สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 45 สองยอดหญิงประมือ
บทที่ 45 สองยอดหญิงประมือ
องค์หญิงเอ่ยขึ้นเพียงหนึ่งประโยค กลับเป็นประโยคท้าทายอัจฉริยะหญิงอันดับหนึ่งแห่งแคว้นชิงหลาน ทำให้แขกเหรื่อในงานเลี้ยงทั้งตกใจและตื่นเต้นไปในเวลาเดียวกัน
มุมปากซวนหยวนเช่อโค้งขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นสีหน้าสนุกสนานอย่างที่ไม่ค่อยปรากฏของบุรุษผู้นี้ ประโยคเผยความในใจขององค์หญิงเมื่อครู่มีเจตนาแอบแฝง นั่นคือการท้าทายเยี่ยนหนิงลั่ว!
น่าสนใจจริง เขากำลังอยากสัมผัสความรู้สึกของแม่นางทั้งสองเวลาฟาดฟันกันอยู่พอดี
ฮ่องเต้ชิงหลานชะงักไปเล็กน้อย ไม่คิดว่านางจะขอเช่นนี้ ดังนั้นจึงหันไปส่งสายตาถามไถ่ให้หย่งอันอ๋องเยี่ยนซู่ที่นั่งนิ่งอยู่เบื้องล่าง เขาส่งยิ้มสงบนิ่งกลับมาให้
จากนั้นเด็กสาวหน้าตาน่ารักในชุดสีน้ำเงินก็หันไปกวาดสายตามองในที่นั่งแถบสตรี จากนั้นมองเยี่ยนหนิงลั่วที่มีรูปโฉมงามล่มเมือง สีหน้าของนางทั้งสงบและเยือกเย็น จากนั้นองค์หญิงก็เอ่ยถามขึ้นยิ้ม ๆ “ไม่ทราบว่าข้าพอจะได้รับเกียรติประลองกับองค์หญิงหนิงเฟิ่งหรือไม่?”
เยี่ยนหนิงลั่วลุกขึ้นยืนสีหน้าไม่เปลี่ยน นัยน์ตานางพลันเหลือบมองไปยังที่นั่งคณะทูตแคว้นหลินยวน มองบุรุษในชุดสีแดงเข้มผู้มีเรือนผมสีเงินราวหิมะ นัยน์ตานางลึกล้ำขึ้น “ข้ายินดียิ่ง”
“พี่ ท่านว่าใครจะชนะ!?” ชิงเป่ยมองดูเหตุการณ์ด้วยความตื่นเต้น ถึงองค์หญิงเก้าแห่งแคว้นหลินยวนจะดูตัวเล็กบอบบาง หากแต่ที่นางมีชื่อเสียงโดดเด่นเทียบเคียงกับเยี่ยนหนิงลั่วได้ย่อมหมายถึงระดับขั้นบำเพ็ญเพียรของนางย่อมไม่ต่ำเตี้ย อัจฉริยะสองคนประมือกันเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะสามารถสร้างความตื่นเต้นในใจคนได้มากเท่าไร
ชิงอวี่ยิ้มมุมปาก หากแต่ไม่ตอบสิ่งใด
นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด จิตใจนางถึงไม่ค่อยสงบเช่นนี้
ห้องโถงหลวงแห่งนี้กว้างใหญ่นัก พื้นที่กว้างตรงกลางเดิมทีมีไว้เพื่อจัดการแสดง หากแต่ตอนนี้สามารถใช้เป็นพื้นที่ในการประลองได้อย่างเหมาะเจาะ
วินาทีที่เยี่ยนหนิงลั่วก้าวขึ้นมายังแท่นตรงกลาง กลิ่นอายไม่แยแสของนางก็พลันเปลี่ยนเป็นกลิ่นอายบ้าคลั่ง แสงเรืองสีเขียวจางเริ่มแผ่ออกจากกายนาง เยว่ซินเหยียนเองก็มีแสงสีน้ำเงินเปล่งออกมาจากร่างเช่นกัน หากแต่ในสีน้ำเงินยังมีสายฟ้าคลั่งสีม่วงเจืออยู่เล็กน้อย
แสงที่เปล่งออกจากร่างผู้ฝึกยุทธ์แสดงธาตุที่คนผู้นั้นใช้ เช่นแสงสีเขียวจากร่างเยี่ยนหนิงลั่วแสดงให้เห็นว่านางเป็นธาตุไม้ ส่วนเยว่ซินเหยียนเป็นผู้ฝึกยุทธ์สองธาตุ คือธาตุน้ำและสายฟ้า
ธาตุของผู้ฝึกยุทธ์แบ่งออกเป็นห้าธาตุ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน น้ำแข็ง สายฟ้า แสง ธาตุมืด รวมเป็นเก้าธาตุ ธาตุแสงและธาตุมืดหายาหที่สุดในหมู่ธาตุทั้งหลาย ว่ากันว่าทั่วทั้งดินแดนไม่มีผู้ในถือครองสองธาตุนี้ ธาตุที่หายากรองลงมาคือธาตุน้ำแข็งและธาตุสายฟ้า ซึ่งเป็นธาตุที่ดุดันรุนแรง เป็นธาตุที่มีการโจมตีรุนแรงยิ่งนัก
เยว่ซินเหยียนมีธาตุสายฟ้าที่ดุดันกว่าธาตุอื่น ทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์สองธาตุ มีความแข็งแกร่งไม่น้อย
ผู้ฝึกยุทธ์บำเพ็ญเพียรเพียงหนึ่งธาตุให้ชำนาญจนถึงขีดสุด ก็นับว่าสาหัสแล้ว หากแต่องค์หญิงผู้นี้ไม่เพียงบำเพ็ญเพียรสองธาตุในร่าง นางยังสามารถผสานสายฟ้าเข้ากับน้ำ หลอมสองธาตุให้เป็นหนึ่ง! แสดงให้เห็นว่านางได้บำเพ็ญทั้งสองธาตุจนถึงขีดสุดแล้ว
ธาตุไม้ของเยี่ยนหนิงลั่วเองก็ไม่ใช่ธาตุที่อ่อนแอ เป็นธาตุที่ใช้โจมตีและเยียวยา เพราะฉะนั้นถึงนางจะได้รับบาดเจ็บ ร่างกายก็สามารถฟื้นฟูตัวเองได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะเหมือนมีสองชีวิต หากแต่เมื่อประมือกับผู้ฝึกยุทธ์สองธาตุก็นับว่ายังตึงมือนัก
ผู้คนด้านล่างต่างหลั่งเหงื่อเย็น ในใจเป็นห่วงนางขึ้นมา
“ผู้ที่เราเห็นในวันนั้นคือองค์หญิงเก้าไม่ผิดแน่ องค์หญิงน้อยผู้นี้ไม่ธรรมดา อายุยังน้อยแต่ครอบครองพลังมหาศาล ครั้งนี้คงตึงมือองค์หญิงหนิงเฟิ่งแล้ว” อวี้จิงจั๋วนั่งไม่ห่างจากซวนหยวนเช่อเท่าไหร่ เสียงพูดของเขาจึงส่งไปถึงองค์รัชทายาทได้อย่างง่ายดาย เขาใช้วิชาสื่อสารลับ ดังนั้นจึงมีเพียงผู้ส่งกับผู้รับสารเท่านั้นที่จะได้ยิน
ซวนหยวนเช่อยิ้มเยาะออกมา “แสดงว่าเจ้ายังไม่รู้จักเยี่ยนหนิงลั่วดี สตรีผู้นั้นไม่ได้เรียบง่ายดั่งที่เจ้าคิดเช่นกัน นางนั้นเป็นผู้น้ำนิ่งไหลลึกนัก”
“หืม? เจ้านี่รู้จักนางดีจริง! แล้วยังบอกว่าไม่สนใจนางอีก”
“ข้าแค่พูดเรื่องจริงเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับว่าข้าสนใจนางหรือไม่”
“อ่าฮะ ไม่ต้องอธิบายหรอก ข้ารู้เรื่องทุกอย่างแล้ว ”
“…..” รู้บ้านเจ้าสิ
บนเวทีการแสดง ด้วยเกรงว่าการประมือระหว่างคนสองคนอาจมีคนนอกเข้ามายุ่งเกี่ยว และเพื่อไม่ให้การต่อสู้ทำให้ผู้ใดบาดเจ็บ ดังนั้นจึงกางเกราะคุ้มรอบพื้นที่ประลองเอาไว้ ไม่ว่าภาพด้านในจะดุเดือดเลือดพล่านเช่นไร ผู้ชมด้านนอกจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
เยว่ซินเหยียนไม่ว่ามองอย่างไร ก็เหมือนเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มว่าง่ายคนหนึ่ง หากแต่เมื่อเริ่มต่อสู้ นางจะเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน นัยน์ตาหวานเปลี่ยนเป็นดุดันเฉียบคม เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร่าร้อน ทุกย่างก้าวทุกการโจมตีของนางเต็มไปด้วยพลังอำนาจสูงส่ง เยี่ยนหนิงลั่วไม่รีบเข้าประจันหน้า หลบหลีกการโจมตีบ้าคลั่งครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งท่าถอยไม่หยุด
“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดองค์หญิงหนิงเฟิ่งจึงไม่โต้กลับ? ได้แต่รับการโจมตีอยู่แบบนั้น!”
“องค์หญิงเก้าแข็งแกร่งนัก ดูแล้วจะแกร่งกว่าองค์หญิงหนิงเฟิ่งด้วยซ้ำ”
“ข้าว่าครั้งนี้องค์หญิงหนิงเฟิ่งคงจะพ่ายแพ้เสียแล้ว นางตอบโต้กลับไม่ได้เลยสักนิด! องค์หญิงเก้าแข็งแกร่งเกินไป การโจมตีดุดันรวดเร็ว ป้องกันแทบไม่ได้”
“เฮ้อ ดูท่าครั้งนี้แคว้นชิงหลานคงต้องเสียหน้าแล้ว”
“เยี่ยนหนิงลั่ว เหตุใดจึงไม่โจมตีกลับเล่า? ท่านดูถูกข้างั้นหรือ!?” เยว่ซินเหยียนเริ่มโมโห นางเดินทางมาที่แคว้นชิงหลานเพื่อตัดสินแพ้ชนะกับสตรีผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นยอดสตรีแห่งชิงหลาน ไม่คิดว่านางกลับไม่โต้กลับแม้หนึ่งกระบวนท่า ทำให้นางโกรธไม่น้อย
เยี่ยนหนิงลั่วหลบหมัดที่ใช้สายฟ้าห่อหุ้มมาก่อนเอ่ยขึ้น “การประลองยุทธ์ตัดสินได้ในหนึ่งกระบวนท่า จำเป็นต้องสู้กันดุเดือดราวจะเอาชีวิตอีกฝ่ายเช่นนี้เลยหรือ?”
เยว่ซินเหยียนยิ้มเยาะ “แต่ข้าต้องการประลองว่าผู้ใดเก่งกาจกว่ากัน หรือชื่อเสียงของท่านที่ว่าเป็นยอดสตรีแห่งแคว้นชิงหลานนั้นเป็นเรื่องโกหกกัน? ไม่มีผู้แข็งแกร่งอื่นในแคว้นชิงหลานแล้วหรือจึงต้องใช้ชื่อท่านในการเป็นหน้าตาให้แคว้น?”
สีหน้าเยี่ยนหนิงลั่วเปลี่ยนเป็นเย็นชา “องค์หญิงเก้าต้องจำคำกล่าวหนึ่งให้ดี เคราะห์ร้ายมักเกิดจากปาก”
“ฮ่า! ไม่แปลกที่เจ็ดปีก่อนพี่เยี่ยหลีเกือบทำลายแคว้นชิงหลานเสียสิ้น แคว้นที่แข็งแกร่งที่สุดอะไรกัน? มีดีอยู่แค่นี้!” เยว่ซินเหยียนเอาแต่เอ่ยคำท้าทายยั่วยุเยี่ยนหนิงลั่ว ต้องการทำให้นางโกรธและเผยพลังที่แท้จริงออกมา ไม่เอาแต่หลบลูกเดียวเช่นนี้
สิ้นคำพูดองค์หญิง กลิ่นกายที่แผ่จากร่างเยี่ยนหนิงลั่วก็เปลี่ยนแปลงไป ทำให้องค์หญิงเก้าดีใจจนเนื้อเต้น คิดว่าในที่สุดตนก็สามารถยั่วยุสตรีผู้นี้ให้จริงจังขึ้นมาได้แล้ว หากแต่นางไม่อาจรู้ว่าเป็นเพราะคำใด ที่ทำให้เยี่ยนหนิงลั่วโกรธขึ้นมาได้เช่นนี้
คือคำที่นางใช้เรียกชิงเยี่ยหลีว่า “พี่”…..
นัยน์ตางามของเยี่ยนหนิงลั่วแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาในพลัน
คนทั้งคู่สนิทกันมากจนเรียกกันเช่นนี้เลยหรือ?
พี่เยี่ยหลี หึ
นางไม่ยอมให้บุรุษที่นางพึงใจมานานหลายปีเกี่ยวพันกับสตรีอื่นหรอก
แม้สตรีผู้นั้นจะเป็นองค์หญิงจากต่างแคว้นก็ตามที อย่างไรก็ยกโทษให้ไม่ได้!
คนที่รู้จักเยี่ยนหนิงลั่วดีจะรู้ว่านางเป็นหญิงสาวที่มีความมั่นคงและมีความเป็นผู้ใหญ่สูง มักมีนิสัยเย็นชาเฉยเมย ไม่ใช่คนที่โกรธใครง่ายๆ
หากแต่ตอนนี้ ความโกรธเกรี้ยวไร้ที่สิ้นสุดที่แผ่ออกจากร่างของนางทำให้คนเหล่านั้นตกตะลึง ได้แต่คิดว่าองค์หญิงเก้าคงเอ่ยคำใดที่ไม่อาจอภัยให้ได้กับนาง เยี่ยนหนิงลั่วจึงโกรธถึงขั้นนี้
ในตอนที่ทุกคนหลุดออกจากอาการตกตะลึงแล้วนั่นเอง พวกเขาก็เห็นแสงสีเขียวที่แผ่รอบกายเยี่ยนหนิงลั่วเปลี่ยนเป็น มีสีแดงร้อนแรงแผ่ซ่านออกมา
นั่นคือธาตุไฟ!
ได้เห็นดังนั้นทุกคนชะงักค้างไป เยี่ยนหนิงลั่วเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์สองธาตุ! ทั้งยังเป็นธาตุที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง!
ธาตุไฟนั้นดุเดือดอำนาจสูง ธาตุไม้อ่อนโยนเงียบสงบ หากแต่เยี่ยนหนิงลั่วกลับสามารถบำเพ็ญสองธาตุนี้พร้อมกันได้!
“เป็นยอดสตรีจริง ๆ! คมในฝักโดยแท้!”
“ข้าบอกแล้วว่าองค์หญิงหนิงเฟิ่งคงไม่อ่อนแอเช่นนั้น”
“เช่นนั้นที่ผ่านมานางก็ยังไม่ได้เอาจริงงั้นสินะ? แบบนี้การประลองที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มขึ้นงั้นหรือ?”
“พรสวรรค์สูงส่งเช่นนี้ ไม่แปลกที่เจ้าสำนักละอองหมอกเอ็นดูนางนัก ว่ากันว่าเหตุการณ์ยามองค์หญิงหนิงเฟิ่งถือกำเนิด คือลางบอกว่านางจะมีชะตาหงส์ สูงส่งและเป็นที่เคารพนับถือยิ่ง”
“นางซ่อนคมเสียมิด กลายเป็นว่านางเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์สองธาตุเช่นกัน เจ้ารู้เรื่องนี้มาก่อนหรือไม่?” อวี้จิงจั๋วใช้วิชาสื่อสารลับกับซวนหยวนเช่อ
อีกฝ่ายมีสีหน้าสงบนิ่ง ดูไม่ตกใจแม้แต่น้อย “ข้าไม่รู้”
“เจ้านี่สมกับที่เป็นองค์รัชทายาท ไม่รู้แต่วางท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง นับถือเจ้าจริง ๆ” อวี้จิงจั๋วพูดหยอกน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
นัยน์ตาของฮ่องเต้ชิงหลานที่นั่งอยู่บนที่สูงพลันส่องประกาย เอ่ยกับเยี่ยนซู่ว่า “หนิงเอ๋อร์แท้จริงแล้วเป็นผู้ฝึกยุทธ์สองธาตุ ใช้ธาตุไฟและธาตุไม้ ขุนนางคนโปรดของเรารู้เรื่องนี้หรือไม่?”
เยี่ยนซู่มีสีหน้าตกตะลึงนัก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน
ฮ่องเต้ชิงหลานยิ้มพึงพอใจ “มีธิดาเช่นนี้ ขุนนางของเราโชคดีเสียจริง หนิงเอ๋อร์ได้รับพรให้มีชีวิตดั่งหงส์ไฟ ดูท่าต่อไปต้องอุ้มชูแคว้นชิงหลานได้มากเป็นแน่”
“ฝ่าบาทชมเกินไปแล้ว” เยี่ยนซู่เอ่ยอย่าถ่อมตน แต่ใบหน้าคลี่ยิ้ม
“ในที่สุดก็จริงจังแล้วสินะ?” เยว่ซินเหยียนเลิกคิ้วถามสตรีตรงหน้าที่แผ่กลิ่นอายกระหายการต่อสู้อันเยียบเย็นออกมาจากร่าง รอยยิ้มที่มุมปากนางพลันลึกขึ้น “เช่นนั้นข้าจะเป็นผู้ทำลายชื่อเสียงยอดสตรีอัจฉริยะของท่านเอง!”
พูดจบ ร่างสีน้ำเงินจางก็พลันพร่ามัว ส่งการโจมตีใส่เยี่ยนหนิงลั่วด้วยความรวดเร็ว เยี่ยนหนิงลั่วยังคงท่าทางเมินเฉยไว้ หากแต่ในใจพลันมีความคิดอยากเอาชนะองค์หญิงน้อยตรงหน้า เพื่อให้บุรุษผู้นั้นรู้ว่ามีเพียงนาง เยี่ยนหนิงลั่ว คนนี้ที่มีคุณสมบัติพอจะยืนข้างกายเขา!
นัยน์ตาใสกระจ่างและเฉียบคมพลันรู้สึกราวกับมีเปลวเพลิงลุกโชติช่วงขึ้น เหล่าผู้ชมที่นั่งอยู่โดยรอบต่างสัมผัสได้ถึงความเร่าร้อนนี้
“องค์หญิงเก้าอาจจะต้องแพ้เสียแล้ว” อาจิ่นที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า
เขาสัมผัสได้ว่าก่อนหน้านี้เยี่ยนหนิงลั่วยังไม่เอาจริง ต่อจากนี้ต่างหากถึงจะเป็นความสามารถที่แท้จริงของนาง
ธาตุไฟที่นางแสดงออกมาแข็งแกร่งกว่าธาตุไม้ที่นางเผยให้เห็นในตอนแรกมาก ตั้งแต่โบราณมา ธาตุน้ำย่อมชนะธาตุไฟ หากแต่ธาตุไฟที่หลอมรวมเข้ากับธาตุไม้นั้นมีพลังป้องกันสูงหาใครเทียม ดังนั้นจึงไม่เกรงกลัวธาตุนั้นแต่อย่างใด ทั้งยังสามารถสยบธาตุน้ำไว้ได้อีกด้วย
ชิงเยี่ยหลีไม่ได้ใส่ใจการประลองมากนัก เพียงใช้นัยน์ตาที่เปิดเพียงครึ่งเหลือบมองเป็นระยะ ที่เขามาที่นี่ด้วยเป็นเพราะเยว่ซินเหยียนตามอ้อนวอนเขา ใช้ทั้งไม้แข็งและไม้อ่อน รวมถึงตัวเขาที่อยากมาตามหาเสี่ยวอวี่ ดังนั้นสิ่งอื่นใดจึงไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขาอยู่แล้ว
“คนมากไป ลงมือไม่ง่ายแน่” น้ำเสียงชั่วร้ายของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น ยังคงเป็นน้ำเสียงไร้ชีวิตเหมือนคราก่อน
“ข้าต้องลากมันออกมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่มีทางล้มเลิก!” น้ำเสียงของคนในชุดคลุมสีดำเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ก่อบาปสังหารคนในดินแดนระดับล่างมากเกินไปจะทำให้แดนสวรรค์พิโรธ ที่นี่ยังมีกฎจำกัดพลังที่กดพลังบำเพ็ญของเราไว้ ไม่สามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่”
“หึ เช่นนั้นก็หาทางล่อมันออกมา! ข้าต้องสังหารมันให้ได้!”
ใบหน้าขาวซีดของชายหนุ่มเรียบเฉยไร้อารมณ์ใด นัยน์ตาไร้แววพลันเหลือบมอง “มะรืนนี้ที่นี่จะมีเทศกาลใหญ่ ถึงตอนนั้นคงคนเยอะวุ่นวาย ลงมือตอนนั้นน่าจะเหมาะ”
“ดี เช่นนั้นทำตามเจ้าว่า”
ชิงอวี่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดวันนี้นางถึงจิตใจกระวนกระวายนัก ง่วงงุนเสียจนเห็นทุกอย่างเป็นเพียงเมฆหมอกจางๆ ทันใดนั้นลมหนาวหอบหนึ่งที่ให้ความรู้สึกสะอิดสะเอียนก็พัดผ่านร่างนางอีกครา นางสั่นไปทั่วทั้งร่าง รู้สึกตื่นตัวขึ้นในทันใด
นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว นางไม่ได้คิดไปเองเป็นแน่ นัยน์ตาเย้ายวนนางพลันทะมึนลง เกรงว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างหรือใครบางคนหมายตานางอยู่เป็นแน่