สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 302 ทำไมเจ้าถึงดูเศร้านัก
บทที่ 302 ทำไมเจ้าถึงดูเศร้านัก
บทที่ 302 ทำไมเจ้าถึงดูเศร้านัก
“ไม่อยากเชื่อเลย พวกมัน….. ตายแล้วหรือ?”
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าหล่อเหลาเดินเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยเสียงเบาขึ้นมา
เขาก้มลงมองสิงโตหิมะด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะเอื้อมมือไปดูลังเลอยากจะแตะ แต่กลับสัมผัสได้เพียงพื้นผิวแข็ง ๆ เท่านั้น
เขาชะงักไปพักหนึ่งพลางส่ายหน้านึกขำตนเอง ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าพวกมันยังมีชีวิตอยู่แปลก ๆ นะ?
สหายที่ล่วงหน้าไปก่อนหันมาเรียกเขา เขาจึงรีบเดินตามไป ไม่สนใจอสูรวิญญาณที่ถูกแช่แข็งอีก
ทว่าหลังจากทุกคนเดินออกไปไกลแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงหรือไม่ ทว่าดวงตาสีน้ำตาลกลมโตราวระฆังสัมฤทธิ์ของสิงโตหิมะที่ถูกน้ำแข็งเกาะกุมพลันกะพริบตาครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็นิ่งสนิท
ชิงเยี่ยหลีและพวกเดินรั้งท้าย ในหมู่พวกเขามีพวกที่ไม่ใช่มนุษย์หลายคน ดังนั้นจึงมีสัมผัสไวกว่ามนุษย์มาก
โดยเฉพาะชิงเยี่ยหลี นับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามา ประสาทสัมผัสของเขาก็เครียดขึงมาตลอด พริบตาหนึ่งเมื่อครู่ก่อน เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายประหลาดจาง ๆ ทำให้ไม่สบายใจเท่าไหร่นัก
หัวคิ้วทั้งสองค่อย ๆ มุ่นเข้าหากัน ก่อนเขาจะเอ่ยน้ำเสียงทุ้มต่ำออกมา “ทุกคนระวังด้วย”
อุปสรรคแรกก็ยากมากแล้ว อีกทั้งตอนนี้พวกเขาอยู่ในเขตแดนยอดเขาใจสงบ ยิ่งต้องระมัดระวังมากกว่าเก่า ห้ามลดความระวังลงแม้สักนิดเด็ดขาด
——————————————
“เจ้าจำทางตอนออกมาได้หรือไม่?”
โหลวจวินเหยาอุ้มก้อนกลมไว้ในวงแขน ก่อนก้มหน้าลงถามมันเสียงเบา
ว่ากันตามเหตุผล อสูรวิญญาณจะมีความสามารถบางอย่างที่แกร่งกว่ามนุษย์ อาทิเช่นมีประสาทการรับรู้เรื่องเส้นทางที่เฉียบคมกว่าจนมนุษย์ยังต้องอาย หรือไม่ก็ความสามารถในการแกะรอยตามผ่านกลิ่นหรือกลิ่นอายได้
อย่างไรก็ตามแต่ โร่วโร่วเพียงแต่ส่ายหน้าทำตาใสซื่อ “ข้าจำได้แต่ว่าสถานที่ที่ท่านแม่อยู่นั้นอยู่นั้นเป็นป่าที่มีต้นไม้สูงมาก ๆ แต่มีพื้นดินต่ำมาก ๆ เป็นสถานที่ที่ถูกปิดบังไว้ ทำให้ค้นหาได้ยากนัก”
“ป่าหรือ?” เมื่อชิงเป่ยด้านข้างได้ยินเขาก็มุ่นคิ้ว จากนั้นเอ่ยเสียงฉงนขึ้น “เจ้าแน่ใจหรือ? พื้นที่รอบด้านเราเห็นแต่ผืนน้ำแข็ง ทั้งสภาพอากาศก็หนาวเย็นจนไร้สีสันใด จะมีต้นไม้ขึ้นในสภาพอากาศโหดร้ายเช่นนี้ได้หรือ…..”
“ข้าจำได้แม่นยำ ด้านนอกเป็นป่า ต้นไม้เป็นสีขาวราวหิมะทั้งลำต้นและใบ ทำให้กลืนไปกับรอบข้างพวกเราได้เป็นอย่างดี”
โร่วโร่วที่กำลังพยายามนึกอย่างนักนึกออกเรื่องหนึ่ง มันยื่นอุ้งมือออกมาแล้วแบออก เห็นเป็นเนื้ออุ้งมืออ้วน ๆ สีชมพูมีของบางอย่างสีขาวอยู่ภายใน
โหลวจวินเหยานัยน์ตาเป็นประกายคมปลาบ นิ้วเรียวยาวหยิบปลายของของชิ้นนั้นขึ้นมา
คนอื่น ๆ อดหันมามองไม่ได้ เห็นเป็นใบไม้ใบบางปลายแหลมที่มีขอบหยักแหลมที่ปลาย ถือไว้ในมือแล้วรู้สึกเย็นราวกับเป็นน้ำแข็งแผ่นหนึ่ง
โหลวจวินเหยาลองใช้นิ้วขยี้มันดู พบว่านิ้วเปียก ราวกับว่าถูกน้ำแข็งปกคลุมไว้และพลันละลายเมื่อถูกความร้อน แต่ที่แปลกคือมันปล่อยน้ำออกมาน้อยมาก ทั้งยังดูไม่เหมือนว่าน้ำแข็งละลายเลยสักนิด
“ใช้เจ้านี่หาอะไรได้หรือไม่?” โหลวจวินเหยาถามพลางส่งใบไม้ให้
“ดูคุ้นตามาก ข้าต้องเคยเห็นมาก่อนแน่” ปีศาจน้อยจ้องมันเขม็ง จากนั้นค่อย ๆ เอ่ยด้วยสีหน้าจนใจ “แต่ตอนนี้ข้ายังจำอะไรไม่ได้”
โหลวจวินเหยาพยักหน้าน้อย ๆ “ไม่เป็นไร สุดท้ายเราก็ต้องหาที่นั่นพบ เจ้าค่อย ๆ นึกไปเถอะ”
พวกเขาคือกลุ่มที่นำหน้าที่สุด ทิ้งคนอื่น ๆ ไปห่างไกลนัก ดังนั้นตอนนี้จึงยังถือว่าไร้อันตรายอยู่
แต่ในขณะนั้นเอง บางอย่างที่อยู่ข้างหลังพวกเขาพลันมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่อย่างเงียบ ๆ
—————————————
“เจ้าตัวเล็ก สองวันมานี้เจ้าว่าง่ายขึ้นเยอะเลยนี่”
น้ำเสียงเขาเจือแววขัน เอ่ยขึ้นมาช้า ๆ ยามชิงอวี่กำลังหลับตาพักอยู่ในบ่อ เมื่อได้ยินเสียงนางจึงลืมตาแล้วมองเขาด้วยแววตาเรียบเรื่อย “ชีวิตท่านช่างมีอิสรเสรีเสียจริงนะ มาหาข้าได้ทุกวันเชียว”
“ก็ไม่แปลกที่ข้าแสดงความสนใจให้สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ที่เพิ่งพากลับมามากสักหน่อยนี่นา” เหลียนซือมีสีหน้าอ่อนโยน ไม่สะทกสะท้านกับท่าทีเย็นชาของนาง
“เช่นนั้นก็รบกวนท่านแล้ว” ชิงอวี่ยกมุมปากขึ้น น้ำเสียงเสียดสี หันหน้าหนีชายหนุ่มราวกับไม่อยากเห็นหน้า
“ไม่ต้องรู้สึกแย่ไปหรอก” เหลียนซือว่า ก้าวเข้ามาอีกสองก้าว “ข้ามาวันนี้เพราะมีอะไรให้ดู”
ว่าจบ นิ้วยาวก็เคลื่อนไหวน้อย ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนหน้าจอผลึกแก้วขนาดใหญ่จะปรากฏขึ้นเบื้องหน้าชิงอวี่
“อ๊าก—”
“พวกมันยังไม่ตาย! ยังไม่ตาย!!”
“เร็วเข้า! หนี…..!”
ชิงอวี่หันหน้าไปแล้วจึงไม่เห็นว่าเขาทำอะไร แต่เสียงที่จู่ ๆ ดังขึ้นดึงความสนใจนางไปได้ นางตกตะลึงไปทันทีเมื่อหันมาเห็นภาพนั้น
บนหน้าจอที่ลอยอยู่กลางอากาศคือภาพแห่งความโกลาหล
อสูรวิญญาณนับไม่ถ้วนกะเทาะออกจากน้ำแข็ง นัยน์ตามีแต่ความกระหายเลือด กระโจนใส่ผู้คนอย่างบ้าคลั่ง
ภาพในนั้นเทียบไม่ได้เลยกับเหตุการณ์ที่นางเคยเจอในอดีต ครานั้นนางไม่เคยเห็นอสูรวิญญาณจำนวนมากเข้าโจมตีขนาดนี้มาก่อน ราวกับถูกตัวตนชั่วร้ายคุมอยู่เลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของนางมากที่สุด
เป็นเพราะในหมู่คนเหล่านั้น นางเห็นใบหน้าคุ้นเคยของคนหลายคน รวมถึงมีชิงเป่ยรวมอยู่ด้วย
พริบตานั้น ชิงอวี่ก็ราวกับไม่อาจคงความสงบได้อีก ใบหน้านางขรึมลงพลางมองภาพผู้คนตรงหน้า จากนั้นก็เค้นเสียงลอดไรฟันออกมาช้า ๆ “ท่านคิดจะทำอะไร?”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!” เหลียนซือเลิกคิ้วว่า สีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์
“อสูรวิญญาณเหล่านี้ถูกผนึกไว้ที่ราบน้ำแข็งบนยอดเขาใจสงบมานับพันปี! ใครจะคิดว่าพลังชีวิตมันจะทนทานเช่นนี้ หลายปีผ่านไปยังมีชีวิตรอดมาได้”
เขามองหน้าเด็กสาวที่แข็งเกร็งขึ้นมา ราวกับพยายามกดความโกรธไว้แล้วก็ต้องหัวเราะเบา ๆ “อสูรวิญญาณพวกนั้นถูกพรากเอาอิสระที่พวกมันหวงแหนที่สุดไป เจ้าคงนึกภาพความแค้นความไม่ขุ่นใจที่พอกพูนมานับพันปีออกหรือไม่เล่า เฮ้อ~ คนพวกนั้นช่างโชคร้ายจริง ๆ”
ชิงอวี่กำมือแน่น ตาจ้องคนที่ถูกอสูรวิญญาณไล่ล่านิ่ง บางคนน้ำตานางเจิ่งนองอย่างเสียขวัญ ความกลัวทำให้ลืมสิ้นว่าพวกเขาต่างเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ลืมเรียกพลังวิญญาณมาใช้ สุดท้ายก็ถูกอสูรวิญญาณสังหารทิ้ง
“เจ้าว่าไง? ได้เห็นพวกคนแตกตื่นวิ่งหนีกันสุดชีวิตด้วยความตื่นตระหนกเช่นนี้ไม่น่าสนใจหรือ? บังเอิญนักที่นั่นก็เป็นบททดสอบหนึ่งเท่านั้น มีแต่ต้องเผชิญหน้าเป็นตายเท่านั้นถึงจะเผยฝีมือที่แท้จริงออกมาได้”
ชิงอวี่ไม่พูดสักคำ มองภาพตรงหน้านิ่ง ๆ นางเม้มปากแน่น ดูหน้าซีดเซียวไร้สีสัน
เหลียนซือคงเห็นนางหน้าตาแปลก ๆ จึงถามขึ้น “อะไรกัน? มีคนรู้จักเจ้าอยู่ด้วยหรือ?”
เงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง ชิงอวี่ก็ละสายตาออกมาได้ ก่อนจ้องมองชายหนุ่มด้วยสายตาไร้อารมณ์ “ท่านมาเพื่อให้ข้าดูสิ่งนี้เท่านั้นหรือ? ในเมื่อข้าเห็นแล้ว ท่านก็ไปได้แล้ว”
เหลียนซือชะงักไป เหมือนตกใจกับท่าทีสงบนิ่งของนาง “เจ้าไม่กลัวสักนิดเลยหรือ?”
“มีอะไรต้องกลัว?”
“เมื่อยอดเขาใจสงบเผยกายแล้ว คนที่จะรอดมาจนถึงขั้นสุดท้ายจะได้รับการยอมรับ ถึงตอนนั้นเจ้าจะถูกใช้ในแผนการสร้างอาวุธที่แกร่งที่สุดขึ้นมา กลายเป็นหุ่นเชิดไร้สตินึกคิดและถูกชักนำ” เหลียนซือว่า นัยน์ตาเขาดูเหมือนคนที่ความคิดตีกันอย่างสับสนเล็กน้อย
“วันนั้นไม่มาถึงหรอก เรื่องที่ท่านว่าจะไม่เกิดขึ้นสักอย่างด้วย” ชิงอวี่หรี่ตาลงพูดเสียงเบา
น้ำเสียงของนางฟังดูมั่นใจนัก
เหลียนซือส่ายหน้า “ไม่รู้จริง ๆ ว่าเจ้าไปมั่นใจมาจากไหน เจ้าไม่รู้สถานการณ์ตนเองเลยหรือ?”
“ท่านรู้อะไรไหม? นับตั้งแต่ที่ข้าเห็นท่านก็รู้สึกแล้วว่าท่านเป็นคนที่ขัดแย้งในตนเองมาก” ชิงอวี่พลันพูดขึ้นอย่างไม่คาดคิด
“เจ้าหมายความว่าอะไร?”
ชิงอวี่ไม่ตอบเขา แต่พูดต่อว่า “ลึก ๆ แล้ว ท่านเองก็ไม่อยากให้ข้าเป็นเช่นที่กล่าวกระมัง?”
นางหันกลับไปมองหน้าจอนั่น มองภาพน่ากลัวที่ไม่น่ามองสักนิด “คนพวกนั้นท่านก็ไม่อยากให้ตายเช่นกัน”
เหลียนซือที่มันระบายยิ้มอ่อนโยนตลอดพลันแข็งค้างไป ยกริมฝีปากจะโค้งขึ้น “เจ้าพูดไร้สาระอะไรของเจ้า? ดูท่าข้าจะปฏิบัติกับเจ้าดีเกินไปและ….. เจ้าก็เลยเริ่มคิดว่าข้าเป็นคนดีงั้นหรือ??”
พูดแล้วเขาก็หัวเราะหยันออกมา ราวกับหัวเราะให้ความมั่นใจเกิดเหตุของนาง “หากคิดว่าพูดดี ๆ กับข้า ทำเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายต่อหน้าข้าแล้วจะทำให้ข้ายอมปล่อยยอมร้องขอชีวิตให้เจ้าละก็ เช่นนั้นเจ้าก็คิดมากไปแล้ว แม้ข้าจะรู้จักถนอมคนงาม ทั้งเจ้าก็เป็นเด็กที่มีรูปโฉมงดงามคนหนึ่ง แต่ก็น่าเสียดายนักที่เจ้าพิเศษเหนือใครด้วยมีธาตุเปลวอัคคีอยู่”
“ท่านจะยอมรับหรือไม่ก็ช่างเถอะ อย่างไรคนเราก็ต้องมีด้านที่คนอื่นไม่รู้อยู่แล้วนี่?” ชิงอวี่ยกมือขึ้นบดบังใบหน้าชายหนุ่ม เหลือไว้เพียงดวงตาคู่นั้นเอาไว้
บังเกิดเรื่องประหลาดขึ้นทันใด เหลียนซือที่ต่อหน้าผู้คนมักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอ ทั้งยังเป็นยิ้มที่อ่อนโยนดูแล้วสบายใจอีกต่างหาก
แต่เมื่อผิดบังใบหน้าส่วนอื่น ๆ เหลือไว้เพียงดวงตาแล้ว ดวงตางดงามเหนือใครคู่นั้น รูปร่างคล้ายเมล็ดซิ่งเรียวยาว แต่กลับไม่มีเค้าไอความชั่วร้าย มันดูสะอาด บริสุทธิ์จากเรื่องทางโลกใด ๆ ทั้งสิ้น
หากแต่ในดวงตาคู่เดียวกันนั้น มีความเศร้าโศกที่ไม่อาจแยกออก ตัดกันกับรอยยิ้มของเขาอย่างชัดเจน ดูขัดแย้งกันยิ่งนัก
แต่หน้าเขายังยิ้มอยู่แท้ ๆ
“ทำไมดวงตาของท่านถึงได้มีแววความเห็นอกเห็นใจ และความเวทนาให้คนอื่น ๆ อยู่ตลอดกัน?”
ตัวร้ายผู้ชั่วช้า ทำบาปกรรมมาแล้วทุกประการ แต่ภายในกลับมีความขัดแย้งกันเองเช่นนี้ เขาโศกเศร้าเรื่องอะไรกัน?
เป็นเพราะชีวิตทั้งหมดที่เสียไป หรือเป็นเพราะทั้งหมดนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการงั้นหรือ??
รอยโค้งบนริมฝีปากเหลียนซือยิ่งลึกขึ้น น้ำเสียงอ่อนโยนพลางมองนางที่จ้องเขาไม่ละสายตา “เจ้าคิดจะ….. อ่านใจข้าหรือ?”
ไม่รอให้นางตอบ เขาก็เอ่ยต่อเอง “ความเห็นอกเห็นใจแก่ผู้อื่นหรือ? หึ! ข้าไม่ใช่นักบุญที่อยากปลดปล่อยชีวิตทั้งหลายจากความทุกข์ระทมหรอก”
“ข้าเพียงแต่สมเพชตนเองเท่านั้น”