สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 290 ก่อนจาก
บทที่ 290 ก่อนจาก
บทที่ 290 ก่อนจาก
สีหน้าชิงเยี่ยหลีชะงักค้างไปพลางมองมือตนเองอยู่เช่นนั้นราวกับเห็นผี ไม่นานเขาก็แหงนหน้ามองฟ้า เห็นจุดสีขาวโปรยลงมาอย่างเกียจคร้าน
“อะไรกัน? นี่มันสภาพอากาศอะไรของมัน!? จะมามีหิมะตกได้อย่างไร!?”
คนหนึ่งสบถด่าขึ้นเสียงดัง แต่ก็ยังไม่อาจแทนความประหลาดใจของทุกคนได้
ได้ยินแล้ว บ้างที่อยู่ในกระโจมก็สงสัย ต่างพากันออกมาดู เมื่อเห็นภาพประหลาดก็พากันอึ้งตะลึงไปไร้คำพูด
เหตุประหลาดเช่นนี้ไม่เคยปรากฏบนแดนเมฆาสวรรค์มาก่อน ฤดูกาลทั้งสี่มาและไปตามปกติอยู่ทุกปี จึงนับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหิมะโปรยต้นฤดูร้อนเช่นนี้
และเมื่อเกิดเหตุประหลาดผิดแผกขึ้นก็มักตามมาด้วยเรื่องร้ายเสมอ
หรือว่า…..
ตอนเริ่มแรกหิมะก็โปรยเพียงเบาบาง แต่เมื่อเวลาผ่านไป หิมะที่เท้าก็เริ่มกองสูงขึ้นจนถึงข้อเท้า ดูจากอัตราที่มันโปรยลงมาแล้วเหมือนจะไม่หยุดในเร็ว ๆ นี้ ยิ่งโปรยหนักขึ้นเรื่อย ๆ
“หรือพวกเขา….. หมายจะ….. แช่เราให้แข็งตายกันอยู่ที่นี่หรือ?” คนคนหนึ่งเค้นคำพูดออกมาผ่านฟันที่กระทบกึก ๆ
“หิมะมันตกแค่ที่นี่” น้ำเสียงไม่ประสาของเด็กสาวดังขึ้น
มีคนหันไปทางต้นเสียง เห็นเป็นเด็กสาวอายุราวสิบสองสิบสามปี ตัวนางเล็ก ทั้งยังหน้าตาน่ารัก แต่สีหน้านางกลับเป็นผู้ใหญ่ดูสงบนิ่งนัก ไม่เหมาะกับอายุของนางเลย
นางยืนขาเดียวอยู่บนศิลาใหญ่ สายตาจ้องมองไปไกล ก่อนใช้นิ้วหนึ่งชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “ตรงโน้นไม่เห็นตกเลย”
แต่สายตาคนด้านล่างมีขอบเขตจำกัดกว่า ทั้งตอนนี้ยังดึกมากแล้วด้วย มองไปทางไหนก็ดำสนิท เห็นได้ไกลสุดก็แค่ไม่กี่ฉื่อ จุดที่เด็กสาวชี้ไปนั้นก็ดูเหมือนจะมีหิมะเช่นกัน ไม่ต่างจากสถานที่นี้
“ดูดี ๆ เสี่ยวเหยี่ยน ตรงโน้นไม่มีหิมะจริงหรือ?” สตรีที่ผมปรกหน้าครึ่งหนึ่งเอ่ยถาม
ได้ยินแล้วเด็กสาวจึงส่งสายตาไร้อารมณ์มามองนาง น้ำเสียงแต้มด้วยความไม่พอใจ “สายตาข้าไม่เคยผิดพลาดมาก่อน”
ภายใต้ความมืดมิดยามราตรี ดวงตากลมโตของนางเหมือนเรืองแสงสีแดงจาง ๆ เคล้ากลิ่นอายดุดันกระหายเลือดอยู่ด้วย
แม่นางตัวน้อยที่ดูตัวเล็กน่ารักในตอนกลางวัน ยามราตรีกลับนิสัยเปลี่ยนไปราวคนละคน เกรงว่าคนคงไม่รู้ว่าเด็กน่ารักน่าชังเช่นนาง แท้จริงแล้วในกายกลับมีถึงสองบุคลิกซ่อนลึกอยู่
ยามกลางวัน นางใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับนางสวรรค์ แต่ยามราตรีนางจะกลายเป็นปีศาจน่าผวา พรากชีวิตคนโดยไร้เมตตา
“มีหิมะตกแค่ที่นี่เท่านั้นจริง ๆ” ชิงเยี่ยหลีเอ่ยเสียงเรียบขึ้น
คนเผ่าหมาป่าเกิดมาเพื่อท่องราตรี ดังนั้นจึงเห็นได้ดีในที่มืด ทั้งยังมองได้ระยะไกลนัก
หากชิงเยี่ยหลีที่มีเลือดชนเผ่าหมาป่าในกายพูดเช่นนั้น ย่อมไม่มีใครคิดสงสัยอีก
ภายใต้ความมืดสลัวยามดึกสงัด เรือนผมสีเงินพร้อมทั้งนัยน์ตาสีเขียวเข้มสะดุดตาเป็นพิเศษ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาปรากฏตัวขึ้นตอนไหน
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว จู่ ๆ มีคนโดดเด่นปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เกิดความวุ่นวายสักเล็กน้อยขึ้นบ้าง
“ใครกัน? หน้าไม่คุ้นเลย” คนผู้หนึ่งลูบคางตนพึมพำเสียงเบา
“ไม่ใช่ไม่คุ้นหน้าเขาคนเดียว คนกลุ่มข้าง ๆ เขาพวกเราก็ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ข้าว่าคนไม่ใช่คนจากแดนเมฆาสวรรค์กระมัง ไม่เช่นนั้นรูปร่างหน้าตาโดดเด่นเช่นนั้น พวกเราจะไม่เคยพบได้อย่างไร?” อีกคนเอ่ย เข้ามาร่วมสนทนาด้วย
แต่ตอนนี้หิมะตกหนักขึ้นแล้ว ทุกคนก็มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องคนเองเกินกว่าจะใส่ใจชิงเยี่ยหลีกับพวก พวกเขาสวมชุดค่อนข้างบาง ต่างพยายามเรียกพลังวิญญาณมาไล่ความหนาวเหน็บออกไป
“ประมุขน้อย ท่านคิดว่าอย่างไร?” ชายร่างผอมสูงคนหนึ่งเอ่ยปากถาม
ชิงเยี่ยหลีเงียบไปเล็กน้อย ก่อนเงยหน้าขึ้นมองฟ้าซึ่งคล้ายกับผืนผ้าใบสีดำสนิท แต่ในความมืดมิดราวกับมีบางอย่างกำลังเปลี่ยนแปลง
“ยอดเขาใจสงบคงกำลังปรากฏตัว”
ดูท่าหิมะโปรย ณ พรมแดนตัดกันแห่งแดนเมฆาสวรรค์นั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อที่อื่น ๆ ราวกับถูกแยกออกเป็นสองโลก
ที่ฝั่งอารามจันทร์กระจ่าง ชิงลั่วเยี่ยนเพียงส่งคนสองคนออกไปดู แสดงท่าทีสงบนิ่งต่อเรื่องยอดเขาใจสงบ ราวกับไม่กังวลสักนิด ทุกอย่างอยู่ในความควบคุมของนาง
คืนนั้นชิงลั่วเยี่ยนไม่หลับพักผ่อน แต่เรียกชิงอวี่ให้มาเดินเป็นเพื่อน
ยิ่งพิศมองจันทร์ในคืนนี้แล้ว เหมือนอีกเสี้ยวหนึ่งก็หายไปเงียบ ๆ เช่นกัน หากแต่จันทร์กลับส่องสว่างเป็นพิเศษ ฉายแสงมาสู่พื้นเห็นสว่างยามก้าวเท้าเดิน
“อวี่ชิง เจ้ามีญาติมีครอบครัวอยู่ในแดนต่ำหรือไม่?” ระหว่างเดิน ชิงลั่วเยี่ยนพลันถามขึ้น
แม้ชิงอวี่จะประหลาดใจ แต่ก็ยังสำรวมท่าทีได้ “ไม่เจ้าค่ะ”
นางคิดอะไรของนางอีกกัน? จู่ ๆ ถึงได้ถามเช่นนี้ออกมาได้?
ชิงลั่วเยี่ยนได้ยินก็คลี่ยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่คิดว่าเจ้าหน้าตาเหมือนคนคนหนึ่งมากเท่านั้น”
“ท่านเจ้าอารามก็พูดเช่นนี้ตอนข้าพบท่านครั้งแรก” ชิงอวี่ตอบ
“ใช่แล้ว แต่ช่วงนี้ข้าฝันถึงคนคนนั้นไม่หยุด ยิ่งเห็นว่าเจ้าเหมือนนางนักก็อดนึกถึงนางไม่ได้” ชิงลั่วเยี่ยนหยุดฝีเท้าแล้วหันมา
ชิงอวี่ตาเป็นประกายในความมืด
นางกำลัง….. ทดสอบอะไรอยู่งั้นหรือ?
นางทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในความฝันเหล่านั้น อีกฝ่ายย่อมได้เห็นท่านแม่บ่อยครั้ง แต่เพื่อเอาความเชื่อใจนางจึงไม่ได้ให้นางฝันถึงบ่อย ๆ นานแล้ว แล้วนางจะยังฝันเห็นท่านแม่อยู่ไม่หยุดได้อย่างไร?
หรือเริ่มสงสัยอะไรแล้ว?
หรือว่าชางเจี้ยนจะยอมปล่อยให้ปลาตายดีกว่าตาข่ายขาด บอกทุกอย่างกับชิงลั่วเยี่ยนแล้ว?
ไม่น่าใช่ เขาคงไม่ใช้วิธีแก้แค้นโง่เขลาเช่นนั้นแน่
ชิงอวี่คิดหลายอย่างในพริบตา สีหน้าไร้ความเปลี่ยนแปลง ยังคงรอยยิ้มมองตาอีกฝ่ายไว้ “ทำเอาข้าสงสัยว่าท่านคิดถึงใครอยู่บ่อยครั้งนัก”
“จริง ๆ แล้วนางเป็นน้องสาวของข้า” ชิงลั่วเยี่ยนตอบ ริมฝีปากดูแข็ง ๆ
ชิงอวี่ประหลาดใจชั่วครู่ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเผยเรื่องนี้กับนาง คิดว่าจะเอ่ยชื่อขึ้นมาสักชื่อแล้วปล่อยเรื่องไป
เอ่ยถึงคนขึ้นมาแล้ว ชิงลั่วเยี่ยนก็เหมือนจมอยู่ในความทรงจำ สีหน้าพลันอ่อนโยนอ่อนไหวขึ้น “เมื่อครั้งข้ายังเด็ก ข้ามีฝีมือโดดเด่นเหนือพี่น้องคนอื่น ๆ ดังนั้นจึงเย่อหยิ่งจองหองนัก ทำให้พวกนางไม่ชอบใจข้ามาก กลายเป็นเย็นชาเหินห่างกันไป ข้ามีพี่น้องสิบคน แต่สนิทกับน้องสาวคนที่สิบเอ็ดเท่านั้น”
“อาจเพราะนางเป็นคนเดียวที่ไม่ว่าคำข้าจะเย็นชาโหดร้ายเพียงไหนก็ไม่ใส่ใจ นางเป็นแค่เด็กเขลาคนหนึ่งที่ยังอยากเป็นมิตรกับข้า”
“พี่น้องคนอื่น ๆ ทนข้าไม่ได้ คอยหาทางกลั่นแกล้งรังแกข้า เอาแมลงประหลาดทั้งหลายมาใส่ในเสื้อผ้า หรือไม่ก็เอาเสื้อผ้าข้าไปทำเรื่องน่าขนหัวลุกต่าง ๆ พอนางเห็นเช่นนั้น นางก็เอาชุดทั้งหมดของตนเองมาให้ข้า ก่อนจะแอบเอาเสื้อผ้าพวกนั้นของข้าไปทิ้ง ข้าจะได้ไม่ต้องเห็นพวกมัน”
พูดถึงตรงนี้ ชิงลั่วเยี่ยนก็หัวเราะเสียงเบาออกมา หลุบสายตาลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “เป็นเพราะนางกลัวว่าข้าจะเสียใจ ถึงข้าจะไม่ใส่ใจเลยก็ตามที นางคิดอยู่ตลอดว่าข้าน่าสงสารและบอบบาง พยายามทำดีกับข้าเสมอ”
“แต่นางเป็นน้องเล็กของพวกเรา เป็นคนที่ควรได้รับการดูแลมากที่สุดแท้ ๆ”
ชิงอวี่ได้รู้เรื่องความแค้นระหว่างท่านแม่กับชิงลั่วเยี่ยนจากปากโหลวจวินเหยามาเล็กน้อย แต่ไม่เคยรู้ว่าทั้งสองเคยสนิทสนมกันมาก่อน
แต่สุดท้ายทั้งสองกลับกลายเป็นศัตรูที่หมายเอาชีวิตอีกฝ่ายไปได้อย่างไร?
“ข้าเองก็ถูกพี่น้องคนอื่น ๆ ผลักไสเช่นกัน เบื้องหน้าทำท่าทีผ่าเผย แต่ลับหลังกลับทำอีกอย่าง ดังนั้นข้าจึงยิ่งสนิทกับน้องเล็กเช่นนางมากขึ้น เราสนิทกันมากจนไร้ความลับต่อกัน มีอะไรก็แบ่งกันได้ทุกอย่าง”
หว่างคิ้วชิงอวี่กระตุก ราวกับรู้ว่าชิงลั่วเยี่ยนจะเล่าอะไรต่อ
เป็นไปดังคาด เมื่อถึงจุดนี้ ชิงลั่วเยี่ยนพลันหัวเราะเสียงเบาแล้วเอ่ยต่อ “แต่สุดท้าย ไม่มีใครคิดเลยว่าพวกเราจะตกหลุมรักบุรุษคนเดียวกัน”
เป็นเพราะหน้าตาของท่านพ่อม่อจิ่งอวี้ของนางจริง ๆ หรือที่ทำให้สองพี่น้องจากมิตรกลายเป็นศัตรู?
ชิงอวี่ได้แต่ถอนหายใจอยู่ภายในเมื่อได้ยินว่ารักไม่สมหวังมักนำพาปัญหามามากมาย!
ทว่าชิงอวี่ไม่คิดเลยว่าคำพูดต่อมาของชิงลั่วเยี่ยนจะต่างจากที่นางคิดไว้มาก
“ข้ารักเขามาก กล่าวได้ว่าใจข้ามีเขาเพียงคนเดียว เจ้าไม่รู้หรอกว่าคนหยิ่งยโสเช่นข้าจะรักใครมันยากขนาดไหน นั่นเป็นในตอนที่ข้ารักเขา และตอนที่ข้าก็รักนางเช่นกัน”
“สองคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตข้าได้อยู่ด้วยกัน เป็นตอนนั้นที่นางรู้เข้าว่าข้ารักเขา แต่นางก็ยังอยู่กับเขาต่อไป”
“จากนั้นมาข้าก็เริ่มรู้สึกเกลียดนาง นางหักหลังความสัมพันธ์ของพวกเรา หักหลังความเชื่อใจที่ข้ามีต่อนาง ข้าบอกนางว่าจากนี้ต่อไปเราไม่ใช่พี่น้องกันอีก เป็นแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น”
“ข้าเศร้าโศกมาก อยากหลบหนีไปรักษาแผลใจเงียบ ๆ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ข้าก็พบคนคนหนึ่ง เขาบอกข้าว่าอย่ายอมแพ้เพราะบุรุษผู้นั้นเป็นของข้าโดยชอบธรรม บอกข้าว่าข้าควรสู้เพื่อให้ได้เขามาเพราะข้าไม่ด้อยไปกว่านางสักนิด เขาถามข้าว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่?”
ได้ยินแล้ว ในใจชิงอวี่ก็เครียดขึงขึ้น เหมือนนางจะเพิ่งได้ยินเรื่องสำคัญ เรื่องที่อาจเกี่ยวโยงกับความจริงเบื้องหลังอดีตทั้งหมดนี่
นางอดกำมือแน่นไม่ได้
“ราวกับข้าต้องมนต์นักยามที่ข้าหมายมั่นจะสู้เพื่อแย่งเขา ข้ารู้จักเขาก่อนแท้ ๆ และเรื่องหน้าตา พลัง หรือความรอบรู้ ข้าก็ไม่ด้อยไปกว่าน้องสาวเลย ดังนั้นเขารักข้าจึงเป็นเรื่องที่ถูกที่ควรแล้ว”
“แต่ข้าก็มาพบว่าข้าคิดผิดไป ในเมื่อคนไม่รัก อย่างไรก็คือไม่รัก ไม่ว่าข้าจะพยายามเช่นไร เขาก็ไม่รักข้า เขาบอกข้าว่าตั้งแต่ต้น คนที่เขาชอบไม่ใช่ข้า บอกให้ข้าอย่ามาให้เขาเห็น ข้าใจสลายนักจึงตัดสินใจละทิ้งเขาไปโดยสมบูรณ์”
แต่คนลึกลับผู้นั้นกลับมาปรากฏขึ้นอีก มอบบางอย่างให้ข้า เขาบอกข้าว่าให้ข้าหาโอกาสใช้มันกับเขา แล้วเขาก็จะรักข้า จากนั้นไปจะรักข้าเพียงคนเดียว”
“ข้าลังเลอยู่นาน แต่ข้าก็ราวกับคนถูกผีร้ายเข้าสิงเมื่อความรู้สึกอยากครอบครองเขามันพุ่งสูงขึ้นอย่างน่ากลัว สุดท้ายข้าก็ทำให้เขาตกหลุมรักข้าได้จริง ๆ”