สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 34 วีรบุรุษกอบกู้….. สาวงาม
บทที่ 34 วีรบุรุษกอบกู้….. สาวงาม?
“พี่สอง!” จู่ ๆ อวี้เซียวหนิงก็เรียกพี่ชายตนเสียงดัง ส่งผลให้อวี้ถิงเซวียนแทบสะดุ้งตัวโยน เขามองนางด้วยสายตาไม่พอใจนัก “เจ้าจะตะโกนเสียงดังเพื่ออะไร?”
“ที่เมืองหลวงเรามีแม่นางผู้โดดเด่นเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” อวี้เซียวหนิงสีหน้าจริงจัง “ตามหลักแล้ว แม่นางหน้าตางดงามเช่นนี้ อย่างน้อยพวกเราก็ควรรู้จักนางบ้างสิ!”
อวี้ถิงเซวียน “…..”
น้องสาวคนนี้ของเขา….. อาการกำเริบอีกแล้วงั้นหรือ?
อาการละสายตาจากสาวงามไม่ได้เช่นนี้ ทั้งๆที่ตัวนางเองก็เป็นสาวงามคนหนึ่งแท้ ๆ!
นางสนิทกับองค์หญิงหนิงเฟิ่งด้วยเช่นกัน สนิทถึงขั้นที่สามารถเล่าทุกอย่างให้กันฟังได้
หากแต่สาเหตุหลักที่ทำให้นางสนิทกับองค์หญิงนั้น….. เป็นเพราะองค์หญิงหนิงเฟิ่งมีใบหน้างดงาม เป็นโฉมสะคราญล่มเมืองอันดับหนึ่งอย่างไรเล่า!
—— หอเมฆาเคลื่อน ——
“อีกด้านส่งข่าวมาว่าเม่ยจีทำลายฐานทัพลับสมาพันธ์นักล่าไปหลายแห่งด้วยกัน”
ไป๋จือเยี่ยนมองชายที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินว่าพวกมันจับตัวปีศาจน้อยของนางไป นางจึงโกรธแค้นนัก เริ่มลงมือฆ่าสังหารในทันที”
โหลวจวินเหยาส่งเสียงหึออกมาอย่างไม่ใส่ใจเท่าไร “นางอยู่ว่างมานาน ให้นางได้ออกไปยืดเส้นยืดสายเสียบ้าง”
ไป๋จือเยี่ยนพลันยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเดินไปยืนอยู่ข้างเขา “นี่ก็ได้เวลาที่นายท่านจะกลับไปแล้วเช่นกัน จากแดนเมฆาสวรรค์มาท่องอยู่ในดินแดนระดับล่างสองดินแดนนี่เสียนาน เป็นเช่นนี้ไม่เหมาะกับนิสัย ฆ่าพวกมันให้สิ้น ของนายท่านสมัยก่อนเลย”
“งั้นหรือ?” โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว นัยน์ตาล้ำลึก “สงสัยข้าจะแก่ตัวลงแล้ว ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ข้าควรมีความยับยั้งชั่งใจเสียบ้าง”
ไป๋จือเยี่ยน “…..” โชคยังดีที่เขาไม่ได้กำลังจิบชาอยู่ ไม่เช่นนั้นคงจะสำลักชาจนสิ้นใจเป็นแน่
ตั้งแต่นายท่านอยู่ที่นี่เริ่มทำตัวแปลกขึ้นทุกที เขาชอบเล่นมุกตลกหน้าตายเช่นนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน? ไม่ตลกสักนิด!
“แคว้นมารถูกคนจากอารามจันทร์กระจ่างและสมาพันธ์นักล่าตามก่อกวนจนยุ่งวุ่นวาย ท่านกำลังจะเสียตำแหน่งบนแดนเมฆาสวรรค์เช่นนี้ ดูท่าทางท่านจะไม่กังวลใจเลยแม้แต่น้อย” ไป๋จือเยี่ยนมองนิ่ง “ในฐานะที่ข้าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักเซียนแพทย์ เดิมทีข้ายังเด็กและโง่เขลานัก คิดว่าหากต่อสู้เคียงข้างท่านย่อมสามารถทำความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ ใครจะทันคิดว่าจอมมารที่มีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าเช่นท่าน คนที่ไม่ว่าใครได้ยินชื่อก็ต้องขนลุกขนพอง เมื่อพบกับความปราชัยเพียงครั้งเดียวกลับไม่อาจลุกขึ้นสู้ได้อีก…..”
โหลวจวินเหยายกยิ้มน้อย ๆ มองใบหน้าโศกเศร้าสิ้นหวังของชายหนุ่ม ใบหน้าหล่อเหลาเจือแววชื่นชม “แสดงได้ดีนี่”
ไป๋จือเยี่ยนไม่อาจสรรหาคำใดมาพูดตอบ “…..” เฮ้อ
เขาเหลือบมองโหลวจวินเหยาสีหน้าเศร้าสร้อยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพบว่าสีหน้าโหลวจวินเหยาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไป๋จือเยี่ยนจึงมองตามสายตาเขาไป
“หือ?” ไป๋จือเยี่ยนเบิกตากว้าง “เหตุใดคนผู้นั้น….. ดูคุ้นตาเช่นนี้?”
“ชิงอวี่!” นัยน์ตาอันเฉียบคมของมู่ฉือเห็นเงาร่างด้านหน้าตน ก่อนสองเท้าจะกระโดดทะยานขึ้นไปขวางหน้านางไว้ทันที
รอยยิ้มจางบนริมฝีปากชิงอวี่พลันเหยียดตรง
“ในที่สุดก็พบเจ้าจนได้” ชายหนุ่มไม่อาจปกปิดความดีใจบนใบหน้าไว้ได้ รอยยิ้มสดใสหล่อเหลาของเขาโดดเด่นชวนมอง ยิ่งส่งให้เขาดูร่าเริงสดใสเป็นประกาย
ชิงอวี่ยกมือขึ้นตบหน้าผากตนเอง “มู่ฉือ ท่านอย่า…..”
ทันใดนั้นร่างนางก็ถูกสวมกอดไว้แน่น
ท้องถนนที่ผู้คนสัญจรผ่านไปมาเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกวุ่นวายพลันเงียบเสียงลง
โฉมงามกับชายหนุ่มผู้มีบรรยากาศอบอุ่นยืนกอดกัน เป็นภาพที่งดงามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด
“ชิงอวี่ ไม่หลบหน้าข้าจะได้หรือไม่? เจ้าเกลียดข้าขนาดนั้นเลยหรือ?” น้ำเสียงเขาเจือความเศร้าเล็ก ๆ
ชิงอวี่ที่กำลังคิดจะผลักเขาออกชะงักไปในทันที
“ตั้งแต่ข้ายังเด็กจนถึงตอนนี้ ข้าถูกไล่ออกมาจากวังหลวง ชีวิตข้าอยากได้อะไรต้องได้มาโดยตลอด” มู่ฉือกอดนางไว้แน่น น้ำเสียงฟังดูหดหู่
“ข้ากลับไปคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าอาจเป็นเพราะข้าอยากได้สิ่งใดก็ได้มันมาไว้ในครอบครองอยู่ตลอดหรือไม่ที่ทำให้ข้าอยากครอบครองเจ้ามากเช่นนี้?”
“แต่มันกลับไม่ใช่เช่นนั้น”
จากนั้นมู่ฉือก็คลายอ้อมแขนออก นัยน์ตาที่มักมีรอยยิ้มเจืออยู่ในตอนนี้เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก “ชิงอวี่ ข้าชอบเจ้ามากจริง ๆ”
ชิงอวี่ยุ่งยากใจเล็กน้อย นางขมวดคิ้วมุ่น ชายหนุ่มสารภาพความในใจกับนางจริงจังเช่นนี้ นางจึงไม่อยากปฏิเสธเขาอย่างเลือดเย็นนัก
อย่างน้อยก็ต้องมี….. เหตุผลดีหน่อยกระมัง?
“เหตุใดเจ้าจึงไม่พูดอะไรเลยเล่า?” มู่ฉือถามขึ้นเมื่อเห็นนางขมวดคิ้วมุ่น ด้วยเกรงว่านางอาจจะไม่พอใจ เขาจึงรีบเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไร เจ้ายังไม่ต้องตอบข้าตอนนี้ ข้ารอได้”
“แต่ข้าไม่ได้ชอบท่านแบบนั้น!” ชิงอวี่เอ่ยขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะแห้ง “ข้าเพียงช่วยชีวิตท่านไว้หนึ่งครั้งเท่านั้น ท่านตอบแทนผู้มีพระคุณทุกคนเช่นนี้หรือ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้ามีความรู้สึกเช่นนี้กับเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น” มู่ฉือรีบอธิบาย
ไป๋จือเยี่ยนยืนมองภาพฉากนั้นด้วยใบหน้าขำขัน “หึ ๆ วันนี้มันวันอะไรกัน ได้เห็นละครน่าสนใจฉากหนึ่งเช่นนี้? แม่นางน้อยผู้นั้นหน้าตางดงามอยู่ ส่วนเจ้าเด็กนั่นก็ไม่ได้แย่นัก ข้าว่าก็เหมาะสมกัน…..”
โหลวจวินเหยาตวัดสายตามองไป๋จือเยี่ยน จนต้องหุบปากทันที นี้เขาเอ่ยคำใดผิดไปงั้นหรือ?
ไม่รอให้ไป๋จือเยี่ยนได้เอ่ยคำถามใดให้มากความ โหลวจวินเหยาก็หันหลังเดินออกไปเสียแล้ว ดูแล้วท่าทางโหลวจวินเหยากำลังจะเดินมุ่งลงไปที่ถนนเสียด้วย
“นายท่าน ท่านจะไปไหน?” ไป๋จือเยี่ยนรีบเดินตามไป
ที่ด้านล่าง มู่ฉือเบิกตาทั้งสองข้างกว้าง ท่าทางเดือดดาลยิ่ง “ข้าไม่เชื่อ! เจ้าโกหกข้า!”
“ครั้งนี้ข้าไม่ได้โกหกท่าน” ชิงอวี่พยายามคงรอยยิ้มบนหน้าไว้
เจ้าบ้า ไม่เห็นผู้คนรอบข้างที่พากันมามุงดูมากขึ้นเรื่อย ๆ หรืออย่างไร?
เจ้าจะไม่ยอมแพ้จริง ๆ ใช่หรือไม่?!
“ข้ามีคนที่ชอบแล้ว มู่ฉือ ท่านไม่ใช่คนเลวร้าย ท่านเหมาะกับแม่นางที่ดีกว่าข้า”
คำพูดเช่นนี้….. ฟังดูคุ้นหูนัก เหตุใดจึงฟังดูเหมือนกับคำพูดที่บุรุษไร้ใจใช้พูดกับหญิงสาวในชาติที่แล้วของนางเลยเล่า?
“ข้าไม่เชื่อ!” มู่ฉือคำราม “เจ้าต้องโกหกข้าเป็นแน่! ไม่เช่นนั้นก็พาบุรุษผู้นั้นมาตรงนี้ให้ข้าได้เห็นสิ!”
ชิงอวี่แอบหัวเราะคิกในใจ นิ้วเรียวงามพลันชี้ไปส่งเดชอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด “คนที่ข้าชอบ….. คือเขา”
มู่ฉือหันไปยังทิศที่นางชี้ด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว หากแต่ใบหน้าเขาพลันชะงักค้างไป
คนผู้นั้นสวมคลุมสีม่วงสง่าผ่าเผย ทั้งสูงทั้งดูดี สูงกว่าเขาราวครึ่งศีรษะได้ แค่เรื่องความสูงมู่ฉือก็แพ้แล้ว
ยังไม่ต้องกล่าวว่าบุรุษผู้นั้นรูปงามหาใครเทียม
นัยน์ตาสีม่วงล้ำลึกราวกับมีพายุบ้าคลั่งหมุนวนอยู่ ร่างกายแผ่กลิ่นอายทรงพลัง ทำให้คนที่สัมผัสได้รู้สึกเกรงกลัวอยู่ในใจ
ฝูงชนที่มามุงดูเหตุการณ์อยู่เต็มก่อนหน้านี้พลันสลายไปในทันใด
ชิงอวี่ยังคงชี้อยู่อย่างนั้น ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าพ่ายแพ้ตกตะลึงของมู่ฉือเข้า นางจึงเลิกคิ้วขึ้น ด้วยความสงสัย นางจึงหันไปมองยังทิศที่ตนเองชี้ไป….. จากนั้นก็ชะงักค้างไปเช่นเดียวกัน
กลายเป็นเขาได้อย่างไรกัน? วันนี้โชคชะตานางช่าง….. ดีจริง?
แล้วตอนนี้นางยัง….. อยู่ในชุดแม่นางน้อยอีก! ใช่แล้ว เขาไม่น่าจำนางได้กระมัง นางอยู่ในชุดสตรีนี่นา!
โหลวจวินเหยาเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของเด็กสาวแล้ว ในใจคิดว่าน่าตลกดี เขาเดินมายืนอยู่ข้างนาง น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าดึงดูดเอ่ยขึ้น “มีปัญหาอันใดหรือ?”
ชิงอวี่ชะงัก “…..”
นางควรทำเป็นไม่รู้จักเขาหรือทำเป็นไม่ได้ยินดี?
เมื่อโหลวจวินเหยาเห็นว่านางนิ่งเงียบไม่ตอบ เขาจึงหันไปมองมู่ฉือ “คนผู้นี้หรือที่เจ้าเคยบอกว่าตามกวนเจ้า?”
“ท่านรู้ได้อย่างไร?” ชิงอวี่ถามขึ้นด้วยความสงสัย
ดีมาก ถามเช่นนั้นออกไปก็หมายถึงเผยตัวตนไปแล้ว
เผยตัวตนก็เผยไปเถอะ อย่างไรนางก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังไปตลอดอยู่แล้ว
“ดูเหมือนเจ้าจะหงุดหงิดไม่น้อย” โหลวจวินเหยายกยิ้มมุมปาก “เราไม่ได้พบกันนานแล้ว เจ้าอยากขึ้นไปนั่งด้านบนหรือไม่?”
“แต่ว่า…..”
“ให้เป็นหน้าที่ข้า” โหลวจวินเหยาจับไหล่นางไว้ก่อนดันร่างนางไปทางไป๋จือเยี่ยนที่อยู่ด้านหลัง “พานางขึ้นไป”
ไป๋จือเยี่ยนที่ยืนงงกับเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อได้รับคำสั่งจึงไม่คิดสิ่งใดมาก พานางเดินจากไปทันที
“ท่าน….. คือคนที่นางชอบจริงหรือ?” บนใบหน้ามู่ฉือเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน เขายอมรับว่าบุรุษตรงหน้าแข็งแกร่งกว่าเขามาก
มุมปากโหลวจวินเหยายกขึ้นเล็กน้อย “เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?” ถึงบนริมฝีปากจะมีรอยยิ้มประดับอยู่ หากแต่นัยน์ตาสีม่วงกลับไม่ได้ยิ้มตามแต่อย่างใด “เจ้าควรรู้ตัวว่าตนเองไม่มีค่าพอคู่ควรกับนาง หวังว่าเจ้าจะไม่ตามตอแยนางอีก ข้าไม่ใช่คนใจเย็นนัก”
พูดจบก็ไม่รอให้มู่ฉือตอบกลับ หันหลังเดินจากไปในทันที
มู่ฉือหน้าซีดขาวราวกระดาษแผ่นหนึ่ง นัยน์ตาที่เคยสดใสมีชีวิตชีวาพลันหม่นแสงลง
ราวกับคนวิญญาณออกจากร่าง
ชิงอวี่ยืนมองภาพฉากนั้นอยู่ที่ชั้นสอง นางเห็นทั้งหมดอย่างชัดเจน คิ้วยาวขมวดกันแน่น ไป๋จือเยี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้างนางก็ทำหน้าราวกับเห็นผี มองชิงอวี่ตาไม่กะพริบ
อีกด้านหนึ่ง โหลวจวินเหยากำลังค่อย ๆ ก้าวเท้าขึ้นชั้นบนมา จากนั้นเขาก็เดินมาหยุดตรงหน้าไป๋จือเยี่ยน ยืนกั้นสายตาที่มองชิงอวี่ไว้ ก่อนจะหันไปพูดกับเด็กสาวที่ทำสีหน้ายุ่งเหยิงนัก “อะไรกัน เจ้าเห็นแล้วทนไม่ได้งั้นหรือ?”
ชิงอวี่ถอนหายใจ “บุรุษหนุ่มถูกทำร้ายเรื่องเกี่ยวกับหัวใจเช่นนี้ จิตใจย่อมบอบช้ำได้ง่ายดายนัก”
เรียกได้ว่าเป็นบาปหนัก!
เดี๋ยวก่อน ดูเหมือนนางจะลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป
“ท่าน….. ท่านรู้แล้วหรือว่าข้าเป็นผู้หญิง?” ชิงอวี่เลิกคิ้วสูง ยื่นหน้าเข้าไปมองใบหน้าผ่อนคลายนิ่งสงบของเขาด้วยความสงสัย “ท่านรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
โหลวจวินเหยาชะงัก มองใบหน้าที่ยื่นเข้ามาจนใกล้นิ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ทิ้งระยะห่างระหว่างเขากับนางท่าทางสุขุม “ตอนที่เจ้าบาดเจ็บ”
“ตอนที่ข้าบาดเจ็บ…..” ชิงอวี่พึมพำกับตนเอง จากนั้นอารมณ์ในนัยน์ตานางพลันเปลี่ยนแปลงไป “งั้นชุดข้า…..”
“เจ้าอย่าคิดมาก เยว่จีเป็นคนที่เปลี่ยนขุดให้เจ้า ข้าไม่ต่ำช้าถือโอกาสล่วงเกินเจ้าตอนเจ้าบาดเจ็บหรอก” โหลวจวินเหยามองหน้านางแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าในหัวเล็ก ๆ ของนางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ดูท่าแมวป่าน้อยตัวนี้จะใส่ใจเรื่องนั้นมาก
“อย่างไรท่านก็คงไม่กล้าทำ” ชิงอวี่เอ่ยเสียงหยัน จากนั้นหยิบถ้วยชาขึ้นจิบ “ผู้ที่ล่วงเกินผู้มีพระคุณเช่นนั้น จะต้องถูกฟ้าผ่า”
โหลวจวินเหยาได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงเบา นัยน์ตาสีม่วงส่องประกายที่หาได้ยาก มันดูงดงามจนละสายตาได้ยากยิ่ง
“พวกเจ้าสองคนหยุดสักประเดี๋ยวได้หรือไม่?” ระหว่างที่คนทั้งคู่ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมานั่นเอง ไป๋จือเยี่ยนก็มีโอกาสเอ่ยถามขึ้น นัยน์ตาดอกท้อของเขาฉายแววพิศวงยิ่ง ไม่มีอารมณ์อื่นนอกจากความพิศวงในแววตา
“เจ้าคือ….. คุณชายชิงงั้นหรือ??!” ไป๋จือเยี่ยนพลันมองหน้าชิงอวี่ มองแล้วมองอีก “เจ้า….. เจ้าเป็นผู้หญิงหรือ?”
“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?” ชิงอวี่เผยสีหน้าดูถูกใส่ไป๋จือเยี่ยน
โหลวจวินเหยานัยน์ตาเป็นประกาย ริมฝีปากบางพลันแต้มด้วยรอยยิ้มจาง คำเมื่อครู่….. เขาเองก็เพิ่งเอ่ยไปไม่ใช่หรือ?
เมื่อได้รับคำตอบอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ไป๋จือเยี่ยนก็ไม่ถามอะไรอีก ดูท่าอารมณ์ของเขาจะดิ่งลงเหวในฉับพลัน
“เจ้าเป็นอะไร?” เหตุใดจู่ ๆ ถึงทำท่าทางเช่นนั้น? ชิงอวี่สับสนนัก หันไปส่งสายตาสงสัยใคร่รู้ให้โหลวจวินเหยา
โหลวจวินเหยาเข้าใจว่าเหตุใดไป๋จือเยี่ยนจึงทำท่าทางเช่นนั้น เขาจึงเอ่ยหยอกขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เขาชื่นชมวิชาและความรู้เรื่องการแพทย์ของเจ้ามาโดยตลอด คิดว่าเจ้าเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์มากกว่าตัวเขาซึ่งเป็นอัจฉริยะประจำสำนักเซียนแพทย์ ทว่าตอนนี้กลับพบว่าเจ้าเป็นเด็กสาวผู้หนึ่ง ในใจจึงยอมรับได้ยากก็เท่านั้น”
“แค่นั้นเองหรือ?” ชิงอวี่กะพริบตาถามด้วยความไม่เข้าใจ “ผู้ชายหรือผู้หญิงสำคัญด้วยหรือ? คนเป็นหมอไม่จำเป็นต้องแยกเพศหญิงชายหรอก!”
“ถูกต้อง” นัยน์ตาไป๋จือเยี่ยนยังคงหมองหม่นนัก “ทว่าในดินแดนนี้ ยังมีนักปรุงยาคนใดมีฝีมือทัดเทียมเจ้าได้อีกเล่า?”