สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 314 ความลับไม่อาจบอก
บทที่ 314 ความลับไม่อาจบอก
บทที่ 314 ความลับไม่อาจบอก
ความขุ่นเคืองหนักหนาสาหัสนั้น ท่วมท้นจนแทบจะสัมผัสได้จากร่างของนางแม้จะไม่ได้ประสบเรื่องที่นางพบมาเองก็ตามที
โหลวจวินเหยาเงียบไปพลางมองสตรีที่มีใบหน้าใกล้จะคลั่ง นัยน์ตาฉายแววสงสารน้อย ๆ
นางคงรู้สึกถึงสายตาซับซ้อนที่มองมาท่าทางประเมินนาง จึงหัวเราะเสียงดังออกมา ความเศร้าโศกทั้งหลายราวกับจะหายไปทันที ไม่หลงเหลืออีกสักเสี้ยว
มุมปากนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่านไม่ออก ใบหน้านั้นเห็นได้ชัดว่าถูกทำลายไปหมดแล้ว ใบหน้าที่จะมองยังแทบไม่กล้า ทว่าตอนนี้กลับมีเสน่ห์ความสง่างามบางอย่างแผ่ออกมาจากใบหน้าอัปลักษณ์เหลือทนนั้นจนสัมผัสได้
เมื่อครั้งยังมีชีวิตนางคงจะงดงามมาก และคงมีตัวตนสูงส่งไม่น้อย แม้จะกลายเป็นปีศาจชั่วร้าย แต่บรรยากาศสูงส่งของนางก็ไม่ได้หายไป
“เจ้านี่ตลกไม่น้อยเลย? หากไม่มองข้าออก เห็นตัวตนที่แท้จริง ตอนนี้ก็คงกลายเป็นศพเย็นชืดไปแล้ว แต่ตอนนี้เจ้ากลับยังมีเวลามาสงสารข้า” ปีศาจกระจกพ่นคำหยัน นัยน์ตาฉายแววดูถูกระคนขบขัน
“ไม่ใช่ความสงสาร แต่เป็นความสมเพช” โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าไม่เคยเป็นคนดี ไม่มีทางรู้สึกสงสารเจ้าได้หรอก”
“งั้นหรือ? เช่นนั้นก็สังหารข้าเลยสิ ข้าสู้เจ้าไม่ได้หรอก หากเจ้าซัดพลังใส่ข้าเสีย อย่างไรข้าก็ต้านไม่ได้อยู่ดีนี่?”
“เจ้ายั่วโมโหข้าไม่ได้ผลหรอก” โหลวจวินเหยานัยน์ตาหม่นลง เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “หากเจ้าตาย ทุกคนที่ติดอยู่ในค่ายกลกระจกจะไม่อาจออกมาได้อีก เจ้ายอมแพ้เถอะ”
“น่าเบื่อสิ้นดี ทำไมเจ้าเพียงมองก็รู้แผนของข้าหมดทุกอย่างเลยเล่า?”
ปีศาจกระจกก้มหน้าลงแล้วหัวเราะเบา ๆ ออกมา ก่อนเอ่ยคำเชื่องช้า “ทำให้ข้าฉงนนัก บุรุษเก่งกาจเช่นเจ้า สตรีที่ชนะใจเจ้าและได้รับความรักจากเจ้าไป จะโชคดีขนาดไหนกันนะ!?”
เมื่อมีคนเอ่ยถึงชิงอวี่ โหลวจวินเหยาก็มีสีหน้าอ่อนโยนขึ้น มุมปากยกขึ้นน้อย ๆ “ข้าเองก็โชคดีเช่นกัน”
ราวกับถูกแววอ่อนโยนของเขาทำให้ประหลาดใจ ปีศาจกระจกจึงอึ้งไปชั่วขณะ “แล้วอีกคำถามข้าเล่า? หาก….. นางอัปลักษณ์เช่นข้า เจ้าจะยังรักนางหรือไม่?”
“ย่อมยังรัก” โหลวจวินเหยาตอบไม่ลังเล
“หากนางไม่ทิ้งข้า ไม่ว่าใบหน้าจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ข้าก็จะยังรักนางเสมอ”
ม่านตาปีศาจกระจกหรี่ลง “ถึงแม้นางจะหักหลังเจ้าน่ะหรือ?”
“หากข้ายังอยู่ในใจนางได้ ข้าจะเชื่อเสมอว่านางมิได้เต็มใจที่ลงมือกับข้า และข้าสามารถรอให้นางกลับมาเสมอ” โหลวจวินเหยานิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนตอบโดยไม่ได้คิดอะไรมาก
ปีศาจกระจกทำท่าราวกับจะเสียสติไปชั่วขณะ ก่อนยกมือขึ้นกุมศีรษะตนแล้วส่ายหน้าด้วยความเจ็บปวด ปากก็พึมพำออกมา “เป็นไปได้อย่างไร? จะมีคนเช่นนี้ได้อย่างไร…..”
“แล้วทำไม….. ทำไมเขา….. ไม่เคยเชื่อข้า….. เขาบอกว่ารักข้า…… แต่กลับสังหารข้าด้วยสองมือตนเอง…..”
“โกหก พวกเจ้าโกหก ….. พวกเจ้าทั้งหมดมันก็แค่คนลวงโลก!”
นางดูราวกับว่ากำลังทุกข์ทรมานอย่างมาก พลังบ้าคลั่งพลันพุ่งออกมาจากร่าง ส่งผลให้กระจกทำนายที่ล้อมรอบปริแตกไปทีละใบ หากกระจกทำนายทั้งหมดถูกทำลาย และหากใบที่นางผนึกคนไว้แตกละก็ เช่นนั้นคนที่อยู่ภายในคงไม่อาจย้อนคืนได้แล้ว
โหลวจวินเหยามุ่นคิ้ว หมายจะหยุดนาง แต่น้ำเสียงทุ้มกระจ่างของชายหนุ่มอีกคนกลับดังขึ้นเบื้องหลัง ทำให้เขาตกใจเล็กน้อย
“จริง ๆ แล้ว เจ้าไม่ใช่คนคนเดียวที่ตายในกองไฟนั่น”
ประโยคสั้น ๆ แต่กลับมีพลังมากพอที่จะทำให้ปีศาจกระจกหยุดการกระทำบ้าคลั่งลง
บนใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวนั่นคือสีหน้าตกตะลึง นางจ้องมาที่ชายหนุ่มที่พลันปรากฏตัวด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง
เขาสวมชุดสีขาวสะอาดสะอ้าน ร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา ยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ไกลนัก ดูห่างเหินสันโดษดั่งเซียนที่เผลอร่วงหล่นมายังแดนมนุษย์ ดวงตาสีแดงสดใสสงบนิ่งไร้แรงกระเพื่อม ไร้อารมณ์ใดในนั้น
เขาคือปีศาจน้อย
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วประหลาดใจ เจ้าหมอนี่เร็วกว่าเขาอีก ออกมาได้เร็วกว่าเขา เจ้านี่มีความลับไม่ธรรมดาอย่างที่คิด
ดวงตาสีแดงก่ำของชายผู้นั้นจ้องมาที่มายังนางไร้อารมณ์ ราวกับกำลังดูเด็กเกเรไร้เหตุผลคนหนึ่ง
ถูกมองเช่นนั้น ไม่รู้ทำไม ในใจนางจึงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา แต่ก็รวบรวมความกล้าเอ่ยถาม “เจ้า….. ว่าอะไรนะ?”
ปีศาจน้อยไม่ตอบคำถามนางตรง ๆ แต่เอ่ยคำว่า “บางครั้ง สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่ความจริง ข้าว่าเจ้าคงไม่รู้หรอกว่าคนที่เจ้าเกลียดมานานหลายปีน่ะตายไปนานแล้ว!”
ปีศาจกระจกเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ร่างกายของเธอแข็งค้าง ยืนนิ่งอยู่กับที่ ราวกับหูได้ยินผิดไป
พูดอะไรของเขา?
คนคนนั้นตายแล้ว…..
ล้อกันเล่นเป็นแน่!
ทำไมเขาต้องตายเล่า!? หลังสังหารนาง เขาก็ไปแต่งกับสตรีอื่นเห็น ๆ ใช้ชีวิตอยู่จนมีความสุขยามแก่เฒ่า นางจะลืมได้ลงหรือ?
“เจ้าโกหก…..”
เห็นสีหน้าไม่เชื่อของนางแล้ว ปีศาจน้อยจึงหลุบตาลงไม่เอ่ยคำ แต่ยื่นมือออกมาวาดผ่านใบหน้านางเท่านั้น ทันใดนั้นภาพฉากหนึ่งก็ปรากฏในใจนาง ภาพแล้วภาพเล่า เร็วเสียจนนางมองแทบไม่ทัน
ไม่รู้ว่านางเห็นอะไร แต่จู่ ๆ นางก็น้ำตานองหน้าไหลอาบแก้ม นางส่ายหัว ร้องสะอื้นและกรีดร้องอย่างผวาออกมา
“ทำไมเขา….. เขาตายแล้วเล่า? เขาตายแล้วจริง ๆ…..”
ปีศาจน้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยต่อ “เจ้าเห็นแล้วว่าเขาอยากช่วยเจ้า น่าเสียดาย คนที่ควรตายกลับถูกสลับไปอย่างลับ ๆ เจ้ากลับมาแทนที่นาง”
“พอเขารู้เข้าก็ใจสลาย แต่จะช่วยเจ้าก็สายไปแล้ว เขาเสียใจนักจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ จึงตัดสินใจตายไปพร้อมกันกับเจ้า”
“ความคับข้องใจหนักหน่วงยังค้ำจุนเจ้า แม้กายเนื้อจะสลายไปแล้ว แต่วิญญาณไม่ยอมหายไป กลายเป็นวิญญาณร้ายที่เกลียดบุรุษทุกคนแทน แต่เจ้าก็เป็นเพียงสตรีไม่รู้ความคนหนึ่งที่ถูกความเกลียดชังความแค้นบังตา ไม่รู้กระทั่งความจริงเรื่องตัวเจ้าเองสักนิด”
ปีศาจน้อยว่ามา ทุกคำพูดกระแทกใจนาง ราวกับมีดโชกเลือดที่แทงลงตรงกลางใจ เย้ยความชังที่นางถือไว้หลายปี บอกว่านางโง่เพียงไหนที่ทรมานตนเองเป็นเวลานานเช่นนี้
ร่างกายปีศาจกระจกสั่นเทิ้มจนไม่อาจคุม ราวกับนางกำลังต่อสู้กับความปั่นป่วนภายใน ผ่านไปหลายอึดใจ ก็ราวกับไม่อาจทานทนได้อีก นางยกมือกุมศีรษะแล้วร้องครวญเสียงเศร้าออกมา
“ความผิดข้าเอง….. ข้าไม่ควรสงสัยท่าน….. ข้าเป็นเหตุที่ทำให้ท่านต้องตาย…..”
นางถูกผนึกไว้ในกระจกทำนายมาพันปี ส่วนเขาอาจไปเกิดใหม่หลายชาติแล้วก็เป็นได้ ได้เกิด ได้ใช้ชีวิต ได้แก่ชรา และตายกลายเป็นผืนดิน
ส่วนนางกลับต้องทรมานอยู่ทุกชั่วขณะ ยึดถือความชังความเศร้าตลอดชีวิต ไม่รู้เลยว่าเขาได้สละเพื่อนางมากมายเพียงไหน ไม่รู้ความจนน่าขัน
นางทรุดร่างลงกับพื้น ไร้เรี่ยวแรง ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่จึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ทำให้ปีศาจน้อยกับโหลวจวินเหยาสะดุ้ง
ใบหน้าอัปลักษณ์ของนางแปรเปลี่ยนเป็นงดงามจับตา งามเสียจนราวกับออกมาจากภาพวาด ที่หว่างคิ้วแต้มรอยโศกไว้จาง ๆ ใครได้เห็นก็นึกสงสารในใจ
โหลวจวินเหยาจึงเอ่ยเสียงฉงน “เกิดอะไรขึ้น…..”
“ขอบคุณมาก”
นางมองพวกเขาก่อนคลี่ยิ้มโล่งอก “ขอบคุณพวกเจ้าที่ช่วยคลายปมในใจข้า ตอนนี้ข้าไร้ความเสียใจใด ๆ อีกแล้ว”
ว่าแล้ว ร่างนางก็ค่อย ๆ พร่ามัว ก่อนมันจะกลายเป็นฝุ่นแล้วลอยหายไป
การมีอยู่ของกระจกทำนายขึ้นอยู่กับปีศาจกระจก ตอนนี้ปีศาจกระจกจากไปแล้วย่อมไร้ประโยชน์ พวกมันพากันปริแตกกระจายออก ทุกอย่างเบื้องหน้ากลับเป็นดังเดิม คนที่หายไปก่อนหน้ากลับมาอีกครั้งหนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้นหรือ? ข้าตื่นจากฝันหรือไร??”
“เมื่อครู่คิดว่าจะตายเสียแล้ว แต่จู่ ๆ ทุกอย่างก็หายไปในพริบตา! ราวกับเป็นแค่ภาพมายาเลย”
“ไม่หรอก ไม่ใช่เพียงมายา”
น้ำเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น ก่อนยื่นมือให้ทุกคนดู เห็นเป็นแผลลึกถึงกระดูก แม้เลือดจะหยุดแล้ว แต่สีแดงจัดชี้ให้เห็นว่าเป็นแผลสดนัก
เห็นแล้วทุกคนที่นั่นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจ นึกย้อนไปแล้ว เมื่อครู่ทุกคนตกอยู่ในอันตรายมากจริง ๆ
เสียงฝีเท้าดังขึ้น โหลวจวินเหยาเงยหน้ามอง เห็นเสี่ยวเป่ยวิ่งเข้ามาพร้อมเจ้าก้อนหิมะในแขน เจ้าตัวเล็กเลียอุ้งเท้าตนอย่างไม่สนใจ ทำตัวเงียบงันอยู่ในอ้อมกอดเด็กหนุ่ม
โหลวจวินเหยามองดูเด็กหนุ่ม “สบายดีใช่หรือไม่?”
ชิงเป่ยพยักหน้า
ได้ยินแล้วปีศาจน้อยก็หัวเราะเสียงดัง ก่อนเหลือบตามองเจ้าก้อนขนบนอ้อมแขนเด็กหนุ่ม “มีเจ้าตัวเล็กอยู่จะเกิดเรื่องอะไรได้?”
โหลวจวินเหยาพยักหน้าน้อย ๆ นั่นก็จริง
แต่ราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้ มุมปากจึงยกขึ้นก่อนถาม “เจ้ารู้เรื่องนางได้อย่างไร?”
หากปีศาจน้อยไม่ปรากฏขึ้นในตอนนั้น แล้วกล่อมปีศาจกระจกให้ปล่อยพวกเขาออกมา เกรงว่าคงจะต้องติดอยู่ในนั้นอีกสักระยะกว่าจะหาทางออกมาได้
นอกจากไป๋จือเยี่ยนที่เติบโตมาพร้อมกันแล้ว โหลวจวินเหยาก็รู้จักปีศาจน้อยมาเนิ่นนานที่สุดในหมู่ลูกน้องข้างกาย หากแต่เจ้านี่มักให้บรรยากาศลึกลับ ไม่อาจเอื้อมหรือหยั่งถึง
เป็นบุรุษแห่งความพิศวง
“ข้าสามารถรู้อดีต ทำนายอนาคต ข้าก็เคยบอกท่านตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ?” ปีศาจน้อยถามเสียงขึ้นพลางเลิกคิ้วมองโหลวจวินเหยา “แล้วท่านก็ไม่เคยเชื่อ”
โหลวจวินเหยาหัวเราะหยัน “เช่นนั้นบอกมาว่าชิงอวี่อยู่ที่ไหน จะหาพบหรือไม่? ต้องใช้วิธีใด?”
ปีศาจน้อยยิ้มรู้ทัน จากนั้นตบไหล่ปลอบ จากนั้นก็ขยับริมฝีปากเอ่ยสองคำออกมา “ความรัก”
จากนั้นก็กอดอกดูภูมิใจ แล้วก็ก้าวเท้าเดินต่อไม่สนใจใครไปคนเดียว
โหลวจวินเหยา “…..”
ทำตัวลึกลับอีกแล้ว
แต่เขาเองไม่ได้รีบหรอก สักวันต้องถึงวันที่ความลับเจ้านั่นแตกเป็นแน่
—————————————-
หลังร่อนเร่ในความมืดอยู่นาน ชิงหลานเฟยก็ยกเปลือกตาอันหนักหน่วงของตนขึ้นได้
ตรงหน้ายังคงพร่ามัว แต่คราวนี้ราวกับว่าเห็นเงาร่างใครได้จาง ๆ