สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 292 คนวิตถาร!
บทที่ 292 คนวิตถาร!
บทที่ 292 คนวิตถาร!
หากไม่เรียกพลังวิญญาณออกมาคุ้มร่าง เกรงว่าหลาย ๆ คนอาจแข็งตายไปแล้ว
“เมื่อไหร่ไอ้หิมะบ้านี่จะหยุดตกสักที? บัดซบ! ขนาดในฤดูหนาว แดนเมฆาสวรรค์ยังไม่เคยมีหิมะตกหนักเช่นนี้เลย!!”
ดูท่าจะมีคนทนไม่ไหวอีกต่อไป ตะโกนลั่นขึ้น ทว่าพริบตาหลังจากเขาร้องตะโกนก็ถูกความหนาวเหน็บโอบล้อมอีกครั้ง หนาวเสียจนร่างสั่นเทิ้ม เอ่ยคำไม่ได้ศัพท์อีก
“ประมุขน้อย ดูท่าคืนนี้หิมะคงไม่หยุด เราไปรอที่อื่นกันก่อนดีหรือไม่?” ชายร่างผอมสูงเอ่ยแนะ
นัยน์ตาชิงเยี่ยหลีล้ำลึกขึ้นไม่เอ่ยคำ เป็นสตรีที่ผมปรกหน้าครึ่งหนึ่งที่เอ่ยเสียงประชดขึ้นมา “จู่ ๆ หิมะตกหนักเช่นนี้ ราวกับอยากปิดบังพยานหลักฐานเลย เกรงว่าพอสว่าง บางอย่างก็คงเปลี่ยนไปสมบูรณ์แล้ว”
ชิงเยี่ยหลีได้ยินใบหน้าก็เกิดแรงกระเพื่อมอารมณ์ในพริบตา ราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้ แต่ปัดมันตกไปโดยเร็ว
หวังว่าจะเป็นเขาคิดมากไปเอง
อีกฟากหนึ่ง โหลวจวินเหยาถูกเรื่องบางอย่างรั้งตัวไว้ วันนี้จึงมาถึงอารามจันทร์กระจ่างช้ากว่าปกติหนึ่งชั่วยาม
ระหว่างทาง เขายังคิดว่าคนตัวเล็กคงนึกว่าเขาไม่มาและหลับไปก่อนแล้วกระมัง เขาจะได้แอบลอบแกล้งนางได้
แต่ก้าวเท้าเข้าอารามศักดิ์สิทธิ์มาก้าวหนึ่งฝีเท้าเขาพลันชะงักไป
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
เห็นได้ชัดว่าก็ไร้สิ่งใดเปลี่ยนแปลง แต่ก็อดรู้สึกถึงความผิดปกติไม่ได้
กลิ่นอายประหลาดที่ไม่ใช่ของอารามศักดิ์สิทธิ์ยังสัมผัสได้จาง ๆ เกือบจะหายไปแล้ว แต่เขาเกิดมามีประสาทสัมผัสดีกว่าคนอื่น ดังนั้นจึงจับสัมผัสได้
เมื่อครู่มีใครมาที่นี่อย่างนั้นหรือ?
อีกทั้งคนผู้นี้มีกลิ่นอายอันตรายมาก มันทำให้เขาไม่สบายใจนัก
เขาปกปิดร่องลอยตัวเอาไว้ ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเห็นเขาได้
เขาค่อย ๆ ก้าวเดินราวกับสถานที่นี้ไร้ผู้คน เดินทอดน่องไปตามทางเดินหินอันงดงามและสง่างามของอารามศักดิ์สิทธิ์อันเต็มไปด้วยกลิ่นอายสูงส่ง ราวกับพยายามเดินตามรอยเท้านาง พยายามตามหานาง
ในที่สุดเขาก็ค่อย ๆ ก้าวมาถึงเรือนพักของนาง เขาไม่ได้ผลักประตูเปิด แต่กลับเดินผ่านมันมาราวกับเป็นของเหลว เข้ามาก็เห็นกองผ้าปูเตียงวางอยู่บนเตียงอย่างเรียบร้อย
เขาเดินเข้าไปใกล้เตียง เอื้อมมือไปสัมผัสพื้นเตียงก็พบว่ามันเย็นเฉียบ ราวกับไม่มีใครนอนมาตั้งแต่เมื่อคืน กระทั่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของนางยังแทบไม่หลงเหลืออยู่อีก
นางหายไปแล้ว
เขาจึงแผ่จิตออกไปนับร้อยเมตร แต่ก็ยังไม่อาจจับสัมผัสนางได้
นัยน์ตาลึกล้ำสีม่วงของโหลวจวินเหยาทะมึนลงทีละน้อย เขาลุกขึ้นยืนจากขอบเตียง เผยกลิ่นอายขึ้งเคียดเย็นยะเยือก ราวกับอยู่ในห้องใต้ดินน้ำแข็ง
เดี๋ยวก่อน
ม่านตาโหลวจวินเหยาหดลง พริบตานั้นร่างเขาก็หายไป
ปรากฏตัวอีกครั้งอยู่ข้างทะเลสาบขนาดใหญ่ในอารามศักดิ์สิทธิ์ ที่ซึ่งมีรูปแกะสลักนกอินทรีหยกเหมือนจริงสยายปีกอยู่ มันแหงนหน้าขึ้นสูงส่ง มีน้ำใส ๆ ไหลออกมาจากปากอ้ากว้าง
โหลวจวินเหยาเดินไปหยุดตรงหน้าทะเลสาบแล้วย่อตัวลงเอามือจุ่มน้ำราวกับจะสัมผัสบางอย่าง อึดใจต่อมา เขาก็ดึงมือขึ้นมาโดยที่น้ำไม่กระเพื่อมสักนิด
ในมือที่เต็มไปด้วยหยดน้ำ พันเกี่ยวด้วยด้ายสีแดง คือแหวนสีแดงเลือดที่สลักอย่างประณีตวงหนึ่ง เหมือนกับวงที่เขาสวมอยู่ที่นิ้วนางไม่มีผิด
แหวนบนมือเขาคือวงที่ชิงอวี่ถอดออกมาจากคอแล้วสวมให้เขาด้วยตนเอง
นางบอกว่าแหวนคู่นี้นางห้อยมาตั้งแต่ชาติก่อน ไม่รู้ว่าจากที่ใด แต่พวกมันมีความหมายกับนางมาก เป็นของรักของหวงของนาง ไม่เคยให้ห่างกายเลยสักนิด
ที่นางมอบให้เขาวงหนึ่ง เป็นเครื่องหมายว่าเขาสำคัญกับนางเพียงไหน ทั้งยังเป็นวิธียอมรับเขาในแบบของนางเอง
แต่ตอนนี้ แหวนวงสำคัญของนางกลับถูกโยนทิ้งอยู่ในทะเลสาบ
โหลวจวินเหยาสีหน้าทะมึนทันที เขากำมือที่มีแหวนไว้แน่น พลันนึกเรื่องสำคัญได้ หากเผลอทำลายแหวนขึ้นมาเพราะไม่อาจคุมอารมณ์โกรธก็คงทำให้เสียสิ่งที่ไม่อาจหามาแทนได้
เขาจึงคลายมือออก เก็บแหวนเอาไว้ในหาบเสื้อตรงอกอย่างหวงแหน
เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้คือหาตัวนาง
แม้ในใจจะมีความคิดมากมาย แต่เขาก็ต้องการคำตอบที่ชัดเจนโดยเร็ว
—————————————
ที่อีกฟากหนึ่ง หลังจากชิงลั่วเยี่ยนกลับมายังเรือนนอน นางก็จ้องพระจันทร์ทรงประหลาดอยู่นาน นานจนคอนางแข็งรู้สึกชาไปหมดจึงตั้งสติได้
นางเม้มปาก พอหันหน้ามาก็ต้องเบิกตากว้างเพราะเงาร่างบุรุษที่ยืนอยู่ เข้ามาอย่างกะทันหัน
“จอมมาร?”
เขามาทำอะไรที่นี่?
คนที่มักมีรอยยิ้มไม่สนโลก ตอนนี้กลับไร้แววขันอีกต่อไป ดวงตาสีม่วงจ้องมองนางไร้อารมณ์ก่อนเปิดปากถาม “ชิงอวี่อยู่ไหน?”
ได้ยินแล้วชิงลั่วเยี่ยนก็ชะงักไปเหมือนไม่เข้าใจ “เจ้าว่าอะไรนะ?”
“ข้าไม่มีเวลามาเล่นเสแสร้งกับท่านที่นี่”
น้ำเสียงเย็นไร้อารมณ์เอ่ยขึ้นอีกครา ทว่าร่างที่เดิมทีอยู่ห่างไปสิบก้าว พริบตาเดียวกลับมาอยู่ตรงหน้านางแล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “ชิงอวี่อยู่ที่ไหน?”
ชิงลั่วเยี่ยนหัวเราะเบา ๆ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งนางหรี่ลงน้อย ๆ “จอมมารมาโดยไม่ได้รับเชิญ บุกเข้ามาในเรือนนอนข้าเสียดึกดื่น ทั้งยังพูดจาแปลก ๆ น่าขันเช่นนี้กับข้า เจ้าอารามเช่นข้ายังไม่ถือโทษโกรธเจ้า แต่เจ้ากลับตั้งคำถามกับข้า …..”
“นางถูกเอาตัวไปหรือ?” ดวงตาที่ลึกล้ำและชวนหลงใหลของเขาจ้องนางนิ่ง น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
สีหน้าชิงลั่วเยี่ยนแข็งค้างไป ก่อนพยักหน้าน้อย ๆ “ถูกต้อง”
“ใคร?” โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำอันตราย
ชิงลั่วเยี่ยนงุนงงเล็กน้อยพลางส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”
“หน้าตาเป็นอย่างไร?”
“ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร เวลาเขามาก็มักหลบอยู่ในหมอกชั้นหนึ่ง ข้ามองไม่ชัดเจนนัก เขา…..” ชิงลั่วเยี่ยนมุ่นคิ้ว คล้ายกับพยายามนึกใบหน้าอีกฝ่าย “เป็นชายหนุ่ม”
“พลังเขา เทียบกับท่านเป็นอย่างไร?”
“ข้าเทียบไม่ได้ถึงสิบส่วนของเขาด้วยซ้ำ” ชิงลั่วเยี่ยนคิดครู่หนึ่งพลางตอบ ยามเอ่ยถึงเขานางยังดูกลัวและกังวลอยู่ในใจ ไม่กล้าจดจำได้มากมาย ในใจนางฝืนต้านไม่อยากจำมันขึ้นมา
โหลวจวินเหยายกยิ้มเยาะ หัวเราะหยันทีหนึ่งก็หมุนตัวจากไป
ประตูเรือนนอนนางพลันถูกลมพัดเปิดออก ลมแรงด้านนอกพัดเข้ามา ความหนาวเหน็บลึกถึงกระดูกทำให้ชิงลั่วเยี่ยนสั่นไปถึงทรวงใน รู้สึกมีสติเต็มตาทันที
เกิด….. อะไรขึ้นกันแน่?
นางเงยหน้ามองออกนอกประตูที่ถูกพัดเปิด เห็นร่างสูงกำลังเดินจากไปช้า ๆ จนกระทั่งเลือนหายไปจากสายตา
—————————————-
ไม่รู้ว่านางมึนงงไม่ได้สติอยู่นานเท่าไหร่ ลืมตามาอีกครั้ง ชิงอวี่ก็พบว่าตนเองเจ็บไปทั่วทั้งร่าง เป็นความรู้สึกที่แย่กว่าการต่อสู้แล้วบาดเจ็บหนักครั้งนั้นเสียอีก
เพราะแม้จะรู้สึกเจ็บไปทั่ว แต่กลับไม่พบร่องรอยบาดเจ็บใดบนร่าง ทั้งยังไม่เสียเลือดสักหยดอีกต่างหาก
นางเบิกตากว้าง จำเรื่องที่ชายปริศนาที่พลันปรากฏขึ้นได้ หรือเขาใช้วิชาชั่วร้ายมาทรมานนางงั้นหรือ?
ตอนนี้ทั่วร่างนางชโลมไปด้วยของเหลวสีแดง น้ำนั้นลึกถึงไหล่เท่านั้น ข้อเท้าเหมือนถูกพันธนาการด้วยบางอย่างทำให้ขยับสักนิดยังไม่ได้ ทว่าสองมือเป็นอิสระ แต่นางกลับไม่อาจขึ้นจากน้ำนี่ได้
มองของเหลวสีแดงแล้ว ชิงอวี่ก็มุ่นคิ้วขยะแขยง กลิ่นมันไม่ใช่เลือด ทั้งยังไม่มีกลิ่นแปลก ๆ แต่ดูแล้วไม่ใช่ของดีแน่ ทั้งยังไม่ค่อยน่ามองเท่าไหร่
คงไม่ใช่การกลั่นชั่วร้ายที่สลายพลังบำเพ็ญกระมัง…..
คิดแล้วชิงอวี่ก็ยิ่งมุ่นคิ้วหนัก นางพยายามขยับขา แต่ราวกับถูกดึงไว้ด้วยบางอย่างที่หนักนับพันชั่ง ทำให้ไม่อาจทำอะไรได้
ทำได้แต่ยอมแพ้เท่านั้น นางใช้สองมือแตะทั่วร่าง พอแตะมาถึงลำคอนางก็นิ่งไป
เหมือนนางจะจำบางอย่างได้แล้ว
“อ้อ? ดูท่าเจ้าจะพกของชิ้นน้อยที่วิเศษไม่เบาเอาไว้ด้วยนี่? น่าเสียดายที่เอาไปด้วยไม่ได้”
น้ำเสียงไพเราะของชายหนุ่มเจือแววขันดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่ของบนลำคอนางจะถูกดึงออกแล้วโยนไปไกล ตกถึงพื้นก็ไร้เสียง
บัดซบ!
ชิงอวี่มุ่นคิ้วกำมือแน่น ไม่คิดเลยว่าคนวิตถารนี่จะค้นพบของที่นางพกติดตัวมานานหลายปี แล้วยังโยนมันทิ้งอีก!
ที่นางห่วงตอนนี้คือโหลวจวินเหยา เพราะเขารู้แน่ว่านางหายตัวไป ไม่รู้ว่าจะโกรธเคืองไปถึงขั้นไหนบ้าง
แต่นางคิดว่าเขาคงเดาออกว่านางถูกเอาตัวไป เพียงแต่ยังไม่รู้ที่เท่านั้น
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่มีใครคิดว่าอีกฝ่ายจะลงมือเร็วเช่นนี้
นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจู่ ๆ ถูกพาตัวมาอย่างไร แต่ก็เห็นได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้แกร่งขนาดไหนแล้ว
“ไหมไหม” นางส่งเสียงเรียกในใจ แต่ไร้เสียงตอบ
“เจ้าตัวเล็ก?” นางลองเรียกอีกคนหนึ่ง เจ้าตัวเล็กที่บอกว่าเป็นจิตวิญญาณตำราแพทย์แดนเซียน
ทว่า ฮ่า ๆ เห็นหรือไม่? รู้แล้วล่ะว่าอย่างไรก็พึ่งพวกมันไม่ได้เลย
ยามคับขันทีไรทั้งสองคนนี้ไม่เคยจะอยู่ ไม่ใช่ว่านางชินชาเสียแล้วหรือ?
ชิงอวี่ถอนหายใจเสียงหม่น ก่อนตรวจตรารอบกายเพื่อดูว่าอยู่ที่ใด เหมือนจะเป็นคุกบางอย่าง
แต่ทุกอย่างเป็นสีแดง กระทั่งประตูคุกยังสีแดง เหล็กทุกท่อนบนประตูที่หนาเท่าแขนเด็กทารกดูหนาและแข็งแรงมาก ใช้กำลังฝ่าออกไปไม่น่าได้ คงจะมีปุ่มลับอยู่ที่ไหนแน่
นางหลุบตาลง มองไปยังก้นบ่อ ข้อเท้านางมีห่วงเหล็กคล้องอยู่ นางลองเขย่าเท้าด้วยความขุ่นใจเล็กน้อยแล้วซัดพลังวิญญาณสีทองเหลือบแดงออกจากฝ่ามือไปยังห่วงเหล็กนั่น
แต่มันยังไม่ทันซัดห่วงเหล็ก ก็มีแรงกดดันหนึ่งปรากฏขึ้นหยุดมันไว้
ชิงอวี่ชะงักไป ยังไม่ทันดึงสติได้ก็ได้ยินน้ำเสียงไพเราะคุ้นหูดังอยู่ข้างใบหู “ไม่อยากมีเท้าแล้วหรือ?”
ชิงอวี่เงยหน้ามอง เห็นว่าร่างสูงมาปรากฏอยู่ข้างตัวนาง และกำลังก้มมองนางจากมุมสูง