ชิงอวี่นั่งลงเป็นท่านั่งดอกบัว นัยน์ตาปิดสนิท แสงเรืองสีอ่อนค่อย ๆ แผ่ออกจากร่าง แสงนั้นว่างขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งส่องสว่างไปเกือบครึ่งห้อง
แสงแปลกประหลาดเริ่มส่องกะพริบเป็นจังหวะเร็วขึ้นเหนือร่างที่มีเส้นสายสีโลหิตกระจายอยู่ทั่วร่าง มองดูราวกับบางสิ่งบางอย่างกำลังพยายามวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน
ณ ดินแดนอันห่างไกล เหนือขึ้นไปหลายยอดเขาและมหาสมุทร ยังมีดินแดนระดับสูงแห่งหนึ่งตั้งอยู่ นั่นคือแดนเมฆาสวรรค์
ภายในตำหนักหรูหราโอ่อ่าแห่งหนึ่งมีสตรีผู้หนึ่งนอนอยู่บนเตียง คิ้วนางขมวดเล็กน้อย ราวกับฝันหวานของนางกำลังถูกรบกวน
ทันใดนั้น ลมหายใจนางพลันถี่แรงขึ้น ใบหน้านางซีดขาวลงเล็กน้อย
ใบหน้านางชะงักค้างทันใด ก่อนที่ริมฝีปากบางจะกระอักเลือดออกมา
นางลืมตาขึ้นทันที ลุกขึ้นนั่งบนเตียงนอน ใบหน้าแสดงออกถึงความไม่อยากจะเชื่อ “เรื่องเช่นนี้….. เป็นไปได้อย่างไร!?”
คำสาปกลืนอารมณ์ที่นางร่ายไว้….. นอกจากตัวนางแล้ว น่าจะไม่มีผู้ใดสามารถถอนคำสาปได้อีก ทว่าตอนนี้มีคนผู้หนึ่งกำลังลงมือถอนคำสาปของนางอยู่!
น่าขันสิ้นดี!
นางปล่อยลมหายใจออกมาอย่างดูถูก นิ้วเรียวขยับวาดเป็นวงกลมในอากาศ ก่อนจะส่งพลังโจมตีเกรี้ยวกราดออกไป
ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร มันต้องตาย!
พลังโจมตีอันแรงกล้านั้นถูกซัดเข้าร่างชิงอวี่เข้าอย่างจัง นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบโต้มาเช่นนี้ ดูท่าจะเจอศัตรูที่ตึงมือเข้าเสียแล้ว
แรงพลังเมื่อครู่คงหวังส่งนางให้ไปโลกหน้าในกระบวนท่าเดียวเป็นแน่
แรงซัดเมื่อครู่ราวกับถูกส่งมาด้วยกำลังทั้งหมดที่อีกฝ่ายมี หากนางโต้กลับไปตอนนี้ คำสาปเลือดที่นางถอนมาได้ครึ่งทางจะเปล่าประโยชน์ทันที ส่วนโหลวจวินเหยาที่นอนหมดสติอยู่จะถูกคำสาปตีกลับ ซึ่งจะทำให้เจ็บปวดมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า ไม่ว่าจิตใจเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่น่าจะไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้แน่
คนผู้นี้เจ้าเล่ห์นัก!
ฮึ่ม คิดหรือว่านางจะยอมให้รังแกง่ายๆ?
ไม่ว่าจะเป็นชาติที่แล้วหรือชาตินี้ ชิงอวี่ไม่ใช่คนที่ยอมให้ทนทุกข์ทรมานอยู่ฝ่ายเดียว ต่อให้นางต้องตาย นางก็จะลากอีกฝ่ายลงนรกไปกับนางด้วย
ดังนั้นเมื่อนางเลือกที่จะช่วยถอนคำสาปชั่วร้ายนี่ แสดงว่านางย่อมไตร่ตรองมาแล้วเป็นอย่างดี
ถึงลมหายใจจะเหลืออยู่เพียงครึ่ง หากวิญญาณยังไม่แตกสลาย นางย่อมไม่เป็นอะไรมากนัก เพียงหลบเข้าไปในมิติส่วนตัวของนางเพื่อรักษาบาดแผลเป็นพอ พลังวิญญาณในนั้นหนาแน่นและอุดมสมบูรณ์นัก นางหลบอยู่ในนั้นสักสองสามวันบาดแผลน่าจะหายดี
หากแต่คู่ต่อสู้ของนางไม่ได้มีทางเลือกเช่นนั้น
ตอนที่ชิงอวี่รับพลังซัดนั้น พลังหยินอันชั่วร้ายที่ไหลเวียนอยู่ในวิชาฝังวิญญาณของนาง เป็นพลังหยินที่สามารถกำจัดวิญญาณทำลายกระดูก ก็ได้ติดตามพลังที่ถูกซัดมาเพื่อเข้าสู้ร่างของผู้ส่งพลังโจมตี
“อ๊ากกกกกกกก…..”
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนอันเงียบสงบบนแดนเมฆาสวรรค์ เสียงกรีดร้องเสียดแทงจิตใจดังแทรกมาในอากาศ ทำลายความเงียบไปจนสิ้น
วินาทีที่พลังหยินนั่นเข้าสู่ร่าง ร่างกายนางพลันละลายหายไปจนเหลือเพียงกระดูก วิญญาณในร่างถูกเผาไหม้ส่งเสียงกรีดร้องลั่น
ภายในชั่วไม่กี่อึดใจ เนื้อหนังบนแขนของนางกว่าครึ่งก็หายไปเหลือแต่กระดูกขาว นางมีจิตใจดุร้ายนัก ตัดสินใจตัดแขนข้างนั้นทิ้งเพื่อหยุดเนื้อที่เน่าเปื่อยไม่ให้ลามไปมากกว่านี้
แต่ถึงนางจะรีบกำจัดต้นตอทิ้งเร็วถึงเพียงไหน วิญญาณนางก็ถูกโจมตีรุนแรงเกินไป จนนางไม่มีทางเลือกจำต้องปิดด่านนั่งบำเพ็ญและละมือจากคำสาป
ที่อีกด้าน ชิงอวี่สัมผัสได้ว่าพลังของวิชากำจัดวิญญาณทำลายกระดูกของนางได้จางหายไป ในใจนางรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องตัดส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายทิ้งไปแล้วเป็นแน่ มิเช่นนั้นก็ไม่อาจหยุดวิชามืดนี้ได้
อืมมม คู่ต่อสู้ของนาง….. จิตใจโหดเหี้ยมแม้กับตนเอง!
ทว่าตอนนี้นางถอนคำสาปเลือดสำเร็จแล้ว ชิงอวี่เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง เส้นเลือดและจุดแดงบนร่างหายไปในพริบตา พละกำลังของเขาเพิ่มสูงขึ้นมาก
พละกำลังที่ถูกผนึกไว้แล่นทั่วร่างราวกับม้าป่าที่หลุดจากเชือกล่าม พลุ่งพล่านเหนือการควบคุม ซัดทำลายห้องที่ถูกสร้างมาอย่างดีจนหายไปกว่าครึ่งในพริบตา
เสียงดังกึกก้องภายในห้องไม่เพียงทำให้คนที่ยืนเฝ้าหน้าห้องสองคนตื่นตกใจ หากแต่ยังทำให้คนที่อยู่ละแวกนั้นตกใจตื่น คิดว่ามีสายฟ้าที่ไหนฟาดลงมากลางดึกเช่นนี้ได้ หลังจากไม่ได้ยินเสียงดังตามมาอีก ต่างคนจึงต่างกลับไปนอน
ช่างบังเอิญที่สภาพอากาศช่วงสองสามวันที่ผ่านมาไม่สดใจนัก ดังนั้นผู้คนจึงไม่แตกตื่นมากเท่าไหร่
ไป๋จือเยี่ยนและเหยียนจีรีบพุ่งตัวเข้ามาด้านใน โหลวจวินเหยาที่อยู่บนเตียงสวมชุดเรียบร้อยดีแล้ว เขาอยู่ในชุดคุณชายดูดีมีสกุลสีม่วง รูปร่างสูงกำยำแข็งแกร่ง นัยน์ตาเยียบเย็น แผ่กลิ่นอายราชันย์ที่ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่อาจรอดพ้นนัยน์ตาคู่นี้ของเขาไปได้
โหลวจวินเหยาที่เป็นเช่นนี้ ทั้งรู้สึกว่าคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยไปในเวลาเดียวกัน
หากแต่ไป๋จือเยี่ยนรู้ดี ราชันย์ผู้สูงส่งหยิ่งผยองในแดนเมฆาสวรรค์ ผู้ที่ทุกคนต่างยอมจำนนแก่เขา จอมมารผู้นั้นได้กลับมาแล้ว
ในที่สุดร่างกายของเขาก็ไร้สิ่งใดเหนี่ยวรั้งไว้อีก ไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้กับใคร ไม่ต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดทารุณใดอีก
ชิงอวี่เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเช่นเดียวกัน รู้สึกราวกับนางเพิ่งรู้จักบุรุษตรงหน้าเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นนางก็ส่งยิ้มรู้ทันให้ “ยินดีด้วย”
โหลวจวินเหยามองหน้านาง และในตอนนั้นเองที่มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย เป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่ง
คนทั้งสองคนอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว ต่างคนต่างจ้องหน้ากัน โหลวจวินเหยาจึงเห็นได้ชัดว่ารอยยิ้มบนหน้าเด็กหนุ่มดูเกร็งเล็กน้อย ผิวหน้าที่ขาวอยู่แล้วยิ่งซีดลงมากกว่าเดิม
ในขณะที่กำลังคิดว่าเด็กคนนี้อาจบาดเจ็บที่ตรงไหนหรือไม่อยู่นั่นเอง สายตาก็พลันเห็นจุดสีแดงอ่อน ๆ บนชุดสีขาวบริสุทธิ์ของเด็กหนุ่ม เป็นภาพที่สะดุดตานัก
ชิงอวี่ขมวดคิ้วแน่น คิดไม่ถึงว่าตนเองจะฝืนทนไม่ไหวอีกต่อไป ในตอนที่ใจรู้สึกขัดข้องขุ่นมัวอยู่นั่นเอง ร่างกายของนางก็เซล้มลงไปด้านหน้า
ใช้ชีวิตอยู่บนโลกประหลาดใบนี้มาหลายปี นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่นางได้รับบาดเจ็บ
ทันทีที่โหลวจวินเหยาสัมผัสว่าเด็กหนุ่มผิดปกติไป ร่างของเขาก็เคลื่อนมาอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าร่างที่กำลังล้มลงพื้นอย่างรวดเร็ว
ร่างของเด็กหนุ่มนั้นเปราะบางและอ่อนแอยิ่งนัก เป็นไปอย่างที่เขาเคยคิดไว้ เอวบางของเด็กหนุ่มบอบบางจนเขาไม่คิดว่าจะทนรับแรงบีบจากเงื้อมมือเขาไหว ทั้งนุ่มนิ่มและบอบบางราวกับเอวของเด็กสาวผู้หนึ่ง
ไป๋จือเยี่ยนที่ตอนแรกไม่ได้สนใจชิงอวี่มากนัก หากแต่เมื่อเห็นภาพเด็กหนุ่มเซล้มลงไป และเห็นว่าบนชุดสีขาวของเขามีรอยเลือดสีแดงซึมขึ้นมาเขาถึงเพิ่งตกใจ
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้?”
โหลวจวินเหยาไม่คิดสิ่งใดให้มากความ สัญชาตญาณอันเฉียบคมของเขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของเด็กหนุ่มผู้นี้เบาบางลงทุกที ร่างกายเย็นเฉียบ ในใจเขาพลันรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาอย่างไม่ทันรู้ตัว
อย่างไรเด็กคนนี้ก็เป็นผู้มีบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้ แล้วตอนนี้ยังต้องมาบาดเจ็บระหว่างช่วยเหลือเขาอีก ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่อาจรู้สึกดีได้
เขาช้อนตัวเด็กหนุ่มขึ้นในอ้อมแขน ก่อนจะเดินไปยังห้องที่เขาใช้พำนัก “ไป๋จือเยี่ยน! มาดูบาดแผลเขาเดี๋ยวนี้!”
ไป๋จือเยี่ยนที่ยืนอยู่ด้านหลังยังไม่ได้สติ
นายท่าน….. อุ้มเจ้าหนุ่มนั่นในอ้อมแขน!
ไม่ว่าจะมองภาพฉากนั้นอย่างไร….. ก็เป็นภาพที่แปลกตาเกินทน ถึงเจ้าเด็กนั่นจะอรชรอ้อนแอ้น หน้าตาเย้ายวนถึงเพียงไหน หากแต่….. ก็ยังเป็นผู้ชายอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อนึกย้อนถึงท่าทาง “อ่อนโยน” ที่โหลวจวินเหยามักปฏิบัติต่อเด็กคนนี้แล้ว ในหัวเขาก็พลันปรากฏความคิดประหลาดมากมายขึ้นมานับไม่ถ้วน…..
“ไสหัวมาเดี๋ยวนี้!”
ไป๋จือเยี่ยนสั่นสะท้าน เขารีบพุ่งตามไปในทันที
โหลวจวินเหยาวางร่างเขาลงบนเตียง เมื่อเห็นว่าดวงตาคู่ที่เคยมีชีวิตชีวาตอนนี้กลับปิดสนิท ใบหน้างดงามซีดขาวอย่างที่ไม่เคยเป็น เขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจยิ่งนัก ที่มากไปกว่านั้นคือร่างของเด็กหนุ่มในตอนนี้ชุ่มไปด้วยเลือด
ช่างเป็นภาพบาดตานัก
ทันใดนั้นเอง เขาก็เอื้อมมือไปคว้าเสื้อของเด็กหนุ่มไว้ หมายจะถอดชุดชุ่มเลือดออก
ทว่าเมื่อดึงคอเสื้อลงมาเพียงเล็กน้อย ลำคอขาวผ่องพลันปรากฏขึ้นให้เห็น โหลวจวินเหยาหยุดมือในทันที
ลำคอของเด็กหนุ่มทั้งเรียวบาง กระดูกไหปลาร้าราวกับถูกแกะสลักโดยช่างฝีมือดี มีเสน่ห์เย้ายวนใจไม่อาจต้านทาน
เขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มผู้นี้งดงามนัก ลำคอก็งามยิ่ง ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงนั้น….. คือที่ลำคอเรียบลื่นนั้นไม่มีลูกกระเดือกที่บุรุษพึงมี
ไม่ว่าเด็กผู้ชายจะเติบโตช้าถึงเพียงไหน อย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีลูกกระเดือก
เว้นเสียแต่…..
โหลวจวินเหยาคาดเดาบางอย่างในใจ นิ้วเรียวยาวของเขาดึงชุดสีขาวลงมาอีกอย่างง่ายดาย
“ท่าน….. จะทำอะไร…..” มือเล็กที่เย็นเฉียบคว้ามือเขาไว้ในทันที หยุดการกระทำอยากรู้อยากเห็นของเขาไว้
ท่ามกลางความรู้สึกมึนงง นางรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังจะถอดชุดนาง
ไม่ว่านางจะสิ้นสติสักเพียงไหน หากแต่เมื่ออยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคย ร่างกายนางจะยังคงสติไว้เล็กน้อยโดยสัญชาตญาณ เมื่อสัมผัสได้ว่าบุรุษผู้นี้ทำมากเกินไปแล้ว นางจึงรีบเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างยากเย็นเพื่อหยุดเขาไว้
ต้องเป็นเพราะการเคลื่อนไหวเมื่อครู่เป็นแน่ที่ทำให้ผมนางกระเซิงเล็กน้อย ชุดนางเองก็ถูกดึงออกจนหลวม หลุดออกมาจนเห็นลำคอและไหปลาร้า นัยน์ตาหงส์เย้ายวนของนางเปิดอยู่เพียงครึ่ง มองไปยังเขาอย่างระมัดระวัง ใบหน้างามซีดขาวราวกระดาษ นางที่อ่อนแอเช่นนี้ยิ่งดูบอบบางน่าทะนุถนอม
โหลวจวินเหยาไม่จำเป็นต้องยืนยันด้วยการกระทำใดอีก คนตรงหน้าเขาคือเด็กสาวผู้งดงามผู้หนึ่งไม่ผิดแน่
มือที่จับมือเขาไว้อยู่ตอนนี้ทั้งเรียวบางและเล็กยิ่งนัก ทั้งยังนุ่มและเรียวงามยิ่ง ไม่ใช่มือของบุรุษผู้หนึ่งเป็นแน่
“นายท่าน ให้ข้าช่วย…..”
“ออกไป!”
ไป๋จือเยี่ยนที่เพิ่งจะเดินเข้าประตูมายังไม่ทันได้พูดจบประโยค กลับถูกนายท่านสาดคำพูดเย็นชาสองคำเข้าใส่
“แต่ว่าคุณชายชิงบาดเจ็บไม่ใช่หรือ…..” ไป๋จือเยี่ยนพลันปิดปากเงียบทันที เหตุใดสีหน้านายท่านถึงเปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหวเช่นนั้น? เมื่อครู่นายท่านยังเรียกเขาให้เข้ามา ตอนนี้จะไล่เขาออกไปแล้วหรือ?
จริง ๆ เลย พอพลังกลับมาแล้ว อารมณ์ของนายท่านก็เปลี่ยนจากเลวร้ายเป็นเลวร้ายขั้นสุดแทน
เขาไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงถอยออกไปเท่านั้น
“ปิดประตู”
ไป๋จือเยี่ยนสะดุดเล็กน้อย หากแต่ก็ค่อย ๆ ดึงประตูปิดลงอย่างเงียบเชียบ
โหลวจวินเหยาหันกลับมามองเด็กหนุ่มบนเตียงที่พยายามฝืนตนเอง ลืมตาจ้องเขาไว้นิ่ง ไม่สิ เขาควรจะเรียกนางว่าเด็กสาวมากกว่า
“ชุดเจ้าเปรอะหมดแล้ว”
“ข้าเปลี่ยนเอง” ชิงอวี่ขมวดคิ้วมุ่น พยายามลุกขึ้นจากเตียง “ข้าจะ….. อึ่ก….. กลับแล้ว”
บัดซบเอ๊ย เจ้าบ้านั่น….. ชั่วร้ายจริง ตอนนี้นางยังเจ็บไปทั่วทั้งร่างไม่หาย
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าเดินไหว?” โหลวจวินเหยามองนางอย่างขำขัน “ข้าว่าเจ้ากระโดดข้ามกำแพงหอเมฆาเคลื่อนไม่ไหวด้วยซ้ำ”
ชิงอวี่ขมวดคิ้วอีกครั้ง ถึงนางจะไม่อยากยอมรับ หากแต่ดูท่านางจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้จริง!
“เช่นนั้น….. ข้านอนพักที่นี่สักคืนได้หรือไม่?” ชิงอวี่เอ่ยถามเขาด้วยนัยน์ตาสิ้นหวัง
“ย่อมได้” โหลวจวินเหยาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นเอ่ยถามนางต่อด้วยความสงสัย “เหตุใดจึงบาดเจ็บตอนถอนคำสาปให้ข้า?”
“มีคนผู้หนึ่งควบคุมคำสาปเลือดอยู่ ตอนที่ข้ากำลังถอนคำสาป ข้าประมือกับคนผู้นั้นสองสามกระบวนท่า” ชิงอวี่พูดพร้อมลูบไหล่ตน “บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย”