สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 36 การสังหารดุดันในพริบตา
บทที่ 36 การสังหารดุดันในพริบตา
“หึ ข้ายังเลือกไม่ไปได้อีกหรือ? อวี้เซียวหนิง ข้าแปลกใจจริงว่าเหตุใดพวกเราจึงกลายมาเป็นสหายกันได้” เยี่ยนหนิงลั่วเหลือบมองนาง จากนั้นไม่สนใจนางอีก ปีนขึ้นรถม้าไป
อวี้เซียวหนิงเห็นดังนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็หันไปส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้พี่สามของตน นัยน์ตาราวกับกำลังถาม ว่าไง? ยอมแพ้หรือไม่?
อวี้จิงจั๋วยักไหล่ตน ก็ได้ คนแพ้ก็ได้แต่ร่ำไห้เสียใจ กลับไปข้าต้องมอบแผนที่หุบเขาสวรรค์ปฐพีให้เจ้าสินะ
คนทั้งคู่ส่งสายตาคุยกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะปีนขึ้นรถม้าตามไป
ด้านในรถม้า ซวนหยวนเช่อและเยี่ยนหนิงลั่วถูกจัดให้นั่งอยู่ข้างกัน ทั้งสองคนไม่มีคนใดปริปากพูด นับเป็นบรรยากาศสงบสุขที่หาได้ยากยิ่งของคนทั้งคู่
อวี้จิงจั๋วและอวี้เซียวหนิงมองหน้ากันแล้วทำหน้าประหลาดใจ หากสองคนนี้นั่งอยู่ด้วยกันแล้วไม่เถียงกัน ก็ดูเป็นคู่ที่เหมาะสมกันคู่หนึ่ง!
ทะเลสาบจันทร์เสี้ยวตั้งอยู่ ณ ใจกลางแคว้นชิงหลาน เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจแห่งใหม่ที่มีชื่อเสียงอยู่บ้าง น้ำในทะเลสาบเป็นสีน้ำเงินจาง ฝูงปลาหลากสีแหวกว่าย เป็นภาพที่เจริญหูเจริญตายิ่ง
เรือสำราญหลายลำและเรืออื่น ๆ พากันล่องลอยอยู่เหนือทะเลสาบ มีทั้งคู่รักและพ่อค้า คนมากหน้าหลายตาพากันมาล่องเรือกันที่นี่
เมื่อทั้งหมดเดินทางมาถึง อวี้จิงจั๋วเป็นคนแรกที่ลงจากรถม้า เขาแหวกม่านออก เชิญสตรีทั้งสองนางให้ลงจากรถม้า
เยี่ยนหนิงลั่วไม่ปรากฏตัวในที่สาธารณะบ่อยนัก หากแต่น้อยคนนักในแคว้นชิงหลานที่จะไม่รู้จักนาง
ดังนั้นยามเมื่อนางก้าวเท้าลงจากรถม้า น้ำเสียงตกอกตกใจก็ดังขึ้นในทันที “องค์หญิงหนิงเฟิ่ง!”
“อา….. อา….. เป็นองค์หญิงจริง ๆ ด้วย!!”
“สวรรค์ องค์หญิงของเรารูปโฉมงดงามจริง ๆ ตอนแรกข้าไม่คิดว่าข่าวลือจะเป็นจริง หากแต่นางเป็นดั่งเทพเซียนจริง ๆ!”
“นางเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งอย่างแน่แท้ ได้ยินร้อยครั้งไม่เท่าตาเห็นด้วยตาตนเอง กลิ่นอายสูงส่งสง่างามของนางไม่อาจมีใครเทียบได้เลย”
“บุตรสาวของเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็เช่นเดียวกัน อวี้เซียวหนิง!”
“อวี้เซียวหนิงคือสตรีมากความสามารถที่สุดของแคว้นชิงหลาน ข้าไม่คิดเลยว่านางเองก็มีหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มเช่นนี้!”
“น่ารักจริง ๆ น่ารักเหลือคณา สาวงามประจำเมืองหลวงสองนาง วันนี้ออกมาพักผ่อนหย่อนใจพร้อมกันเสียด้วย!”
“วันนี้ช่างเป็นวันที่งดงามเสียจริง!”
“องค์รัชทายาทก็มาด้วยหรือ?!!”
“สวรรค์โปรด! วันนี้ทะเลสาบจันทร์เสี้ยวต้อนรับแขกที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดาหลายท่านเสียแล้ว!”
……….
อวี้จิงจั๋วมักเที่ยวเตร่อยู่ข้างนอก ทุกคนต่างรู้จักเขาดี ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงได้รับบทบาทเป็นเพียงตัวประกอบ ผู้คนไม่ได้สนใจเขามากมายนัก
เขายังมีเรือสำราญส่วนตัวอยู่ลำหนึ่ง และได้สั่งการให้คนเตรียมเรือให้พร้อมจอดรออยู่ที่ท่าแล้ว เมื่อเห็นว่าพวกเขามาถึง ทางเรือจึงรีบเดินเข้ามาต้อนรับในทันที
“นายน้อย ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ เชิญทางนี้ได้เลย” ชายผู้หนึ่งผายมือเชื้อเชิญอย่างนอบน้อม
อวี้จิงจั๋วเดินนำหน้าขึ้นเรือไปก่อน ซวนหยวนเช่อเดินตามหลังเขาไป อวี้เซียวหนิงและเยี่ยนหนิงลั่วเป็นสองคนสุดท้ายที่เดินตามมา
จากนั้นเรือสำราญก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากท่า
บนเรือสำราญมีทุกสิ่งอย่างให้เลือกสรร ทั้งอาหารเลิศรสและเหล้าชั้นดีหลากหลายแบบ มีคนบรรเลงกู่ฉินนั่งบรรเลงเพลงอยู่ด้านข้าง นิ้วเรียวงามพรมไปบนกู่ฉิน กำเนิดเป็นเสียงดนตรีไพเราะเสนาะหู
“นั่งเถอะ!” อวี้จิงจั๋วเป็นเจ้าของเรือ ดังนั้นจึงแสดงความเอื้อเฟื้อให้แขก ไม่ว่าสิ่งใดก็จัดหามาให้
อวี้เซียวหนิงเพิ่งเคยขึ้นเรือลำนี้เป็นครั้งแรก นางเห็นของประดับเรือหรูหราหลายชิ้น มีทั้งถ้วยเหล้าฝีมือประณีต เครื่องประดับหยก เห็นของเหล่านี้แล้วก็อดส่ายหน้าทำเสียงจุปากไม่ได้ “พี่สาม เรือสำราญลำนี้ของท่านไม่เพียงหรูหรา ของประดับตกแต่งมูลค่าสูงทิ่มตาเช่นนี้ คงแลกมาด้วยเงินมูลค่าหลายล้านตำลึงสินะ!”
“ฮ่า ๆ หนิงหนิงรอบรู้จริง ๆ มองปราดเดียวก็รู้แล้วหรือ! ไม่เหมือนกับใครบางคนที่หาว่าของเหล่านี้เป็นของปลอม” อวี้จิงจั๋วพูดกลั้วเสียงหัวเราะ
“หึ….. ท่านคิดว่าข้าพูดชมท่านหรือ? ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเช่นท่าน หากไม่ใช่เพราะโรงน้ำชาเล็ก ๆ ของท่านคอยหาเงินมาให้ ท่านคงถูกโยนออกจากจวนไปนอนข้างถนนในเร็ววันนี้แน่!” อวี้เซียวหนิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ไม่มีทีท่าให้ความเคารพพี่ชายตนสักนิด
อีกฝ่ายจึงเบิกตามองนางกว้างในพลัน “ยัยเด็กอวดดี พูดจากับพี่เจ้าเช่นนี้หรือ? เสียมารยาท หากข้าใช้เงินจนหมดตัวจริง ข้าจะไปเกาะเจ้ากินเสีย!”
“มีท่านพี่ตระกูลไหนไร้ยางอายผิวหน้าทานทนเหมือนท่านบ้าง?” อวี้เซียวหนิงเบ้ปาก ไม่อยากใส่ใจเขามากนัก
“พวกเรามาที่นี่เพื่อฟังพวกเจ้าทะเลาะกันงั้นหรือ?” เยี่ยนหนิงลั่วเริ่มทนฟังเสียงทะเลาะของคนทั้งคู่ไม่ไหว ในที่สุดจึงเอ่ยขัดขึ้นเสียงเย็น
พี่น้องสองคนจึงสงบปากสงบคำลงในทันใด ทว่าพริบตาต่อมาก็พบเรื่องแปลกประหลาดเข้า
วันนี้องค์รัชทายาทกับเยี่ยนหนิงลั่ว….. เข้ากันได้เป็นอย่างดี ถึงขั้นอยู่กันอย่างสงบสุข ไม่ลับฝีปากกันได้ยาวนานเช่นนี้เลยหรือ? ตั้งแต่ที่คนทั้งคู่ลงมาจากรถม้าจนถึงตอนนี้ อย่างน้อย ๆ ก็ผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วโมง วันนี้สองคนนี้ทำตัวผิดปกติยิ่ง
“เอ่อ…. อีกสักสองสามวัน คณะทูตแคว้นหลินยวนก็จะเดินทางมาถึง ทางเราได้รับการยืนยันแล้วว่าชางไห่อ๋องจะร่วมเดินทางมาด้วย” อวี้จิงจั๋วกระแอมเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศน่าอึดอัด “ข้าไม่คิดว่าพวกเขามาดี!”
“หึ! ท่านอ๋องผู้นั้นมาดีได้ด้วยหรือ? เจ้าปีศาจนั่น เจ็ดปีที่แล้วเคยเดินทางมาที่นี่ ทำลายกิจการของข้าเสียย่อยยับ” อวี้เซียวหนิงเอ่ยขึ้นพลางหยิบผลไม้สีแดงขึ้นกัดด้วยความโกรธแค้น
ซวนหยวนเช่อเหลือบมองนาง จากนั้นค่อย ๆ เปิดปากพูด “เจ็ดปีก่อนชางไห่อ๋องก็มีพลังลึกล้ำเกินหยั่งถึง เวลาเจ็ดปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะมีขั้นพลังสูงส่งเท่าไหร่ เรื่องหนึ่งที่ข้ามั่นใจคือ ในดินแดนแห่งนี้ ไม่อาจมีผู้ใดมีฝีมือทัดเทียมเขาได้”
“เฮ้อ ไม่รู้บรรพบุรุษแคว้นหลินยวนต้องอดทนนั่งสวดอ้อนวอนต่อสวรรค์มากี่รุ่นๆ ถึงจะมีผู้เก่งกาจเช่นนั้นมายังแคว้นของเขาได้” อวี้จิงจั๋วเอ่ยขึ้นพร้อมเสียงถอนหายใจ
ได้ยินทุกคนพูดถึงชางไห่อ๋องเช่นนั้น เยี่ยนหนิงลั่วก็ขมวดคิ้ว “คนผู้นั้น….. แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ?”
ซวนหยวนเช่อที่รักสันโดษและหยิ่งในศักดิ์ศรียังเอ่ยชมเขาเช่นนั้น คนผู้นี้คงแข็งแกร่งมากเป็นแน่
เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินคำถามนาง พวกเขาก็ชะงักค้างไป จากนั้นก็นึกได้ว่าหลายปีที่ผ่านมาเยี่ยนหนิงลั่วเก็บตัวสันโดษอยู่ในสำนักละอองหมอก ฝึกบำเพ็ญเพียรวิชาอยู่กับท่านเจ้าสำนัก ไม่รู้เรื่องราวภายนอกในตอนนั้น
อวี้จิงจั๋วกำลังจะตอบคำถามนาง หากแต่ เรือสำราญกลับโคลงอย่างรุนแรง คนที่อยู่บนเรือเกือบตกลงไปในน้ำอยู่หลายคน โชคดีที่ทุกคนต่างเป็นผู้บำเพ็ญพลัง ปรับสมดุลให้ตนเองได้อย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น?” อวี้จิงจั๋วคำรามเสียงดังออกไปด้านนอกด้วยความไม่พอใจ
ทว่าผ่านไปหลายชั่วอึดใจก็ยังไม่มีผู้ใดร้องตอบกลับมา อวี้จิงจั๋วขมวดคิ้วแน่น ลุกออกไปดูด้านนอก ทว่ากลับพบร่างข้ารับใช้สองคนนอนอยู่ที่พื้นเรือ หน้าของพวกเขาขึ้นสีคล้ำอย่างน่ากลัว
เขานั่งลงตรวจชีพจรที่คอของทั้งสองคน ก็พบว่าสองคนนี้ถูกพลังมหาศาลซัดทำลายเส้นพลังในร่างจนขาดสะบั้น และสิ้นใจในที่สุด
ทันใดนั้นเอง ในทะเลสาบก็พลันเกิดความโกลาหลขึ้น ดูท่าจะไม่ใช่แค่เรือสำราญของเขาผู้เดียวเท่านั้นที่มีคนถูกสังหารหรือได้รับบาดเจ็บ
“พี่สาม ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นหรือ?” เมื่อเห็นว่าพี่ชายออกไปข้างนอกเสียนาน อวี้เซียวหนิงจึงร้องถาม
“หนิงหนิง พวกเจ้าอยู่ด้านในอย่าออกมา!” อวี้จิงจั๋วรีบตะโกนบอก
จากนั้นเขาก็ไล่สายตาไปรอบทะเลสาบ พบว่าที่เรือสำราญลำใหญ่ที่สุดกลางทะเลสาบตรงนั้นดูท่าจะเกิดเรื่อง
พริบตาถัดมา เงาดำหลายสายก็บินออกมาจากเรือลำนั้นลงสู่ผืนทะเลสาบ น้ำในทะเลสาบที่เคยเป็นสีน้ำเงินสวยงามแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือดอย่างรวดเร็ว
“ฮึ่ม! อวดดีนัก” เงาร่างในชุดสีน้ำเงินพลันปรากฏขึ้น เรือนผมสีดำเงางามพลิ้วไสว มีปอยผมสีน้ำเงินแทรกอยู่ในนั้น มองเห็นได้เพียงเลือนราง
อวี้จิงจั๋วหรี่ตาลง เด็กสาวผู้นั้น ดูแล้วไม่ใช่คนแคว้นชิงหลาน!
ที่อีกฟากของฝั่งทะเลสาบ เงาร่างสีดำอีกหลายเงาปรากฏตัวขึ้นอีก พวกมันเหยียบย่ำไปบนผิวน้ำ พุ่งตัวเข้าหาเรือสำราญลำใหญ่นั่น ปลายเท้าของพวกมันสัมผัสผิวน้ำเพียงแผ่วเบา ทว่าสามารถส่งแรงพุ่งไปด้านหน้าได้อย่างมั่นคงไม่จมลงแม่น้ำเบื้องล่างแม้แต่น้อย
อวี้จิงจั๋วเบิกตากว้าง คนในชุดดำเหล่านั้นดูท่าจะมีพลังบำเพ็ญเพียรสูงกว่าเขามาก ราวกับเป็นนักฆ่าชั้นดีขององค์กรใดสักแห่งส่งมา
“คนพวกนี้เป็นนักฆ่าระดับเซียนจากหุบเขาไร้กังวล” ไม่รู้ว่าซวนหยวนเช่อออกมาจากด้านในตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มลึก สายตาก็จดจ้องเหล่าคนชุดดำที่กำลังวิ่งอยู่เหนือน้ำ
อวี้จิงจั๋วหรี่ตาลงเล็กน้อย
หุบเขาไร้กังวลคือสำนักอันดับสุดท้ายในสามสำนักใหญ่ ทว่ากลุ่มนักฆ่าของสำนักแห่งนี้ กับอีกสองสำนักใหญ่ไม่อาจเทียบเคียงฝีมือกันได้เลย
เหล่านักฆ่าถูกแบ่งแยกออกเป็นสี่ระดับ นักฆ่าระดับทองคำ นักฆ่าระดับเซียน นักฆ่าระดับลึกลับ และนักฆ่าระดับเหลือง
คำนวณจากระดับพลังบำเพ็ญเพียรของนักฆ่าเหล่านี้ที่สามารถยืนอยู่บนผิวน้ำโดยไม่จมได้เป็นเวลานาน พวกเขาน่าจะเป็นนักฆ่าฝีมือสูงส่งระดับเซียนที่มีอยู่เพียงไม่กี่คน
หุบเขาไร้กังวลระดมนักฆ่ามามากมายเช่นนี้ ต้องการสังหารใครกันแน่?
ไม่ใช่ว่านำคนมามากไปหน่อยหรือ?
ไม่ว่าใครต่างรู้ดีว่าหากหุบเขาส่งนักฆ่าออกมามากกว่าสองคน นั่นหมายความว่าเป้าหมายต้องไม่ใช่คนธรรมดา หากแต่เบื้องหน้าของพวกเขาในตอนนี้ อย่างน้อย ๆ ก็มีนักฆ่าชุดดำอยู่ราวยี่สิบคน
ส่วนเด็กสาวที่ยืนอยู่บนเรือลำนั้นไม่ใช่ใครอื่น คือเยว่ซินเหยียนนั่นเอง
เมื่อสองวันก่อน นางขอร้องให้ชิงเยี่ยหลีพานางมายังแคว้นชิงหลาน
นางไม่คิดว่ายามเมื่อก้าวเท้าแตะแผ่นดินชิงหลาน ก็พบเข้ากับคนที่เข้ามาทำลายบรรยากาศในทันทีเช่นนี้
เยว่ซินเหยียนมีสีหน้าไม่พอใจยิ่ง “ใครส่งพวกแกมา? อาจหาญลอบสังหารพวกข้าเช่นนี้ ไม่รู้หรือว่าพวกข้าเป็นใคร?”
พูดจบนางก็ไม่รั้งรอ ยกนิ้วเรียวขึ้นเล็กน้อย สั่งให้น้ำสีน้ำเงินในทะเลสาบพุ่งขึ้นมาก่อรูปเป็นลูกบอลวารีขนาดใหญ่ในมือนาง ด้านในราวกับมีสายฟ้าคะนองเปรี้ยงปร้างอยู่ภายใน
พริบตาต่อมา นัยน์ตานางก็เปลี่ยนเป็นเยียบเย็น นางระเบิดลูกบอลวารีในมืออย่างรุนแรง น้ำในทะเลสาบก่อเกิดคลื่นน้ำรุนแรง เป็นภาพน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก
นักฆ่าในชุดดำถอยร่นออกไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาเป็นนักฆ่าที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี บนใบหน้าไม่มีความลนลานปรากฏแม้แต่น้อย ต่างพากันรวมพลังวิญญาณสร้างเกราะป้องกันขึ้น ผืนน้ำพลันเปล่งแสงออกมาหลากหลายสี นับเป็นภาพสวยงามฉากหนึ่ง
อวี้จิงจั๋วจ้องมองภาพนั้นด้วยความตกตะลึง นัยน์ตาเบิกกว้างยิ่งขึ้น ทั้งเขาและซวนหยวนเช่อต้องใช้พลังปราณในการควบคุมเรือที่ตนเหยียบอยู่ให้มั่นคง
“ทรงพลังนัก!”
“องค์หญิงเก้าแคว้นหลินยวน!”
คนทั้งคู่พูดขึ้นมาพร้อมกัน
ต่างคนต่างเห็นความตกตะลึงในนัยน์ตาอีกฝ่าย คนจากแคว้นหลินยวนเดินทางมาถึงแล้ว แต่กลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้!
เช่นนั้นแล้ว ในเรือสำราญลำใหญ่นั่น คนที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมาก็คือ…..
“ซินเหยียน เข้าไปข้างใน” น้ำเสียงเย็นเยียบของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น เป็นน้ำเสียงที่เย็นบาดลึกไปถึงกระดูก น้ำเสียงนี้มาพร้อมกับพลังที่แผ่ออกมา ซัดเข้าที่หน้าอกเหล่านักฆ่าชุดดำที่ยืนตั้งท่าอยู่
นักฆ่าชุดดำที่ยังยืนตั้งท่าป้องกันอยู่ถูกแรงกดดันซัดร่างจนกระอักเลือดออกมา
เยว่ซินเหยียนบุ้ยปากเมื่อได้ยินดังนั้น แต่ก็ยอมถอยกลับเข้าไปด้านในเรือสำราญพร้อมสีหน้าไม่พอใจในทันที “พี่เยี่ยหลี เหตุใดจึงไม่ให้ข้าสู้กับพวกมันเล่า!?”
“เดี๋ยวจะเปื้อนมือเจ้า” ชิงเยี่ยหลีเอ่ยเสียงเรียบ นัยน์ตาสีเขียวเข้มของเขาทั้งชั่วร้ายและเย็นยะเยือก แรงกดดันอำนาจมหาศาลแผ่ซ่านออกจากเรือสำราญที่เขายืนอยู่
ผืนน้ำในทะเลสาบจันทร์เสี้ยวเริ่มกลายเป็นน้ำแข็งหนา ไล่ตั้งแต่เรือสำราญลำใหญ่ที่ลอยเด่นอยู่กลางทะเลสาบจันทร์เสี้ยว แผ่กระจายออกเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้ บนใบหน้าของเหล่านักฆ่าปรากฏร่องรอยความหวาดผวา พวกเขารีบหันหลังหมายจะกระโดดหนีไป โชคไม่ดีที่ความเร็วของน้ำแข็งนั้นเร็วกว่า สุดท้ายคนทั้งหมดจึงถูกแช่แข็งไปทั้งอย่างนั้น
แสงอาทิตย์สาดส่องลงบนมนุษย์น้ำแข็งกลางทะเลสาบ สร้างภาพสวยงามแปลกตาขึ้นภาพหนึ่ง ภาพฉากนี้ราวกับดอกกระบองเพชรที่บานยามค่ำคืน หลังจากดอกผลิบานแสดงความงดงามไม่นานก็เหี่ยวแห้งลง พริบตาต่อมา น้ำแข็งทั้งหมดก็ค่อย ๆ ปริแตกออกเป็นชิ้นขนาดเท่ากำมือ ก่อนที่มันจะร่วงลงสู่ผืนน้ำ
ผืนน้ำที่กลายเป็นแผ่นน้ำแข็งกลับคืนสู่สภาพเดิมภายในพริบตา ฝูงปลาหลากสีพากันแหวกว่ายไล่กันต่ออย่างมีความสุข
น้ำในทะเลสาบยังสดใสไร้มลทินราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น
อวี้จิงจั๋วและซวนหยวนเช่อตกตะลึงกับภาพที่ตนได้เห็น ชะงักค้างไปนานไม่เอ่ยคำใด
คนผู้นั้นยังไม่ทันเผยตัวกามารถปลดปล่อยพลังมหาศาลออกมาเช่นนั้นได้ เขามีพลังถึงขั้นใดกันนะ?
ภายในเรือสำราญ เยี่ยนหนิงลั่วหนี่ตาลงเล็กน้อย มือนางกำเป็นหมัดแน่น “เป็นเขา…..”