สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 311 รักเจ้ามันเหนื่อยเหลือเกิน ข้าไปต่อไม่ไหวแล้ว
- Home
- สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!
- บทที่ 311 รักเจ้ามันเหนื่อยเหลือเกิน ข้าไปต่อไม่ไหวแล้ว
บทที่ 311 รักเจ้ามันเหนื่อยเหลือเกิน ข้าไปต่อไม่ไหวแล้ว
บทที่ 311 รักเจ้ามันเหนื่อยเหลือเกิน ข้าไปต่อไม่ไหวแล้ว
เกิดอะไรขึ้นกัน…..
สีหน้าชิงหลานเฟยตกตะลึง ในใจเริ่มมีความกลัวสายหนึ่งผุดขึ้นมา
นางหลับตาแน่น จากนั้นเบิกตากว้างอีกครั้งเมื่อดูอีกทีให้แน่ใจ แต่ก็เห็นเพียงสีขาว ไม่มีสีอื่นอีก
พริบตาเดียว ก็ราวกับโลกทั้งใบเปลี่ยนเป็นสีขาวขึ้นมา
นางส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ เซถอยหลังออกไปหลายก้าว แต่พลันสะดุดบางอย่างบนพื้น ทำให้ล้มลงกับพื้นทันที
“โอ๊ย…..” ชิงหลานเฟยมุ่นคิ้ว ร้องเสียงเจ็บปวดออกมา
หินแหลมบาดฝ่ามือนางเข้า นางมองดูแล้ว ของเหลวที่ไหลออกมาจากมือก็เป็นสีขาวเช่นกัน
เกิดอะไรขึ้นกับนาง…..
ตอนนั้นเอง ชิงหลานเฟยก็รู้ถึงปัญหา นิ้วนางสั่นน้อย ๆ ยามนางยกมือขึ้นปิดหน้า หรือจะเกิดอะไรขึ้นกับตานาง?
ในฐานะนักปรุงยา ในใจนางรู้สึกทันทีว่าตนลนลานยามคิดได้เช่นนั้น แต่ก็ไม่อาจสงบจิตใจลงได้โดยเร็ว ตาแห้ง ๆ และบวมเล็กน้อยของนางรู้สึกเจ็บปวดยามมองรอบกายที่มีแต่สีขาวโพลนไปหมด
นางจำได้ว่าเคยเห็นอาการเช่นนี้ผ่านตำราที่เคยอ่าน
หลังจากติดอยู่ในแดนที่มีหิมะปกคลุมนานเข้า การสัมผัสกับแสงแดดที่รุนแรงเป็นเวลานานจะทำร้ายดวงตามาก ทำให้เกิดอาการตาบอดชั่วขณะ
โดยดวงตาจะไม่สามารถเห็นสีอื่น ๆ ได้เลย จะเห็นเพียงสีขาวราวหิมะไม่ว่าจะมองสิ่งใด
ในตอนนั้น เป็นเพราะเช่นนี้ชิงหลานเฟยจึงเห็นทุกอย่างเป็นสีขาว
เมื่อรู้สาเหตุแล้ว ใจที่ราวกับเต้นอย่างตื่นตระหนกของนางก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง นางรู้สึกว่าตนโชคดีที่ไม่ได้ตาบอดไปอย่างสมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นหนทางข้างหน้าคงยากลำบากมากขึ้นแน่
ช่างมันเถอะ ตราบที่นางยังหายใจ นางจะไม่ยอมแพ้และจะสู้เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้
— ยอดเขาใจสงบ —
ภายในตำหนักขนาดใหญ่บนจุดสูงสุด
ตำหนักกว้างนั่นว่างเปล่า กระทั่งเสียงเดินก้าวหนึ่งยังดังก้องไปทั่วทั้งสถานที่
มีจอผลึกแก้วขนาดใหญ่ที่แบ่งออกเป็นสีจออยู่ โดยมีภาพขนาดพอ ๆ กันสะท้อนออกมา
บนหน้าจอแสดงสี่สถานที่บนยอดเขาใจสงบที่ผู้คนรวมตัวกัน ทุกย่างก้าวของพวกเขาถูกจับตามองอย่างลับ ๆ
ตาสีเงินของนางที่ไร้อารมณ์กำลังจับจ้องอยู่บนสถานที่สองแห่งบนจอ จอหนึ่งคือป่าลับที่ชิงอวี่เผลอเข้าไป อีกจอคือที่ที่โหลวจวินเหยาและคนอื่น ๆ อยู่
หรือก็คือ ในใจนางคิดถึงนัยน์ตาสีม่วงคู่นั้นนัก
นางจ้องมันอยู่นานไม่ขยับกาย ใบหน้าเศร้าหมอง หรี่ตาลงน้อย ๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
กระทั่งมีเสียงเบา ๆ ของชายหนุ่มดังขึ้นเบื้องหลัง
“ขออภัยด้วย ข้าประมาทเลินเล่อไป”
ใบหน้าไร้อารมณ์ของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเนิบช้า “ขอโทษอะไร?”
น้ำเสียงนั้นไม่แยแส สงบเสียจนไม่อาจรู้ถึงความเปลี่ยนไปในอารมณ์ใดได้
นับล้านปีที่ผ่านมา นางก็ดูจะเป็นเช่นนี้ หญิงสาวบริสุทธิ์ที่ยิ้มง่ายหัวเราะง่าย ดูท่าจะมีชีวิตอยู่ในเสี้ยวหนึ่งของอดีตที่แสนยาวนานเท่านั้น
เหลียนซือกำมือแน่น “แม่นางน้อยหนีไปได้ ข้าประเมินนางต่ำไป ยอดเขาใจสงบมีอันตรายอยู่ทุกที่ หากเกิดเรื่องกับนางเข้า แผนการของท่านก็อาจ…..”
“อ้อ? งั้นหรือ?” นางพลันอุทานขึ้น “เรื่องนางหนี เจ้าก็คิดไว้แล้วไม่ใช่หรือ?”
“หมายความว่าอย่างไร?”
“หมายความว่าอะไร?” นางหัวเราะหยันแล้วหันมา นัยน์ตาจ้องชายหนุ่มพร้อมเอ่ยเสียงเสียดสี “เจ้ากล้าสบตาข้าแล้วบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวข้องหรือไม่เล่า? ว่าเจ้าไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย?”
เห็นว่าตนตกเป็นเป้าจากสายตาเยือกเย็นนั่นแล้ว เหลียนซือก็เจ็บปวดใจนัก มุมปากพลันแข็งทื่อไป “ข้าเป็นคนพานางมาเอง ตอนนี้ท่านกลับสงสัยข้าหรือ?”
“ไม่ควรสงสัยหรือไร? เจ้าต่อต้านมันมาตลอดไม่ใช่หรือ? เจ้าบอกว่าข้าเลือดเย็นเกินไป ว่าไม่ควรท้าทายการตัดสินของสวรรค์ ไม่ควรปฏิเสธโชคชะตา แล้วหลงงมงาย พยายามฟื้นชีพคนที่ตายมานับพันปีแล้ว คนที่ไม่เหลือแม้แต่ร่างเนื้ออีก”
นางเดินเข้ามาหาเขาอย่างน่ากลัว นัยน์ตาเฉียบคมเยือกเย็น
“ถึงจะคิดเปลี่ยนชะตาท้าทายความตั้งใจสวรรค์แล้วอย่างไร? ข้าติดค้างเขา หากไม่เป็นเพราะข้า เขาก็ไม่สมควรตาย ฉะนั้นถึงข้าต้องยอมสละตนเอง ก็ต้องฟื้นคืนชีวิตเขาให้ได้ เพราะข้าสมควรจะเป็นคนที่ต้องตายในตอนนั้น”
“และข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ว่าหากไม่เต็มใจช่วยข้า ข้าก็ไม่บังคับเจ้า เจ้าจากไปเลยก็ยังได้”
ความเจ็บปวดในใจเหลียนซือยิ่งหนักหน่วง มันรุนแรงจนรู้สึกหายลำบากขึ้นมา
คำของนางทำเขาหน้าซีดขาว จู่ ๆ ก็พลันดูเปราะบางราวกับขี้โรคขึ้นมา
หากแต่นางเหมือนไม่เห็นสีหน้าไม่ดีของเจ้า ยังกล่าวคำต่อ “อย่าลืมว่าเจ้าก็ติดหนี้ชีวิตเขาเช่นกันเมื่อตอนที่เขาช่วยเจ้าไว้ นี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรทำเพื่อเขา”
“ข้าไม่ลืม” เหลียนซือตอบเสียงขรึม
ล้านปีที่ผ่านมา สิ่งที่เขาจำแม่นในใจคือการที่เขาฟื้นกลับมาจากความตายได้อย่างน่าอัศจรรย์ เขาที่เป็นมนุษย์ธรรมดา ค่อย ๆ กลายเป็นคนที่มีพลังลึกล้ำเกินหยั่ง เป็นเส้นทางลึกลับที่รู้สึกทั้งศักดิ์สิทธิ์แต่ก็ดูชั่วร้ายราวกับปีศาจไปพร้อมกัน
ดวงใจปีศาจที่เต้นอยู่ในกายของเขานั้นสำคัญมาก เพราะมีมันแล้วเขาก็ไม่ต้องใฝ่หาความเป็นอมตะอีกต่อไป ด้วยสามารถใช้ชีวิตอยู่เช่นนี้โดยไม่แก่ไม่เฒ่า
แต่หลังจากอยู่มานับล้านปีแล้ว เขาพลันพบว่าชีวิตเช่นนี้มันช่างยืนยาวและโดดเดี่ยวนัก ทั้งน่าเบื่อและน่าเศร้าจริง ๆ
ได้เห็นได้ยินเรื่องความรัก ความเกลียด และความแค้นในใต้หล้ามามากมาย การพบกันอันแสนสุขของคู่รัก การจากลาเคล้าน้ำตา และเรื่องเล่าอันสวยงามของคู่ที่สวรรค์สรรค์สร้างมามากเหลือ แต่ไม่มีสักเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเขา แม้จะเป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยความเศร้าก็ยังไม่ใช่
เขารอนางมาล้านปี อยู่ข้างกายนางมาตลอดนับล้านปี
นานมากเสียจนเขาเองจำไม่ได้แล้วว่าฤดูกาลผันเปลี่ยนไปกี่ครา
แต่ปีแล้วปีเล่า นางไม่เคยเปลี่ยน ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มส่งให้เขาสักครั้งหนึ่ง
เพราะก่อนที่ ‘เหลียนซือ’ จะตาย เขาได้ใช้หัวใจปีศาจฟื้นคืนชีพเขาขึ้นมา
ดังนั้น คนทั้งสองจึงเริ่มเหมือนกันในบางมุม กระทั่งใบหน้ายังเหมือนกันเจ็ดส่วน แต่เขาไร้บรรยากาศชั่วร้ายที่คนเผ่าปีศาจมี กิริยาท่าทางก็สะอาดสูงส่ง แม้ครึ่งร่างจะเป็นปีศาจก็ตาม ไม่อาจสัมผัสได้ถึงไอชั่วร้ายเลยสักนิด
มีเพียงดวงตาเท่านั้น เมื่อไหร่ที่รู้สึกอารมณ์พลุ่งพล่าน ไม่ว่าจะดีใจมากมาย โศกเศร้าเหลือคณา หรือจะเป็นโกรธเกรี้ยว มันจะกลายเป็นสีม่วง อันเกิดจากหัวใจปีศาจที่เต้นอยู่ในร่าง
แต่มุมต่าง ๆ ที่เขาเหมือนกับ ‘เหลียนซือ’ คนนั้น ยิ่งทำให้นางมีท่าทีเย็นชากับเขามากกว่าเก่า เพราะนั่นยิ่งย้ำให้นางรู้ว่า ‘เหลียนซือ’ ได้ตายไปแล้ว
และชายที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้ ก็เป็นแค่ของเลียนแบบกระจอก ๆ ที่มีชีวิตอยู่โดยใช้หัวใจ ‘เหลียนซือ’ ของนาง
นางมีเพียงแค่ความเกลียดชังและความขยะแขยงต่อเขาเท่านั้น
“ข้าติดค้างสิ่งใด ย่อมชดใช้คืนให้เขา” เหลียนซือเอ่ยเสียงเรียบไร้อารมณ์ ราวกับเพิ่งต่อสู้กับความโศกเศร้าภายในได้ และสงบท่าทีลงได้ในที่สุด
“จริง ๆ แล้วต้องขอบคุณเจ้า ขอบคุณที่เกลียดข้ามาหลายปี ที่ไม่เปลี่ยนใจยามเห็นว่าข้ายิ่งเหมือนเขาขึ้นทุกวัน”
เหลียนซือค่อย ๆ คลี่ยิ้ม หากแต่เป็นรอยยิ้มเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก “หากเจ้าตกหลุมรักข้าเพราะเหตุนั้น ข้าว่าตัวข้ายิ่งดูน่าสมเพช…..”
เขาต้องพึ่งหัวใจของคนผู้นั้นเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อ พึ่งหัวใจของเขาเพื่อใช้เป็นข้ออ้างอยู่ข้างกายนาง เพื่อทำให้เขาดูคล้ายกับอีกฝ่าย เผื่อว่าอย่างน้อยนางจะมีสายตามามองเขาให้นานขึ้นบ้าง
แต่ตัวเขาไม่มีทางกลายเป็นอีกฝ่ายได้ ไม่อาจเปิดใจรักนางด้วยทุกอย่างได้
เขาเทียบชายที่ตายไปแล้วนั่นไม่ได้เลย
นางทำท่าราวกับไม่คิดว่าชายหนุ่มจะเอ่ยเช่นนั้น ด้วยสีหน้าตกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เอ่ยคำ ทำเพียงจ้องมองเขาเท่านั้น
“แต่ว่าจนกว่าจะถึงวันที่เจ้าเข้าใจว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจกลับมาได้ ไม่ว่าเจ้าจะเหน็ดเหนื่อยมากเท่าไหร่ วิชาต้องห้ามนั่นก็เป็นเพียงจินตนาการที่สวยงามเท่านั้น มันจะไม่เปลี่ยนอะไรไปมากกว่านี้ มีแต่ทำให้เจ้าต้องบาปหนาขึ้น ด้วยการสังหารคนบริสุทธิ์”
เหลียนซือมองใบหน้าที่ดูไม่พอใจในตอนนี้ของนางแล้วหัวเราะเสียงแผ่ว ไม่รอให้นางตอบ เขาก็เอ่ยต่อพร้อมยิ้มบาง “หากมันจะทำให้เจ้าจำข้าได้ไปตลอดกาล ข้าก็หวังว่าในวันนั้นจะเป็นข้าที่ตายไปแทน”
พูดจบ เหลียนซือก็ค่อย ๆ เดินจากไป เป็นภาพที่ดูเจ็บปวดและน่าสงสารนัก
พริบตาหนึ่ง นางพลันรู้สึกตกใจอยู่บ้าง
ไม่รู้เพราะเหตุใด ความทรงจำในอดีตถึงได้หลั่งไหลเข้ามา
ในตอนนั้น ทั้งสองยังหนุ่มยังสาว เป็นสหายวัยเด็กที่สนิทสนมกันกว่าใคร ในความทรงจำนาง เขาเป็นเด็กโง่งมคนหนึ่ง เอาแต่ยิ้มซื่อ ๆ ให้นาง ยามบาดเจ็บก็ไม่เคยร้องไห้สักครา
นางเคยถามถึงเหตุผล เขาตอบเพียงว่าเขาไม่อยากให้นางเป็นห่วง
เขาโตช้า ดังนั้นจึงไม่ได้สูงมากมาย ทั้งยังอวบนิด ๆ แม้จะมีใบหน้าหล่อเหลาที่ทำให้คนอยากเข้าใกล้ก็ตาม
แต่ไม่รู้ว่าจากนั้นเกิดอะไรขึ้น ร่างกายเขาจู่ ๆ ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป กระทั่งความสูงยังพุ่งพรวดจนกลายเป็นคนร่างผอมสูงขึ้นมา สูญเสียความอวบอ้วนวัยเด็กไป กลายเป็นชายหนุ่มหน้าหยกคนหนึ่ง
ทั้งสองมีความสุขด้วยกันมาในช่วงนั้น เป็นสหายที่เชื่อใจกันได้ จนกระทั่ง ‘เหลียนซือ’ ปรากฏตัวขึ้น
ในตอนนั้น นางคิดว่าอาจจะเป็นไปได้ว่าเขาไม่เคยเปลี่ยน เป็นนางต่างหากที่เปลี่ยน
นางรู้ว่าที่ผ่านมานางปฏิบัติกับเขาไม่ดี ทว่าคนที่ถูกตามอกตามใจมาตลอด ก็คงไม่เห็นค่าในสิ่งใดจนกว่ามันจะจากไปกระมัง? นางรู้ว่าเขาไม่มีทางทอดทิ้งนาง
กระทั่งตอนที่เขาบอกความรู้สึกแล้วถูกปฏิเสธ นอกจากจะเสียใจและทำตัวเงียบไปแล้ว เขาก็ยังเลือกจะอยู่ข้างกายนาง นางคิดว่าแม้คนทั้งโลกจะทอดทิ้งนาง แต่เขาย่อมไม่มีทางทำเช่นนั้น
แม้ใจนางจะรักเพียง ‘เหลียนซือ’ ที่ตายไปแล้วไปตลอดกาลก็ตาม
แต่เห็นแผ่นหลังของเขาที่กำลังเดินจากไปครั้งนี้ ทำไมนางถึงรู้สึกว่าเขาจะจากไปจริง ๆ กัน
และเป็นการจากนางไปจากโลกของนางโดยสมบูรณ์