สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 43 งานเลี้ยงในวังหลวง
บทที่ 43 งานเลี้ยงในวังหลวง
ยามราตรีมาถึงในที่สุด เมืองหลวงแคว้นชิงหลานจุดโคมแขวนจนสว่าง ทั่วทั้งเมืองคึกคักยิ่งนัก ที่คึกคักเช่นนี้เป็นเพราะอีกไม่กี่วันจะถึง เทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญของแคว้นชิงหลานที่จัดขึ้นทุกสามปี เหล่าพ่อค้าแม่ค้าต่างพากันจัดเตรียมงานเฉลิมฉลองกันอย่างเต็มที่
สาเหตุที่แคว้นชิงหลานจัดงานเทศกาลเช่นนี้ขึ้นต้องย้อนไปเมื่อสิบหกปีก่อน องค์หญิงหนิงเฟิ่งแห่งจวนหย่งอันอ๋องถือกำเนิดขึ้น ภายในค่ำคืนหลังนางเกิด ดอกไม้ทั่วทั้งเมืองหลวงก็ผลิบาน นกทั้งหลายพากันส่งเสียงขับร้องไพเราะเสนาะหู อีกทั้งปีนั้นยังเป็นปีที่ฮ่องเต้ชิงหลานเพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ ขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน เกิดลางดีเช่นนี้ไม่หยุดหย่อน มีแต่เรื่องดีเกิดขึ้นไม่หยุดยั้ง ดังนั้นฮ่องเต้จึงโปรดปรานเยี่ยนหนิงลั่วเป็นอย่างมาก ประกาศให้นางหมั้นหมายกับองค์ชายองค์โตของเขาในทันที
ซวนหยวนเช่อในตอนนั้นยังเป็นเด็กอายุเพียงสี่ห้าขวบ จู่ ๆ กลับพบว่าตนหมั้นหมายกับเด็กผู้หญิงที่ไม่เคยพบหน้า ดังนั้นถึงเยี่ยนหนิงลั่วจะเป็นอัจฉริยะที่มีทั้งความงามและความรู้ความสามารถ เขาก็ไม่ชอบนางแม้แต่น้อย
โชคชะตานั้นเป็นเรื่องที่ลึกลับซับซ้อนยิ่ง
ยกตัวอย่างเช่น ยามเมื่อคณะทูตแคว้นหลินยวนเดินทางมาถึง ซวนหยวนเช่อและเยี่ยนหนิงลั่วจึงต้องถูกนำมาวางคู่กันไปโดยปริยาย กระทั่งยามที่นางต้องเดินทางเข้าวังยังต้องให้ซวนหยวนเช่อเดินทางไปรับไปส่งนางที่จวนหย่งอันอ๋องทุกครั้ง
ไม่บ่อยนักที่ชิงเป่ยจะมีโอกาสได้เปลี่ยนเป็นชุดคลุมยาวสีน้ำเงินดูสูงศักดิ์เช่นนี้ ผมสีดำยาวของเขาถูกเกล้าขึ้นด้วยเครื่องประดับหยก บรรยากาศอ่อนโยนและใบหน้าหล่อเหลาสง่างามของเด็กหนุ่ม เมื่อมองดูโดยรวมแล้วให้ความรู้สึกราวกับมองคุณชายชั้นสูงผู้หนึ่ง หากเขาเดินออกไปด้านนอก ใบหน้ารูปงามของเขาคงสามารถจับใจสตรีไว้ได้นับไม่ถ้วน
หากแต่เมื่อเขาเปิดประตูห้องออกมา พบกับชิงอวี่ที่ยังอยู่ในชุดสีขาวเรียบง่ายอย่างถึงที่สุด เขาก็ชะงักไป ก่อนเอ่ยขึ้น “พี่ ท่านไม่ไปเปลี่ยนชุดหรือ?”
เด็กสาวยังคงนอนเอนกายอยู่ที่เก้าอี้ยาวพลางแกล้งเจ้าเสี่ยวเสวี่ย นางใช้นิ้วจิ้มพุงนิ่ม ๆ ของมันเล่น “ข้าไม่ต้องการเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนั้นตั้งแต่ต้น เหตุใดจึงต้องแต่งตัวไปด้วยเล่า? ข้าไม่ได้จะไปแย่งความสนใจจากใครนี่?”
ชิงเป่ยพยักหน้าคิดตาม นางพูดถูก นางที่เป็นนางเช่นนี้ก็ดูงดงามมากพออยู่แล้ว หากยิ่งแต่งตัวจะส่งเสริมความงามของนางเข้าไปอีก เช่นนั้นคงได้เชื้อเชิญตัวปัญหาทั้งหลายเข้าหาตัวเป็นแน่
“มาคุยเรื่องเจ้ากันดีกว่า เจ้าแต่งตัวหล่อเหลาเช่นนี้ ตั้งใจจะไปหลอกแม่นางน้อยไร้เดียงสาผู้ใดกันหืม?” ชิงอวี่เอ่ยพล้ามยิ้มล้อ “ข้าเพิ่งรู้วันนี้เองว่าเสี่ยวเป่ยของเราช่างมีหน้าตางดงามเช่นนี้! เจ้าเก็บตัวเงียบมาโดยตลอด รู้หรือไม่ว่าความเปลี่ยนแปลงในตัวเจ้าวันนี้ คุณชายนายน้อยตระกูลสูงคนอื่นคงเทียบเจ้าไม่ติด รั้งท้ายอยู่หลายริมถนนโน่นแน่ะ?”
ชิงเป่ยไม่พูดอันใด “…..” เขาไม่สนใจคำชมไร้ความจริงใจเช่นนี้หรอก
——————–
เกี้ยวและเก้าอี้หามไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าวังหลวง ดังนั้นผู้ใดที่นั่งเกี้ยวมาจำต้องลงจากเกี้ยวเมื่อใกล้ถึงวังหลวง จากนั้นเดินเท้าเข้ามาด้านใน
“พวกเจ้าสองคน….. พาข้ามาด้วยเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่ายใช่หรือไม่?”
มู่ฉือไม่อาจทนกับบรรยากาศเงียบขรึมน่าอึดอัดใจเช่นนี้ได้อีกต่อไป ในที่สุดก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหดหู่ มองซวนหยวนเช่อและเยี่ยนหนิงลั่วที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน คนหนึ่งมองออกไปนอกหน้าต่าง อีกคนหนึ่งนั่งหลับตาสีหน้าไร้อารมณ์
มู่ฉือไม่อยากเหยียบย่างเข้ามาในวังหลวงแม้แต่น้อย ที่นี่มีแต่ความทรงจำที่เขาไม่อยากหวนนึกถึง หากแต่ด้วยความสงสัยในตัวบุรุษในคำร่ำลือผู้นั้นจึงเดินทางมาในที่สุด
เขาเหลือบมองคนทั้งคู่ด้วยนัยน์ตาประหลาดใจ สองคนนี้ตกลงสิ่งใดกันไว้เบื้องหลังหรือไม่ว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขเช่นนี้?
หากแต่คนทั้งคู่ทิ้งให้เขา คนที่ยังมีลมหายใจ นั่งเหือดแห้งไร้ชีวิตอยู่เช่นนี้….. แบบนี้สมควรแล้วหรือ?
มู่ฉือถอนหายใจออกมา หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้เขาคงไม่มากับสองคนนี้
“องค์รัชทายาท พวกเรามาถึงพระราชวังแล้วขอรับ” คนขับรถม้าที่อยู่ด้านนอกเอ่ยขึ้น
ซวนหยวนเช่อเปิดเปลือกตาขึ้น แสงแวบหนึ่งแล่นผ่านในนัยน์ตา หากแต่มันกลับหายไปอย่างรวดเร็ว
หากแต่มู่ฉือกลับเห็นมันได้อย่างชัดเจน คนผู้นี้หมกมุ่นอยู่แต่กับการบำเพ็ญเพียรอย่างที่เขาคิด นั่งหลับตาบำเพ็ญเพียรแม้กระทั่งอยู่ระหว่างการเดินทางเช่นนี้
เยี่ยนหนิงลั่วดึงสายตนกลับมาเช่นกัน นางเผลอสบตาเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำหมึกของซวนหยวนเช่อโดยไม่ได้ตั้งใจ หากแต่อีกฝ่ายกำลังเตรียมตัวลงจากรถม้าไปแล้ว จากนั้นยื่นมือมาทางนาง ทำท่าราวกับต้องการช่วยพยุงนางลงจากรถม้า
เยี่ยนหนิงลั่วชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด หากแต่ลังเลอยู่ไม่นานก็ยอมยื่นมือตนให้ซวนหยวนเช่อช่วยพานางลงจากรถม้า
นี่คงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่คนคู่นี้ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิดเช่นนี้
“องค์รัชทายาทและองค์หญิงหนิงเฟิ่งนี่! ดูเหมาะสมกันเหลือเกิน!”
คุณชายและคุณหนูจากตระกูลชนชั้นสูงทั้งหลายต่างพากันเดินทางมาถึงยังพระราชวังแล้ว พวกเขาจึงเห็นคนคู่หนึ่งจับมือพากันลงมาจากรถม้า ได้แต่ส่งเสียงร้องออกมาทั้งอิจฉาทั้งเห็นชอบด้วย
ซวนหยวนเช่ออยู่ในชุดหรูหราสีทองอ่อน ลายปักมังกรเงื้อสี่กรงเล็บนั้นสวยจนราวกับจะเป็นของจริง ร่างสูงและดูแข็งแรงสมส่วนแผ่กลิ่นอายสูงส่งมีอำนาจออกมาในฐานะองค์รัชทายาทแห่งแคว้น ถึงจะหมั้นหมายแล้ว แต่เสน่ห์เช่นนี้ก็ยังทำให้ธิดาหลายจวนพากันตกบ่วงรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
“ไปเถอะ” ซวนหยวนเช่อไม่ใส่ใจสายตาของคนรอบข้าง เขาหันไปพูดพึมพำกับเยี่ยนหนิงลั่ว ก่อนที่คนทั้งคู่จะมุ่งหน้าเดินเข้าพระราชวังหลวง
—– ภายในตำหนัก —–
เยว่ซินเหยียนจัดแจงสิ่งของทุกอย่างของตนเสร็จสรรพแล้ว นางชอบสีน้ำเงินมาก ดังนั้นชุดที่สวมใส่จึงมีสีน้ำเงินอยู่ตลอด สีนี้ยังเป็นสีที่เหมาะกับตัวนางมากเช่นกัน ทั้งดูซุกซนและเฉลียวฉลาดมีไหวพริบราวกับภูติพราย
“อาจิ่น พี่เยี่ยหลีเล่า?” เยว่ซินเหยียนเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่ที่นอกประตู
อาจิ่นคลี่ยิ้มอ่อนโยนก่อนเอ่ยตอบ: “ท่านอ๋องกำลังรอองค์หญิงอยู่ขอรับ”
เยว่ซินเหยียนเผยรอยยิ้มเมื่อได้ยินดังนั้น วินาทีที่ก้าวเท้าเดินออกไป นางก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนเอามือไขว้หลังอยู่ ชุดคลุมยาวสีดำปักไหมทองตัดกับผมสีเงินที่พลิ้วไหว เป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก
ในตำหนักแห่งนี้ปลูกต้นอิงฮวา (1) ไว้หลายต้น เป็นภาพที่ไม่อาจพบเห็นได้ในแคว้นหลินยวน เป็นเพราะต้นไม้ชนิดนี้ไม่อาจทนสภาพอากาศที่แปรปรวนได้
ลมหอบหนึ่งพัดโชยมา ผมสีเงินและแขนเสื้อยาวของชายหนุ่มพลิ้วไปตามแรงลม กลีบดอกไม้นับไม่ถ้วนหลุดออกจากกิ่งลอยมาตามลม ก่อนร่วงมาตกลงที่เรือนผมสีเงินและชุดคลุมยาวสีแดงเข้มของเขา เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดอกไม้กลีบหนึ่งพลันลอยมาแตะริมฝีปากสีแดง เป็นภาพที่สวยงามจับตา
ทั้งเยว่ซินเหยียนและอาจิ่นที่ยืนอยู่เบื้องหลังต่างก็มองภาพฉากนั้นนิ่งราวกับตกอยู่ในภวังค์
นับตั้งแต่ชิงเยี่ยหลีปรากฏตัวขึ้นในแคว้นหลินยวน เขาก็สวมหน้ากากนั่นมาโดยตลอด ไม่เคยมีใครเคยเห็นใบหน้าภายใต้หน้ากากของเขามาก่อน หากแต่ด้วยบรรยากาศสูงส่งที่แผ่ออกมาจากร่างและขั้นพลังบำเพ็ญเพียรอันล้ำลึกของเขาแล้ว ใบหน้าของเขาย่อมต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
เล่าลือกันว่าเขามีหน้าตาน่าเกลียดนัก ดังนั้นเขาจึงไม่เผยใบหน้าตนต่อหน้าผู้ใด
หากแต่นั่นก็เป็นเพราะผู้คนยังไม่รู้จักหรือได้มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขามาก่อนต่างหาก
คนบางประเภทอาจทำให้ผู้อื่นไม่ใส่ใจสิ่งอื่นใด เพียงคนผู้นั้นปรากฏตัวขึ้น ก็ทำให้ผู้อื่นอกสั่นขวัญแขวนได้แล้ว
และชิงเยี่ยหลีคือคนประเภทนั้น
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของเขา ดังนั้นตัวเขาจึงให้ความรู้สึกห่างเหินเยือกเย็นอยู่เสมอ เป็นความเย็นชาที่เขาใช้ช่องกว้างนั้นปิดกั้นเขากับผู้อื่นเอาไว้
ยามเมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้คนก็ทำได้เพียงรู้สึกเจ็บปวดในใจให้กับบุรุษที่แข็งแกร่งยิ่ง หากแต่ก็โดดเดี่ยวไม่มีใคร
ขอบตาเยว่ซินเหยียนพลันแดงขึ้น ได้เห็นเขาเป็นเช่นนี้ทำให้นางอดเอ่ยเสียงทลายบรรยากาศหมองหม่นตรงหน้าไม่ได้ “พี่เยี่ยหลี ท่าน….. อย่าได้เศร้าใจไป ท่านจะต้องหาพี่สาวท่านนั้นพบแน่”
นางคิดว่าพี่เยี่ยหลีคงจะท้อแท้เสียใจที่ไม่หาสตรีในม้วนภาพไม่พบ
ชิงเยี่ยหลีทำเพียงหันมาก้มลงมองเด็กสาวที่สูงเพียงอกเขา ก่อนที่ริมฝีปากจะโค้งขึ้นเล็กน้อย ยื่นมือออกไปสัมผัสศีรษะของเด็กสาวอย่างแผ่วเบา “เจ้าคิดอะไรอยู่?”
เยว่ซินเหยียนสับสนกับสัมผัสที่หัวเล็กน้อย “พี่เยี่ยหลีหาพี่สาวท่านนั้นไม่เจอ ท่านก็เลย….. ไม่มีความสุขไม่ใช่หรือ?”
ชิงเยี่ยหลียิ้มบาง หากแต่ไม่ได้เอ่ยความใดออกไป
ผู้คุ้มกันที่ทำหน้าที่นำทางคณะทูตจากแคว้นหลินยวนยืน รออยู่ที่หน้าประตูตำหนักแล้ว เมื่อเห็นว่าแขกบ้านแขกเมืองกำลังเดินออกมา พวกเขาก็โค้งคำนับลงพร้อมกัน “ท่านอ๋อง องค์หญิงเก้า”
ชิงเยี่ยหลีพยักหน้ารับด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเดินตรงต่อไป บุรุษในชุดสีแดงเข้ม ผมสีเงินที่พลิ้วไสว หน้ากากหมาป่าที่ดูชั่วร้ายและลึกลับไปในเวลาเดียวกัน ร่างสูงใหญ่ของเขาปลดปล่อยกลิ่นอายที่ผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูกออกมา
เยว่ซินเหยียนก้าวเท้าขึ้นไปเดินเคียงข้างเขา ส่วนคนที่อยู่ได้แต่ติดตามอยู่ด้านหลัง กลายเป็นเพียงเหมือนของประดับให้กับคนสองคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้า
ตำหนักที่ถูกต่อเติมขึ้นใหม่นั้นอยู่ห่างจากวังหลวงเพียงไม่กี่สิบก้าวเท่านั้น เวลาเปิดงานเลี้ยงใกล้จะมาถึงเต็มที หากเข้าไปตอนนี้คงจะทันเวลาพอดิบพอดี ชิงเยี่ยหลีไม่ชอบรอ ดังนั้นจึงเลือกให้คนอื่นเป็นฝ่ายรอเขาแทน
ห้องโถงใหญ่ในพระราชวังเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย บุรุษและสตรีนั่งแยกโต๊ะกันเป็นสัดส่วน ลำดับที่นั่งเรียงตามชั้นยศและลำดับอาวุโส ฮ่องเต้บนบัลลังก์มังกรยังดูเยาว์วัยนัก ที่หว่างคิ้วแผ่ความทรงธรรมออกมาไร้ซึ่งความโกรธเกรี้ยวใด ที่นั่งเบื้องล่างด้านซ้ายเป็นของหย่งอันอ๋องเยี่ยนซู่และองค์รัชทายาทซวนหยวนเช่อ ส่วนด้านขวาเป็นของเสนาบดีฝ่ายซ้ายอวี้เฉิงไห่และแม่ทัพใหญ่โม่หยวนเวยที่รับใช้ฮ่องเต้มาแล้วหลายพระองค์
ถัดจากนั้นเป็นองค์หญิงและองค์ชายที่มีอายุราวสิบกว่าปี ต่อจากนั้นเป็นเหล่าชนชั้นสูงมีชื่อและขุนนางชั้นสูง
ที่ปลายสุดคือครอบครัวของเหล่าขุนนางทั้งหลาย
อัจฉริยะอันดับหนึ่ง เด็กสาวที่มีความสามารถสูงสุดในแคว้น เยี่ยนหนิงลั่ว ย่อมนั่งอยู่ด้านหน้าสุด ด้านข้างนางคือธิดาของเสนาบดีฝ่ายซ้าย คุณหนูอวี้เซียวหนิง รอบข้างแม่นางทั้งสองคือเหล่าคุณหนูทั้งหลายที่ได้รับการประคบประหงมอย่างดีจากในตระกูล พวกนางเป็นแขกไม่ได้รับเชิญที่ตั้งใจมาที่นี่เพื่อเอาอกเอาใจพวกนางโดยเฉพาะ
สีหน้าเยี่ยนหนิงลั่วไม่ใส่ใจสิ่งใด นางกวาดสายตามองรอบห้องโถงกว้างหนึ่งครั้ง เขายังไม่มาหรือ?
คงจะเป็นเช่นนี้แน่ บุรุษที่มีชื่อเสียงบันลือไกลเช่นเขา ได้รับความเคารพจากผู้คน คงต้องมาสายหน่อยอยู่แล้ว อย่างไรเสียนางต้องได้เห็นเขาแน่นอน
เมื่อคิดเช่นนั้น ความอึดอัดในใจพลันผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ที่อีกด้านหนึ่ง ชิงเยี่ยหลีและคณะทูตหลินยวนได้เดินทางเข้ามายังพระราชวังแล้ว ในตอนที่กำลังเดินทางผ่านศาลาหนึ่งในสวน ก็พลันได้ยินเสียงคนพูดคุยกันดังขึ้น
ตอนนี้แขกทั้งหมดควรเดินทางมาถึงยังวังหลวงได้แล้ว ข้ารับใช้และนางกำนัลทั้งหลายก็สมควรจะไปรวมตัวกันอยู่ในห้องโถงใหญ่ ไม่ควรมีผู้ใดอยู่ที่นี่
ชิงเยี่ยหลีไม่สนใจเสียงนั้น หากแต่ก้าวเท้าเดินหน้าต่อไป
เมื่อกลุ่มคนเดินไปได้ไกลแล้ว เงาร่างสองเงาก็เผยกายออกมาจากเงามืด
คนหนึ่งอยู่ในชุดคลุมสีดำที่คลุมปกปิดทั้งร่าง เผยให้เห็นเพียงคางขาวซีดดูน่าขนลุกเพียงลาง ๆ
บุรุษที่ยืนอยู่ข้างเงาร่างนั้นเองก็มีใบหน้าซีดขาว นัยน์ตาไร้ชีวิตราวกับนัยน์ตาของหุ่นเชิดที่ถูกชักใยอยู่เบื้องหลัง ทันใดนั้นริมฝีปากซีดก็เผยอออก เอ่ยคำพูดเสียงกระซิบออกมา “เมื่อครู่มีคนจับสัมผัสเราได้”
“หึ ๆ ที่นี่ยังมีพยัคฆ์ซุ่มมังกรซ่อนเร้นอยู่เช่นกัน” เงาร่างภายใต้เสื้อคลุมดำหัวเราะออกมา “เรายังไม่ต้องใส่ใจคนผู้นั้นมาก….. เจ้าบอกว่าเจ้าสัมผัสถึงกลิ่นอายของคนที่โจมตีข้าจนบาดเจ็บได้ ใช่หรือไม่? ค้นหามันต่อไป”
“รับทราบ”
“ชางไห่อ๋องและองค์หญิงเก้าแห่งแคว้นหลินยวนมาถึงแล้ว!”
น้ำเสียงใสที่ตะโกนดังขึ้นนอกประตูดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถงอันกว้างใหญ่ของวังหลวง น้ำเสียงพูดคุยมีชีวิตชีวาเคล้าเสียงหัวเราะในห้องโถงพลันเงียบลงในทันที
ฮ่องเต้ชิงหลานที่อยู่บนบัลลังก์สูงสุดเองก็ยืนขึ้นเช่นกัน สายตามองตรงไปยังประตู
มีผู้คนไม่มากในที่นี้ที่เคยได้พบชางไห่อ๋อง คนส่วนมากเคยได้ยินเพียงชื่อเสียงดั่งเทพเซียนของเขาเท่านั้น หากแต่ยังไม่เคยได้พบเขาตัวเป็น ๆ มาก่อน ในที่สุดช่วงเวลาที่พวกเขาจะได้เห็นบุรุษในตำนานก็มาถึง ในใจต่างพากันตื่นเต้นจนตัวสั่นสะท้าน