สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 6 ดึงตัวมาหรือจะบีบให้สิ้นใจ
บทที่ 6 ดึงตัวมาหรือจะบีบให้สิ้นใจ
เจ้าเด็กนั่นแอบเข้ามาโดยไม่มีผู้ใดพบเห็นได้อย่างไร? แล้วยังออกไปแบบไร้รอยขีดข่วนอีก?!
เว้นเสียแต่…..
ราวกับต้องการยืนยันความสงสัยในจิตใจ นัยน์ตาหงส์น่าหลงใหลที่เชิดขึ้นสูงคู่นั้นโก่งขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เด็กหนุ่มจะกล่าวขึ้นน้ำเสียงไม่แยแส “ก็แค่สมุนไพรกอหนึ่งไม่ใช่หรือ? เจ้าต้องการใช้รักษาคน ข้าก็ใช้รักษาคนเช่นกัน แต่ข้าก็ไม่อาจปฏิเสธความผิดได้ ดังนั้นข้าจะรักษานายท่านของเจ้าเอง”
ใจไป๋จือเยี่ยนพลันเต้นแรง ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงรู้สึกว่าเด็กคนนี้อาจจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นก็ได้ ทว่าบนใบหน้ายังคงปราศจากอารมณ์ใด เขาเอ่ยถามเด็กหนุ่มผู้นั้น “เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดเจ้าได้?”
“หึ” มุมปากชิงอวี่ยกขึ้นเล็กน้อยจนแทบไม่มีใครเห็น นัยน์ตานางจ้องตรงไปยังนัยน์ตาปีศาจทรงเสน่ห์เบื้องหลังม่านลูกปัด “เหตุเพราะข้าเป็นผู้เดียวที่สามารถแตะต้องท่านได้กระมัง ท่านว่าใช่หรือไม่ล่ะ?”
นัยน์ตาสีม่วงล้ำลึกหรี่ลงทันที
ผู้อื่นอาจไม่รู้ ทว่าเขารู้แน่ชัด เขาเห็นตอนที่เด็กหนุ่มผู้นี้เข้ามาชิงสมุนไพรไป เขาเลยได้แลกกระบวนท่ากับเด็กคนนี้พอดี
ตอนนั้นยังคิดว่าในเมื่อโจรขโมยดอกไม้ผู้นี้ทำตัวน่ารังเกียจนัก เขาก็ไม่จำเป็นต้องออมมือ ปล่อยให้เจ้าโจรผู้นี้ทรมานกับพิษเพลิงเยือกแข็งจนสิ้นใจไปเสีย ทว่าเจ้าเด็กนี่กลับไม่ตาย และยังมีชีวิตรอดกลับไปได้
ดังนั้นยามที่เห็นเด็กหนุ่มมายืนอยู่ที่นี่เขาจึงประหลาดใจนัก
ไป๋จือเยี่ยนสัมผัสถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของบุรุษที่ยืนด้านข้างได้ จากนั้นจึงเข้าใจในทันทีว่าที่เด็กหนุ่มพูดมาเป็นความจริง นอกจากความตกใจ ไป๋จือเยี่ยนยังรู้สึกดีใจอีกด้วย “หากเจ้าสามารถรักษานายท่านได้จริง พวกข้าคงติดค้างหนี้บุญคุณเจ้า ทว่าเจ้ามีความมั่นใจแค่ไหนว่าจะรักษาได้จริง?”
“ข้าไม่เคยออกปากในเรื่องที่ข้าทำไม่ได้”
นางมองท้องฟ้าแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น หากที่บ้านรู้ว่านางออกจากจวนอ๋องในเวลานี้ คงเกิดปัญหาใหญ่แน่
“ข้าจะหาโอกาสมาที่นี่อีก ละลายยานี่ในน้ำสะอาดให้เขาดื่ม ยานี่จะช่วยกดอาการได้ระยะหนึ่ง” นางวางขวดยาลวดลายประณีตขวดหนึ่งไว้บนโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นก็หันไปดึงแขนชิงเป่ยที่ยังยืนงงอยู่ให้เดินออกไปด้วยกัน
เหล่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ต่างพากันหลีกทางให้คนทั้งคู่โดยไม่รู้ตัว ไม่มีสตรีนางใดกล้าขวางทางทั้งสองคน
ไป๋จือเยี่ยนยืนมือออกมา ก่อนที่ขวดกระเบื้องจะลอยไปหามือเขา ไป๋จือเยี่ยนเปิดจุกยาออกก่อนดมกลิ่นเล็กน้อย นัยน์ตาดอกท้อฉายประกายประหลาดใจในทันที “เป็นไปได้อย่างไร…..”
“เป็นไปได้อย่างไร?” น้ำเสียงทุ้มน่าดึงดูดใจแหบพร่าเล็กน้อย ทว่าเต็มไปด้วยเสน่ห์และความสง่างามเฉกเช่นเดียวกับนัยน์ตาสีม่วงลึกลับคู่นั้นเอ่ยขึ้น
ไป๋จือเยี่ยนส่ายหัว ไม่ซ่อนความประหลาดใจบนใบหน้าแม้แต่น้อย “บนแผ่นดินระดับต่ำเช่นนี้ จะมีผู้มีฝีมือด้านการปรุงยาเช่นนี้ได้อย่างไร? แถมยังอายุน้อยเช่นนั้นอีก ขนาดข้ายังไม่มั่นใจเลยว่าจะสามารถปรุงยาเช่นนี้ออกมาได้”
ไป๋จือเยี่ยนมาจากตระกูลสูงส่งที่มีอิทธิพลมาก ได้รับการสั่งสอนจากตระกูลเซียนแพทย์ และยังเป็นศิษย์ที่มีความสามารถที่สุดของรุ่นในตระกูลเซียนแพทย์อีก หากเป็นเรื่องการแพทย์หรือหยูกยา ไม่มีใครมีความสามารถมากไปกว่าเขา กระทั่งอาจารย์ที่เขาเคารพยิ่งยังเอาแต่เอ่ยชมเขาไม่หยุด
ทว่าตอนนี้เขากลับยอมรับว่าฝีมือของตนไม่อาจเทียบได้เท่ากับของเด็กคนนั้น ดูท่าเด็กนั่นจะมาจากตระกูลที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน อย่างน้อยก็คงไม่ได้มาจากตระกูลต่ำต้อย ในดินแดนระดับต่ำเช่นนี้แน่
หากแต่ตอนนี้เขากลับไม่โกรธเคืองเรื่องที่มีเด็กคนหนึ่งมีฝีมือเหนือกว่าตน กลับคลี่ยิ้มจริงใจออกมา “จวินเหยา ข้าว่าเด็กคนนี้ต้องสามารถรักษาอาการที่ทรมานเจ้ามาหลายปีได้แน่ ดูท่าดินแดนระดับต่ำเช่นนี้ก็ยังมีพยัคฆ์ซุ่มซ่อนมังกรเร้นกายอยู่ เจ้าเด็กนั่นมีระดับการบำเพ็ญเพียรไม่น้อย ทั้งยังมีวิชาแพทย์ หากสามารถดึงเขามาอยู่ฝั่งเราได้ต่อไปต้องมีประโยชน์กับเจ้าแน่!”
โหลวจวินเหยาหรี่ตาลงก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “เจ้าเด็กนี่หัวแข็งนัก เราอาจดึงตัวเขามาไม่ได้”
“หากเขาปฏิเสธและกลายเป็นศัตรูของเราในภายภาคหน้าคงจะเป็นปัญหาใหญ่” นัยน์ตาไป๋จือเยี่ยนส่องประกายเยือกเย็น “ก่อนจะเกิดเรื่องเช่นนั้น ข้าจะจัดการเขาเอง”
——————–
ที่อีกด้านหนึ่ง เยี่ยนซู่กับเยี่ยนซีเฉิงถูกเรียกตัวเข้าวัง ก่อนที่ทั้งคู่จะก้าวเท้าเข้าท้องพระโรงก็พบกับบุรุษในชุดสีทองแห่งวังมังกรผู้หนึ่ง ที่ชุดปักลายมังกรแยกเขี้ยวสี่กรงเล็บ รูปร่างผอมสูง ใบหน้าอ่อนโยนหล่อเหลายิ่งนัก คิ้วคมเข้มเต็มไปด้วยสติปัญญาแฝงอยู่
เขาคือองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบัน ซวนหยวนเช่อ พระโอรสองค์โตของฮ่องเต้ และยังเป็นโอรสที่องค์ฮ่องเต้โปรดปรานเป็นที่สุด
“ข้าน้อยคาราวะองค์รัชทายาท” ทั้งบิดาและบุตรชายตระกูลเยี่ยนหยุดฝีเท้าลงและหันมาโค้งทำความเคารพคนตรงหน้า ทว่ากลับถูกพยุงขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธีการ หย่งอันอ๋องและแม่ทัพเยี่ยนรีบเข้าไปเถิด ท่านพ่อรอพวกท่านอยู่ด้านใน” ซวนหยวนเช่อเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจึงหมุนตัวเดินจากไป
ซวนหยวนเช่อมักปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยกิริยามารยาทอันนุ่มนวล ทว่าท่าทางเหล่านั้นเป็นเพียงภาพลวง แท้จริงแล้วเขาเป็นผู้ที่ไม่สนสิ่งใด ภายนอกดูน่าหลงใหลแต่ภายในกลับเยือกเย็น เป็นผู้ที่มีความคิดลึกล้ำไม่อาจล่วงรู้ได้ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้แห่งอาณาจักรชิงหลานชื่นชอบในตัวเขามากที่สุด
หย่งอันอ๋องไม่มีเวลาให้คิดสิ่งใดมาก ได้แต่รีบเร่งฝีเท้าก้าวเข้าไปในท้องพระโรงโดยเร็ว
โอรสสวรรค์ที่นั่งอยู่เบื้องบนมีอายุราวสี่สิบปี ใบหน้ายังคงดูอ่อนวัยและหล่อเหลานัก เขานั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สีหน้าคร่ำเคร่งยามเมื่ออ่านฎีการ้องเรียนที่ถูกส่งมาในวัง
“ข้าน้อย ขอถวายบังคมฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้แห่งชิงหลานจึงพลันได้สติก่อนจะนวดขมับตนเบา ๆ “ขุนนางของข้า พวกท่านลุกขึ้นเถิด!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เยี่ยนซู่ลุกขึ้นก่อนเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้าง “ฝ่าบาทเรียกตัวข้าเร่งด่วนเช่นนี้ หรือจะมีเรื่องใหญ่อันใดเกิดขึ้นหรือ?”
ฮ่องเต้ชิงหลานถอนหายใจ ยื่นคำร้องที่อ่านอยู่เมื่อครู่ให้ข้ารับใช้ด้านข้าง เขารีบนำฎีการ้องเรียนส่งให้เยี่ยนซู่ทันที
เยี่ยนซู่เปิดคำร้องออกอ่าน เขาเป็นผู้ที่ไม่เผยอารมณ์ใดออกมามากนัก ทว่าเมื่อได้อ่านเนื้อความภายในฎีการ้องเรียนนั้น เขากลับอดแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาไม่ได้ “นี่มัน…..”
“หลายปีมานี้ อาณาจักรชิงหลานสามารถอยู่เหนืออีกสามแคว้นได้เป็นเพราะฮ่องเต้แคว้นหลินยวนร่างกายอ่อนแอเปราะบาง และยังเป็นเพราะโรคเก่าของชางไห่อ๋องก็อาการกำเริบจนไม่ได้สติมาอย่างยาวนาน ทว่าตอนนี้สุขภาพของฮ่องเต้แคว้นหลินกลับดีขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ ข้ายังได้รับรายงานจากสายลับอีกว่าชางไห่อ๋องได้สติแล้วเมื่อวานนี้”
บุรุษผู้ที่ตกลงสู่ห้วงนิทรายาวนานถึงเจ็ดปี ผู้คนต่างคิดว่าเขาจะไม่มีทางฟื้นขึ้นอีกแล้ว จะมีผู้ใดคาดคิดว่าเขากลับตื่นขึ้นมาได้!
เช่นนี้หมายถึงชิงหลานจะต้องพบกับหายนะ ประชาชนต้องตกทุกข์ได้ยากอีกครา
เพียงแค่คิดเรื่องนี้ ฮ่องเต้ชิงหลานก็ถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นๆออกมา ความน่าสะพรึงกลัวของชางไห่อ๋องผู้นั้น ความโหดเหี้ยมอันเลื่องชื่อที่ดังไกลไปถึงสามแคว้นของเขา บุรุษผู้หลงใหลสงครามราวกับเป็นเครื่องจักรสังหาร บุรุษผู้ไร้ความปรานีให้ผู้ใด ชื่อเสียงโด่งดังนี้สร้างความประหวั่นในใจคนทั้งใต้หล้า ไม่ว่าเขาจะเหยียบย่างไปทางใดผู้คนต่างหลีกหนี ไม่มีผู้ใดกล้ายุ่งเกี่ยว เป็นเพราะบุรุษผู้นี้ที่ทำให้แคว้นหลินยวนเป็นแคว้นที่ทรงอำนาจที่สุดในสามแคว้น
“ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นกังวลไป แคว้นหลินยวนยังไม่ได้ประกาศสงคราม สัญญาความสงบสิบปีที่ทำไว้เมื่อครานั้นยังไม่สิ้นอายุ ฉะนั้นถึงชางไห่อ๋องจะมีชื่อเสียงเช่นไรก็มิอาจกระทำการอุกอาจ” เยี่ยนซู่พูดปลอบเสียงเบาเมื่อเห็นว่าบนใบหน้าฮ่องเต้ชิงหลานเต็มไปด้วยความกังวลใจ
“ไม่มีเรื่องใดที่อ๋องของเราไม่รู้เลยจริง ๆ เราไม่ได้กังวลใจเรื่องนั้น ทว่าแคว้นหลินยวนส่งสาสน์มาเมื่อสักหลายวันก่อนว่าพวกเขาต้องการส่งองค์หญิงมาเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ ในตอนนั้นยังไม่มีรายชื่อผู้ที่จะมากับองค์หญิง ทว่าเมื่อดูสถานการณ์ในตอนนี้ ชางไห่อ๋องผู้นี้คงจะเป็นผู้ที่มาเยือนเป็นแน่” เมื่อคิดได้ดังนั้นในใจจึงไม่อาจสงบลงได้อีก