สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 295 ทางสู่แดนเซียนเต็มไปด้วยขวากหนาม
- Home
- สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!
- บทที่ 295 ทางสู่แดนเซียนเต็มไปด้วยขวากหนาม
บทที่ 295 ทางสู่แดนเซียนเต็มไปด้วยขวากหนาม
บทที่ 295 ทางสู่แดนเซียนเต็มไปด้วยขวากหนาม
ได้ยินดังนั้นจูเก่อฉงจึงเลิกคิ้ว เผยสีหน้าชั่วร้ายมองอีกฝ่าย “กล้าขัดคำสั่งข้าหรือ?”
อีกฝ่ายเห็นแล้วก็สั่นราวกับใบไม้ต้องลม หน้าผากชื้นเหงื่อเย็น
จูเก่อฉงได้ยินคำตอบยิ่งรู้สึกโกรธ สมาพันธ์นักล่ากลับมีคนขี้ขลาดตาขาวแบบเจ้านั่นได้! น่าอัปยศนัก! หลายสายตาจากขุมอำนาจทั้งหลายต่างจ้องมอง หากมันไม่ขึ้นไปจริง ๆ เขาก็ต้องเสียหน้าต่อธารกำนัลน่ะสิ?
คิดแล้วจูเก่อฉงก็สีหน้าทะมึน ตะคอกเสียงเย็นขึ้น “หากไม่ไสหัวขึ้นไป ข้าก็จะสังหารเจ้าเสียตรงนี้!”
“เจ้าอย่าผลีผลาม เราเพียงจะหาคนไปทดสอบเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ส่งไปตาย หากพูดเช่นนั้นใครจะกล้าไปกัน?”
ชิงเทียนหลินเอ่ยเสียงหัวเราะพยายามดึงอารมณ์โกรธของจูเก่อฉงไว้ จากนั้นหันไปหาชายที่มีสีหน้าตื่นกลัว แล้วก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนที่ไปไม่ถึงดวงตา “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะสอนเจ้าเอง เจ้าต้องรอดชีวิตได้แน่”
ชายคนนั้นจ้องสีหน้าอ่อนโยนของชายหนุ่มแล้วตกอยู่ในภวังค์ไป ช่างเป็นคนที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นมิตรอ่อนโยนนัก เขาพลันลืมความกลัวและพยักหน้ารับอย่างเหม่อลอย “ตกลง…”
จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เดินไปหาบันไดแก้วนั่นช้า ๆ
จูเก่อฉงเบิกตากว้างประหลาดใจ พริบตาพลันเข้าใจจึงเผยรอยยิ้มดูถูกออกมาทันที
ชิงเทียนหลินมองชายคนนั้นก้าวเท้าขึ้นบันไดขั้นแรกไปแล้ว ริมฝีปากก็ขับกล่อมไปด้วย “ขึ้นไปขั้นที่สอง”
ราวกับว่าชายคนนั้นเป็นหุ่นเชิดที่ถูกเชือกเชิดอยู่ เขาก้าวขาขึ้นสูงก่อนจะเหยียบลงบนขั้นที่สอง จากนั้นก็ยืนยิ่งอยู่เช่นนั้น รอคำสั่งต่อไปอย่างโง่งม
เป็นอย่างที่คิด ชิงเทียนหลินใช้วิชาเชิดหุ่นกับลูกน้องของเขา ไม่เช่นนั้นมีหรือมันจะยังคงหน้าตาสงบไว้ได้ ตกปากรับคำวิ่งเข้าหาความตายโดยพลันเช่นนั้น?
จูเก่อฉงคิดแล้วก็ถอนหายใจอยู่ภายใน ยิ่งรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้เกินหยั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ วิชาเชิดหุ่นของเขารุดหน้าถึงขั้นเหนือจินตนาการ เคราะห์ดีที่ไม่ได้เป็นศัตรูกัน
“คราวนี้ขึ้นไปอีกทีละสองขั้น รักษาฝีเท้าให้มั่นคง ห้ามหยุดระหว่างทาง” ชิงเทียนหลินเอ่ยเสียงเบา
ได้ยินแล้ว ทุกคนก็เห็นชายทื่ยืนอยู่บนบันไดที่มีท่าเคลื่อนไหวดูแข็งไม่เป็นธรรมชาติกลายเป็นคล่องแคล่วว่องไว ก้าวขึ้นไปคราละสองขั้นได้หกครั้ง
หากแต่เมื่อยกเท้าจะก้าวไปอีกขั้น ก็มีบางอย่างลอดผ่านอากาศไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันเห็นว่ามันซัดถูกอะไรกันแน่ แต่หูกลับได้ยินเสียงตกดังตุบลงมาแล้ว
สิ่งต่อมาที่เห็นคือคนที่กำลังก้าวเท้าขึ้นบันไดพลันร่วงลงมา ใต้ร่างมีเลือดเจิ่งนองเป็นกอง แต่ร่างกลับไร้ศีรษะ เลือดมากมายพุ่งออกมาจากแผลเหวอะ นับเป็นการตายที่น่าสะพรึงนัก
ทุกคนใบหน้าซีดเผือดทันที
“นั่น….. มันอะไรน่ะ?”
“เป็น….. นกหรือ?”
“ดูท่าจะมีขนาดเล็กนัก! แต่กลับกินศีรษะคนได้ภายในพริบตา…..”
หลายเสียงดังขึ้นถกเถียงกันอย่างดุเดือด จูเก่อฉงหน้าคว่ำง้ำงอ อย่างไรคนที่ตายก็เป็นลูกน้องของเขา
ทุกอย่างเหมือนเป็นไปด้วยดี ไม่มีใครคิดว่าจะกลายเป็นเช่นนั้นได้ ชิงเทียนหลินเองก็มุ่นคิ้วมองศพไร้หัวบนพื้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน
มันผิดพลาดที่ตรงไหนกัน?
มัน….. เป็นไปได้ด้วยดีมากแท้ ๆ เพราะอะไรจู่ ๆ ถึงเกิดเรื่องประหลาดขึ้นได้?
เมื่อมีอีกคนหนึ่งตายไปก็ยิ่งทำให้คนอื่น ๆ ร้อนใจอยู่ไม่เป็นสุข แม้ก่อนหน้าจะมีคนใจกล้าลองขึ้นไปดู แต่เมื่อเห็นอสูรร้ายปรากฏตัว ทุกคนก็ปัดความคิดต่าง ๆ ในหัวทิ้งไปทันที
พวกเขาอยากขึ้นไปมากก็จริง มีใครที่ไหนไม่อยากได้ของที่ทำให้สามารถมีอำนาจแบบก้าวกระโดดได้บ้าง? แต่ก่อนหน้านั้นก็ต้องมั่นใจเสียก่อนว่ามีชีวิตรอดอยู่ถึงตอนนั้น!
“ประมุขน้อย ไม่ลองให้ข้าไปดูเล่า?”
เด็กน้อยหน้าตาน่ารักว่าพลางเงยหน้ามองเขา สีหน้านางทั้งใสซื่อและบริสุทธิ์
“เสี่ยวเหยี่ยน เจ้าอย่าเลย ไม่เห็นหรือว่าผู้ใหญ่ตัวโตตายไปแล้วสองคน? หากเป็นเจ้ายามราตรีก็อาจพอมีหวัง แต่เจ้ายามกลางวันไม่มีความสามารถในการต่อสู้มากพอ” ชายร่างผอมสูงเอ่ยเย้า
เด็กน้อยนามเสี่ยวเหยี่ยนได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วโกรธ พลางตวัดสายตามองเขา “เจ้าดูถูกข้าหรือ?”
“ข้าเปล่า! ข้าเพียงพูดความจริง เด็กน้อยอย่างเจ้าไม่ควรไปทำให้เรื่องวุ่นวายกว่าเดิม”
เสี่ยวเหยี่ยนโกรธมากจึงเมินเขาไป วิ่งเหยาะ ๆ ไปหาชิงเยี่ยหลี “ประมุขน้อย ให้ข้าลองดูเถอะ! ข้าจะระวัง”
ชิงเยี่ยหลีหลุบตาลงมองนางด้วยสายตาไร้อารมณ์ก่อนเอ่ย “ข้าไม่ปล่อยให้คนของข้าต้องไปเสี่ยงเช่นนั้น อย่าห่วงเลย อีกไม่นานก็มีคนอีกมากที่ทนไม่ไหวเอง”
——————————
“อยู่ในนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
น้ำเสียงเยือกเย็นแต้มรอยแหบจาง ๆ พลันเอ่ย ชิงหลานเฟยชะงักไปเล็กน้อยก่อนเงยหน้าขึ้น
คนเรือนผมสีเงินยืนอยู่เบื้องหน้า สตรีที่มีใบหน้างดงามเช่นนี้ เป็นอาจารย์ของนางไม่ผิดแน่ เทพวิญญาณเหยี่ยนพั่ว เมื่อใครบนยอดเขาใจสงบทำผิดจะถูกส่งมาให้นาง
แต่ก็เป็นนางที่ต้องถูกลงโทษเพราะสั่งสอนศิษย์ทรยศขึ้นมา ทำให้นางเป็นที่กล่าวถึงอยู่นานพอสมควร
ชิงหลานเฟยใช้สองมือยันร่างตนขึ้น ตะเกียกตะกายอยู่นานกว่าจะยืนได้
โซ่ตรวนทั้งหนาและหนักพันธนาการมือและเท้านางไว้ ส่งเสียงกระทบดังยามนางพยายามยืน เห็นได้ชัดว่าข้อมือนางช้ำและบวมเป่งจากการถูกล่ามไว้นาน ผิวขาวราวหิมะของนางตอนนี้ขึ้นเป็นสีแดงจัด
“อาจารย์ ข้าสบายดี” ชิงหลานเฟยเอ่ยเสียงเบา
หากมองข้ามริมฝีปากที่ซีดจนน่ากลัวของนางแล้ว นางก็ดูสบายดีจริง ๆ
เหยี่ยนพั่วริมฝีปากเม้มแน่น “เจ้ายังหัวแข็งเหมือนเดิม”
ชิงหลานเฟยเผยสีหน้าดูถูกเล็กน้อย “เกรงว่าอาจารย์คงไม่ได้มาดูอาการข้าหรอกกระมัง?”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ข้ามาที่นี่เพื่อบอกบางอย่างกับเจ้า”
นางพูดแล้ว สีหน้าอิงเกอที่ยืนก้มหน้าเงียบอยู่เบื้องหลังก็เปลี่ยนไป มองชิงหลานเฟยด้วยสายตากังวลเล็กน้อย
หรืออาจารย์จะ…..
ได้ยินดังนั้น ชิงหลานเฟยก็ไม่เปลี่ยนสีหน้ามาก ยังคงความสงบไว้ “อะไรหรือ?”
เห็นใบหน้าเรียบเฉยไม่ใส่ใจของนางแล้ว เหยี่ยนพั่วก็อดยกยิ้ม ยื่นมือโยนของบางอย่างลงบนพื้น
ชิงหลานเฟยหันไปมอง ก่อนจะนิ่งอึ้งไป
เป็นกระเป๋าใส่สมุนไพรใบเล็กบอบบาง ชิงหลานเฟยเอื้อมมือคว้ามันมาถือไว้ ค่อย ๆ เปิดมันออก ในนั้นมีสมุนไพรบดอยู่เล็กน้อย ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกมา
แต่สำคัญที่สุดไม่ใช่ตรงนั้น ภายในถุงนั่นยังมีผมปอยหนึ่งอยู่
สีดำสนิทและสวยงาม ไม่รู้ทำไม ชิงหลานเฟยจ้องปอยผมนั้นนิ่ง นิ้วมือเริ่มสั่นน้อย ๆ “นี่มัน…..”
“ไม่รู้สึกหรือ?” เหยี่ยนพั่วเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “กลิ่นอายที่คุ้นเคย เชื่อมโยงกันด้วยสายเลือด คงไม่ต้องให้ข้าอธิบายกระมัง”
ชิงหลานเฟยเงยหน้ามองไม่เชื่อสายตา เบิกตากว้างแล้วกัดฟันเอ่ยขึ้นช้า ๆ “พวกท่าน….. จับตัวลูกสาวข้ามาหรือ?!”
“เฮ้อ” เห็นนางใกล้คลั่งเต็มทน สายตาเหยี่ยนพั่วก็ฉายแววเวทนาอยู่บ้าง
“ในเมื่อใจเจ้ารู้อยู่แล้ว เหตุใดยังต้องดึงดันจะตั้งคำถามไม่หยุดยั้งกัน? อย่างไรข้าก็ไม่ใช่เป็นคนลงมือ ยอดเขาใจสงบมีคนมากมายที่อยากได้หน้า ละโมบอยากได้อาวุธที่แกร่งขึ้นมีอำนาจมากขึ้น ข้าเคยบอกแล้วว่าพวกเจ้าทุกคน….. ไม่มีใครหนีชะตานี้ได้ หากเจ้าเชื่อคำข้าเมื่อครานั้น ก็ไม่ต้องพบกับจุดจบเช่นนี้…..”
“พวกท่านทำอะไรนางหรือไม่? นางเป็นอย่างไร? ท่านทำอะไรนาง…..” ชิงหลานเฟยตาแดงก่ำ ไม่สนใจโซ่หนาที่ล่ามแขนขา พยายามเข้าโจมตีสตรีที่ยืนนิ่งตรงหน้าตนอย่างบ้าคลั่ง
แต่ระยะที่นางเคลื่อนไหวได้ถูกจำกัด ระยะห่างที่โซ่เหล็กมาถึงนั้นห่างกับสตรีผมเงินเพียงครึ่งก้าว จากนั้นก็ไม่อาจก้าวออกมาได้อีก
เนื้อนุ่มช้ำ ๆ รอบข้อมือและข้อเท้าชิงหลานเฟยครูดกับห่วงเหล็กมากจนกระทั่งเริ่มหลั่งโลหิต แต่นางราวกับไม่รู้เรื่องราว ยังพยายามฝืนตัวอย่างแรง
เลือดยิ่งไหลออกจากข้อมือข้อเท้ามากขึ้นเรื่อย ๆ เหยี่ยนพั่วอดมุ่นคิ้วไม่ได้ ยื่นมือไปแตะที่หน้าผากชิงหลานเฟยเบา ๆ แล้ว ร่างนางก็พลันชะงักค้างไป ก่อนนางจะหลับตาแล้วล้มลงกับพื้น
“ยังดื้อรั้นเช่นเคย” เหยี่ยนพั่วเอ่ยเสียงเย้ยหยันเย็นชา จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปไม่หันกลับมา
ปล่อยให้อิงเกอยืนอึ้งอยู่เช่นนั้น สีหน้าเป็นห่วงคนที่ล้มลงไป
“อิงเกอ เจ้ามัวยืนมองอะไรอยู่? ไม่ไปหรือ?” เห็นนางไม่ตามมา เหยี่ยนพั่วจึงเรียกนาง
“อาจารย์ นางถูกขังอยู่ในคุกปีศาจน้ำแข็งกลืนเพลิงมานานแล้ว ตอนนี้คงจะไร้พลังบำเพ็ญอีก ตอนนี้นางเสียเลือดมาก หากปล่อยไว้…..”
อิงเกอพูดถึงตรงนี้ก็เงียบไปอย่างหวั่นเกรง แต่ก็ยังเอ่ยต่อ “นางยังมีประโยชน์ หากเกิดเรื่องกับนาง เจ้าเหนือหัวอาจโทษท่านได้”
เหยี่ยนพั่วครุ่นคิดแล้วก็เห็นว่าอิงเกอมีเหตุผล นางมุ่นคิ้วก่อนเอ่ยคำ “เช่นนั้นก็ทำแผลให้นางสักหน่อย”
ในใจอิงเกอยินดีนักยามได้ยินดังนั้น แต่หากไร้สีหน้าใด “เจ้าค่ะอาจารย์”
ทันทีที่เหยี่ยนพั่วออกไป อิงเกอก็รีบทำแผลให้ชิงหลานเฟยทันที และเมื่อเห็นแผลที่ปลายแขนขาของนาง ใจนางก็บีบรัดด้วยความเจ็บปวด
อิงเกอกังวลว่าจะบอกศิษย์พี่อย่างไรว่าลูกสาวของนางถูกนำตัวมายังยอดเขาใจสงบแล้ว
ไม่คิดเลยว่าอาจารย์จะเป็นคนมาบอกด้วยตัวนางเองแบบนี้
อาจเพราะนางห่วงใยลูกสาวนางมากเกินไป ศิษย์พี่จึงเสียสติไปทันทีที่เห็นผมปอยหนึ่ง จริง ๆ แล้วแม่นางน้อยไม่ได้เกิดเรื่อง หากแต่นางเอกก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีไปกว่ากันเท่านั้น
อิงเกอถอนหายใจเบา ๆ อยู่ในใจ ดูท่านางคงต้องหาทางไปพบแม่นางน้อยแล้ว
ไม่ว่าใครแช่น้ำนานขนาดนั้นก็คงไม่ได้รู้สึกดีมากมายอยู่แล้ว
อีกทั้งมันยังไม่ใช่น้ำธรรมดา แต่มีสีแดงดั่งเลือด ไม่รู้ว่าผสมอะไรลงไปบ้าง? แต่ที่แปลกคือพลังบำเพ็ญนางไม่มีวี่แววถดถอยลงสักนิด ทั้งยังรู้สึกว่าแกร่งขึ้นอีกด้วย
ชิงอวี่เงยหน้าขึ้นมองเหนือศีรษะตนด้วยความเบื่อหน่าย แต่เหลือบมองคราหนึ่งกลับพบอะไรบางอย่าง
โครงสร้างด้านบนนี่ เหมือนจะหินน้ำแข็งที่แข็งและแกร่งมาก ภายนอกดูเหมือนน้ำแข็ง แต่แท้จริงแล้วคือวัสดุพิเศษที่แกร่งเสียกว่าทองแดงหรือเหล็กเสียอีก
มุมปากนางกระตุกยิกเป็นเผยรอยยิ้มที่ไร้แววขัน “…..”
พวกเขาต้องกลัวนางหนีมากเพียงไหนกัน?
นี่ไม่ประเมินนางสูงไปหน่อยหรือ?