สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 324 คิดจะกลับไปหรือไม่
บทที่ 324 คิดจะกลับไปหรือไม่?
บทที่ 324 คิดจะกลับไปหรือไม่?
โหลวจวินเหยาพูดจบ เหลียนซือชุดดำก็ยืนอึ้งไป
ว่ากันว่าคนที่เข้าร่วมสงครามต่างก็สูญหายหรือถูกกาลเวลาทำลายไปหมดแล้ว
เหมือนกับว่าคนคนนี้กลับเป็นเป็นข้อยกเว้น
เกรงว่ากระทั่งคนที่เป็นตัวตนที่แกร่งที่สุดในเผ่ามารทมิฬอาจยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายังมีคนเผ่าเดียวกันหลงเหลืออยู่เช่นนี้
ดังนั้น…..
“เจ้ามีทางแก้ไขหรือไม่?” เหลียนซือชุดดำจ้องชายหนุ่มเขม็ง ราวกับจ้องแล้วจะพบคำตอบ
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว มองอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มแทบมองไม่เห็น “หาเรื่องพวกนี้มันเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า?”
เหลียนซือชุดดำชะงักไป ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับเช่นนี้ ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น “เขาเป็นคนร่วมเผ่าเจ้าไม่ใช่หรือ? ก็จะปล่อยให้เขาหายไปเช่นนั้น…..”
“อ้อ?” โหลวจวินเหยาหัวเราะเบา “เช่นนั้น เขาก็นับว่าเป็นอริรักกับท่าน แน่ใจหรือว่าอยากช่วยเขา?”
“ข้าเพียงไม่อยากเห็นหมิงเยว่ต้องเจ็บปวดอีก” เหลียนซือชุดดำสายตาทะมึนตอบเสียงเบา
“ท่านคิดดี ๆ เสียเถอะ พวกท่านมีใจแค่หนึ่งดวง จะมีชีวิตอยู่พร้อมกันไม่ได้ ร่างกายท่านเปลี่ยนไปเช่นนี้ ข้าว่าท่านก็คงสัมผัสได้ หากเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมา ท่านก็จะต้องตาย” โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงเรียบ
“หึ เจ้าคิดว่าข้ายังสนว่าจะอยู่หรือตายอีกงั้นหรือ? ข้าอยู่มานานปีจนเบื่อแล้ว” เหลียนซือชุดดำเหยียดมุมปาก หัวเราะหยันออกมา
ทั้งสองกำลังถกเถียงไปมาเช่นนั้น น้ำเสียงเจือแววขันก็ดังขึ้นด้านหลัง “หากจะต้องลงมืออะไร ข้าอาจพอช่วยเหลือได้”
เมื่อหันไปมองคือชิงเทียนหลินท่าทางสง่างามหล่อเหลา กำลังยืนยิ้มไร้ภัยอยู่ที่ด้านหลังนั่นเอง
เหลียนซือชุดดำจ้องอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนพบสิ่งผิดปกติ สีหน้ากลายเป็นตกใจแล้วร้องขึ้น “ในกายเจ้า….. มีวิญญาณสองดวงงั้นหรือ?!”
ชิงเทียนหลินยกยิ้มขึ้นก่อนพยักหน้ารับทันใด “ถูกต้องแล้ว ข้าชิงร่างเขามา วิญญาณเดิมเกือบจะถูกข้ากลืนจนสิ้น กลิ่นอายที่เหลืออยู่เบาบางมากแล้ว ข้าประทับใจจริง ๆ ที่ท่านยังสัมผัสได้”
“ชิงร่างหรือ?” เหลียนซือชุดดำยิ่งมีสีหน้าตกตะลึง
ไม่ใช่เพราะเขาได้ยินมันเป็นครั้งแรกจึงไม่รู้ความ แต่เป็นเพราะการชิงเอาร่างคนอื่นมาเป็นของตนนั้นมีความเสี่ยงสูงมาก
การที่วิญญาณจากร่างอื่นจะสามารถชิงร่างของคนอื่นได้นั้น ร่างวิญญาณจะต้องเป็นคนมีพลังบำเพ็ญสะท้านฟ้าเมื่อครั้งยังมีชีวิต ทั้งยังต้องมีพลังจิตกล้าแข็ง จึงจะสามารถรับความเสี่ยงเหล่านั้นได้อย่างมั่นใจ
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น หากไปเจอร่างที่เจ้าของร่างใจแข็งเกิน และเกิดเสียการควบคุมไปละก็ วิญญาณชิงร่างก็จะถูกพลังตีกลับ ร่างวิญญาณถูกทำร้ายจนเจ็บสาหัส
แต่ชายตรงหน้านี้ ไม่เพียงชิงเอาร่างมาได้สำเร็จ แต่ยังกลืนกินวิญญาณเดิมของร่างด้วย…..
เหลือเชื่อจริง ๆ
“ถูกต้อง ชิงเอามา” ชิงเทียนหลินยิ้มให้อีก ก่อนจะหันไปมองชิงอวี่อย่างมีความหมาย “ในโลกใบเล็กที่ข้าเคยอยู่ สายตาข้ามองแคบ ดูกลวงนัก ตอนนี้ข้าพบว่ามีขุนเขาที่สูงกว่าแล้ว ยังมีฟ้าเหนือกว่าที่ตาเห็น!”
ชิงอวี่ย่อมสัมผัสสายตาชิงเทียนหลินที่มองมาได้ นางจึงหรี่ตาลง คนผู้นี้เดาความคิดไม่ได้มาตั้งแต่เขาปรากฏตัว ทำตัวประหลาดอยู่ตลอด
และนางไม่รู้เลยว่าเขาต้องการบอกอะไรกันแน่
หลังจบเรื่องที่นี่งั้นหรือ?
ตั้งแต่ที่โหลวจวินเหยารู้เรื่องระหว่างนางกับอีกฝ่าย ทั้งยังรู้สึกชิงชังอีกฝ่ายด้วย
นิสัยสดใสร่าเริงของจิ้งจอกน้อยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เป็นเพราะความเจ็บปวดที่ประสบ กลายเป็นเงียบงันรักษาระยะห่าง ทำให้เขาไม่กล้าเปิดเผยความรักต่อนางมากเกินไป แม้จะชอบนางมาตั้งแต่ต้นก็ตาม ได้แต่วนเวียนอยู่รอบกายนางอย่างระมัดระวัง เกรงว่าหากนางรู้เข้านางจะถอยห่าง
แต่โชคดีที่สุดท้ายนางยังเปิดใจให้
กระนั้นเขาก็ย่อมไม่ปล่อยคนร้ายให้รอดพ้นไปโดยง่าย
คิดแล้ว โหลวจวินเหยาก็ยิ้มเยาะ นัยน์ตามีประกายดำมืดเต้นระริก “นักเชิดหุ่นน่ารังเกียจไร้ยางอายใจกว้างจนเสนอความช่วยเหลือได้แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? นั่นเป็นความคิดที่น่ากลัวทีเดียวเลยกระมัง?”
ชิงเทียนหลินได้ยินแล้วไม่โกรธ แต่กลับหัวเราะเสียงเบา “นั่นมันคนละเรื่องกัน แม้คนอื่นจะมองนักเชิดหุ่นไม่ค่อยดีนัก แต่เรื่องบางเรื่องก็ต้องมีนักเชิดหุ่นจัดการจึงจะทำได้ เจ้าไม่เห็นด้วยหรือ?”
ได้ยินทั้งสองโต้ตอบกันแล้ว เหลียนซือชุดดำก็เริ่มเข้าใจแล้วพยักหน้า “เจ้าเป็นนักเชิดหุ่นนี่เอง ไม่แปลกที่สามารถชิงร่างมาเริ่มชีวิตใหม่ได้โดยง่ายเช่นนี้”
แต่ที่อีกฝ่ายว่ามาก็ไม่ผิด แม้นักเชิดหุ่นจะเป็นที่รังเกียจของผู้คนเพราะความชั่วร้าย แต่ก็มีอำนาจในการทำบางอย่างที่คนอื่นไม่อาจทำได้
ในสายตาพวกเขาแล้ว ไม่มีสิ่งใดผิดถูกดีชั่ว หรือยากง่ายเกินไป มีเพียงทำได้หรือไม่ได้เท่านั้น
และเมื่อปักใจจะทำสิ่งใดแล้ว ก็จะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะสำเร็จ ดังนั้นใต้หล้าจึงเรียกนักเชิดหุ่นว่าพวกเสียสติ
แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้คือคนเหล่านี้มีวิชาสูงส่ง
คิดดูแล้ว เหลียนซือชุดดำจึงหันไปทางโหลวจวินเหยา “เช่นนั้น ก็หวังว่าเจ้าจะช่วยเขาได้ ได้นักเชิดหุ่นมาช่วย ข้าเชื่อว่าโอกาสสำเร็จต้องเพิ่มขึ้นมากแน่”
โหลวจวินเหยาสีหน้าทะมึน แต่ฝ่ามือนุ่มหนึ่งพลันจับมือเขาไว้ น้ำเสียงอ่อนโยนของชิงอวี่เอ่งคำขึ้น “อาเหยา อย่าฝืน”
โหลวจวินเหยาชะงักไป ดูประหลาดใจไม่น้อย “เจ้าไม่อยากให้ข้าช่วยเขาหรือ…..”
แม้ในบางเรื่องเขาจะไม่รู้มากเท่าชิงอวี่ แต่ก็ยังสัมผัสได้ว่าเด็กสาวรู้สึกสงสารอีกฝ่าย เมื่อนางได้ยินอาจมีหนทางคืนชีพให้ สีหน้านางก็ดูยินดี
เห็นเขาทำหน้าประหลาดใจ ชิงอวี่จึงยกยิ้ม “ข้าอยาก แต่หากท่านต้องเสี่ยง ข้าก็ไม่อยากแล้ว”
โหลวจวินเหยาเข้าใจความหมายของนาง สีหน้ายิ่งอ่อนโยนขึ้น ถามเสียงทุ้มต่ำ “เป็นห่วงหรือ?”
“อืม” ชิงอวี่พยักหน้าน้อย ๆ “ความปลอดภัยของท่านสำคัญยิ่ง”
นางยังไม่ลืมว่าร่างกายอันแสนสำคัญของใครบางคนเปราะบางขนาดไหน บาดเจ็บหรือเจ็บไข้เพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้คนรอบกายคลั่งได้แล้ว
ได้ยินคำนางแล้วชื่นใจนัก จึงเอื้อมมือไปหยิกแก้มนางพลางว่า “ข้ารู้ดีว่าควรทำอะไร”
ว่าแล้วก็หันไปมองเหลียนซือชุดดำ “ที่นี่เป็นสถานที่โบราณของเผ่าเทพ มีไอเซียนหนั่นแน่นแม้ผ่านมายาวนาน ข้าจึงคิดว่าที่นี่คงจะมีวัตถุศักดิ์สิทธิ์ใดอยู่เป็นแน่!”
จู่ ๆ เขาก็โพล่งขึ้นมา แม้เหลียนซือชุดดำจะยังดูมึนงงและอึ้งไปในคราแรก แต่ก็พยักหน้าตอบ “ใช่แล้ว ลึกลงไปใต้ดินของยอดเขาใจสงบ ว่ากันว่ามีดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์อายุกว่าล้านปีอยู่ ว่ากันว่ามีร่างขึ้นมาแล้ว มีจิตนึกคิดเป็นของตน กลิ่นอายจากวิญญาณของมันจึงปกป้องดินแดนเอาไว้”
“ต้องเป็นมันแน่ ร่างวิญญาณที่รอดพ้นผ่านกาลเวลานับล้านปี จนมีร่างกายขึ้นมา คงจะมีพลังวิญญาณมหาศาลเป็นแน่ คงไม่มีร่างไหนจะเหมาะสมกับร่างวิญญาณของเขาไปมากกว่านี้อีกแล้ว” โหลวจวินเหยาอธิบาย
“แต่ไม่มีใครรู้เลยว่ามันอยู่ที่ใด อีกทั้งมันยังมีจิตนึกคิดเอง คิดหรือว่ามันจะยอมทำตามคำใครง่าย ๆ?”
โหลวจวินเหยาหัวเราะหยัน เหลือบมองไปทางชิงเทียนหลิน “เรื่องนั้นท่านไม่ต้องห่วง เพราะอย่างไร นักเชิดหุ่นก็ขึ้นชื่อเรื่องนี้ สามารถควบคุมคนเป็นได้อย่างสมบูรณ์ ให้ควบคุมร่างวิญญาณย่อมไม่ใช่เรื่องยากหรอก”
ได้ยินแล้วชิงเทียนหลินจึงหัวเราะตอบ “ชมกันเกินไปแล้ว”
แม้จะมีท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ก็ดูมั่นใจในตนเองนัก แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถทำได้
ดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์เป็นสัญลักษณ์แห่งแสงสว่าง ดังนั้นสิ่งชั่วร้ายและความมืดจึงมีสัมผัสไวต่อมันมากที่สุด
รอยยิ้มบนใบหน้าชิงเทียนหลินยังคงเดิม แต่ปากร่ายคาถาขึ้นเบา ๆ บางอย่างลอยผ่านหน้าทุกคนไปช้า ๆ นำพาสายลมอันน่าสะพรึงกลัวไปด้วย
ชิงอวี่ยืนอยู่ข้างกายโหลวจวินเหยา รักษาระยะห่างจาก ชิงเทียนหลิน ทว่าโหลวจวินเหยาก็ยังมิวายกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรนาง
หากแต่แม้ตัวจะอยู่ห่าง แต่สายตากลับจ้องใบหน้างดงามของชิงอวี่ไว้นิ่ง ก่อนหรี่ตาลงมองร่างสูงข้างกายเด็กสาว ดูเหมาะสมกันเหลือเกิน
เขาพลันยกริมฝีปากขึ้น เป็นสีหน้าที่แปลกประหลาดอยู่บ้าง
“ชิงชิง ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เจ้าตกหลุมรักชายคนหนึ่งได้!”
ชิงอวี่สะดุ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มข้างกายในพลัน แต่เขาไร้การตอบสนองราวกับไม่ได้ยิน
นางจึงสับสน ส่วนน้ำเสียงเจือแววขันของชิงเทียนหลินก็เอยขึ้นอีก “ไม่ต้องมองเขาหรอก เขาไม่ได้ยินข้า”
ชิงอวี่มุ่นคิ้ว อีกฝ่ายคงใช้วิชาลับสกัดเสียงตนไว้แน่ ทำให้มีเพียงนางที่ได้ยิน
“ครั้งนี้เจ้ามีแผนอะไรอีก?” นางเอ่ยเสียงรังเกียจออกมา
ชิงเทียนหลินใช้สายตาใสซื่อจ้องนาง “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย แค่อยากคุยด้วย ไม่ได้งั้นหรือ?”
“ข้าว่าเราไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกัน”
ชิงเทียนหลินถอนหายใจเบา ๆ อึดใจหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นต่อ “ดูเหมือนว่าพวกเราไม่เคยได้นั่งคุยกันสงบ ๆ สักทีเลยนะ เจ้ายังไม่พอใจข้าอยู่หรือ?”
มุมปากชิงอวี่ยกขึ้นเป็นยิ้มเยาะ “เจ้าหลงตัวเองไปหรือไม่? ข้าไม่สนเรื่องนั้นไปตั้งนานแล้ว”
“แต่สีหน้าเจ้าหลอกข้าไม่ได้ ข้ายังเห็นความชังในดวงตาเจ้ายามมองข้าอยู่เลย ไม่ใช่งั้นหรือ?”
“หึ” ชิงอวี่พ่นลมเย็นชา “เจ้าจะบอกว่าคนที่ดูถูกเหยียดหยามความจริงใจของคนอื่นไม่ควรเป็นที่รังเกียจงั้นหรือ?”
ชิงเทียนหลินถอนหายใจอีกครา สีหน้าดูหดหู่นัก แต่ยังว่าต่อ “หยุดเรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ ข้าแค่อยากบอกว่า สิ่งที่ข้าเคยพูดไว้ก่อนหน้า เจ้าต้องสนใจมากแน่”
“ข้าไม่อยากฟัง”
ชิงอวี่หมดความอดทนแล้ว ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกต่อไป นางจึงหันหลังให้อย่างเย็นชา ไม่อยากแม้แต่มองหน้า หมายจะสะบั้นตัวกลางที่ถ่ายทอดเสียงมาถึงนาง แต่เมื่อได้ยินประโยคต่อมาของเขา ร่างนางก็แข็งข้าง ยืนชะงักไปในพลัน
มือทั้งสองข้างกำแน่นขึ้นไม่ทันรู้ตน
“บนยอดเขาใจสงบมีประตูลึกลับที่อาจพาเรากลับโลกเดิมได้”