สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 63 เจ้าโหดร้ายนัก
ที่นอกประตูจวน ชิงอวี่นวดหว่างคิ้วอย่างหมดหนทาง เอนร่างพิงกับต้นไม้ “เสียงดังเช่นนี้ ข้าว่าไม่ต้องแอบดูแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ อีกต่อไปแล้วกระมัง เสียงกรีดร้องเมื่อครู่คงเรียกแขกทุกคนออกมาหมดแล้ว”
อาจเป็นเพราะแสงอาทิตย์ที่ส่องอาบบนร่างนางให้ความรู้สึกสบายตายิ่ง อีกทั้งนัยน์ตาหงส์ที่หรี่ลงเล็กน้อยอย่างเกียจคร้าน มือข้างหนึ่งอยู่หลังศีรษะ เป็นภาพตัดกับเด็กสาวในชุดกระโปรงสีชมพู ดูสวยงามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด
ภาพฉากนี้ดูคุ้นตายิ่งนัก
ครั้งหนึ่งในอดีต นางเคยมองใครบางคนด้วยความสนใจยิ่ง ภาพของนางกลายเป็นภาพงดงามในสายตาของคนผู้หนึ่ง
“พี่เยี่ยหลี…..”
สีหน้าของเยว่ซินเหยียนดูตกตะลึงเมื่อมองไปยังบุรุษในชุดคลุมดำที่ร่างยังคงแผ่กลิ่นอายเย็นชาแม้แสงอาทิตย์จะสาดส่องเต็มที่ เขาค่อย ๆ เดินออกไปด้านนอกช้า ๆ ท่าทางที่เปลี่ยนไปกะทันหันของเขาทำให้ทุกคนตกตะลึง
ใบหน้าไร้อารมณ์ของชิงอวี่พลันเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น นัยน์ตาหงส์เป็นประกายแวววาบยามหันไปมองยังทิศทางหนึ่ง ร่างกายเคร่งเครียดขึ้นด้วยความระมัดระวังยามต้องเผชิญหน้ากับภัยที่กำลังใกล้เข้ามา
อสูรยักษ์ท่าทางดุร้ายตัวหนึ่งกำลังเคลื่อนที่เข้ามาด้วยความรวดเร็วพร้อมกับอ้าปากกว้าง มันพุ่งตรงเข้ามายังทิศทางที่ร่างเล็กสีขาวยืนอยู่ ความเร็วของมันราวกับจะฉีกกระชากทุกสิ่งอย่างที่มันก้าวผ่าน
“ไม่นะ!”
ไม่รู้ว่ามีเสียงร้องดังขึ้นจากผู้ใด หากแต่ก่อนจะได้ตะโกนจบคำน้ำเสียงกลับแหบแห้งจนขาดหายไปกลางคัน
เวลาทำท่าจะหยุดลงในพริบตา
ก่อนจะมีใครทันตกใจกับเหตุการณ์กะทันหันนี้ ก็ต้องเห็นแม่นางน้อยผู้งดงามต้องสิ้นชีพลงอย่างโหดร้ายเสียแล้ว
อสูรยักษ์โฉบลงมาตรงหน้านาง นัยน์ตาใหญ่เท่าระฆังสำริดฉายแววดุร้าย พริบตาต่อมามันก็เงยหน้าขึ้นคำรามลั่นขึ้นฟ้า เป็นเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ทั้งยังแฝงไปด้วยแววดีใจจากการกลับมาพบกันหลังเวลาผ่านไปอย่างยาวนาน นัยน์ตาอสูรยักษ์มีน้ำตาไหลรินออกมา
เหตุการณ์ผันเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงl!
ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กสาวที่ควรจะถูกอสูรยักษ์เขมือบลงท้องกลับยังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างไร้รอยขีดข่วน
เยี่ยนซีโหรวตกใจเป็นลมตั้งแต่ตอนที่เห็นอสูรยักษ์ปรากฏตัวขึ้น
ทว่าเด็กสาวในชุดขาวอยู่ห่างจากอสูรยักษ์เพียงครึ่งก้าว สีหน้านางไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย หากแต่นัยน์ตาหงส์ฉายแววสับสน
เมื่ออยู่ต่อหน้าเงาร่างที่คุ้นเคยเช่นนี้ กระทั่งเด็กหนุ่มผมทองในร่างนางยังสามารถสัมผัสได้ เขาทั้งตกตะลึงและไม่อาจสงบจิตใจตนลงได้ “นี่….. อสูรตาหยกข้ามสูญงั้นหรือ?!”
เจ้าอสูรยักษ์หน้าตาดุร้ายมีท่าทางเชื่องราวกับลูกแมวเรียบร้อย มันนั่งลงนิ่ง นัยน์ตาอสูรส่องประกายจ้องเด็กสาวตรงหน้าอย่างมีความสุข ในจิตใจดีใจเป็นล้นพ้น
“เรื่องเช่นนี้….. เหลือเชื่อเกินไปแล้ว”
หลังจากผ่านเหตุการณ์ขวัญผวาเมื่อครู่ไป เยว่ซินเหยียนก็มีสีหน้าตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
สัตว์อสูรดุร้ายตนนี้เป็นสัตว์ส่วนตัวของพี่เยี่ยหลี ว่ากันว่าเป็นอสูรโบราณศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถกลืนฟ้าบดบังตะวัน เป็นอสูรที่มีพลังมหาศาล มันเกลียดการเข้าใกล้คนผู้อื่นที่ไม่ใช่เจ้านายของมัน ทั้งมันจะยิ่งดุร้ายยามเข้าใกล้มนุษย์ หลายปีที่ผ่านมานางเคยเห็นมันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ไม่เคยเข้าใกล้มันมาก่อน อีกทั้งปกติหากเจ้านายไม่ได้เรียกออกมา มันก็จะไม่ออกมาด้วย
ทว่าตอนนี้มันกลับเปิดมิติออกมาเอง ทำท่าสนิทสนมเป็นมิตรกับเด็กสาวผู้นั้นราวกับเป็นคู่หู
เด็กสาวผู้นี้คือใครกัน?
ชิงอวี่ยื่นหน้าเข้าไปมองเล็กน้อย ยกมือลูบหัวอสูรยักษ์แผ่วเบา ร่างแข็งเกร็งของมันผ่อนคลายลงยามได้รับการลูบที่อ่อนโยนจากนาง เสียงครางด้วยความรู้สึกผ่อนคลายของอสูรดังแผ่วออกจากปาก
“มันยังชอบเจ้าที่สุดเหมือนเดิม”
ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือตอนนี้ แม้ร่างกายนางจะไม่เหมือนเดิม หากแต่วิญญาณอันไม่เหมือนใครของนางยังคงไม่อาจถูกลบล้างไป
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ชิงอวี่ก็ชะงักไป นางลุกขึ้นยืน นัยน์ตาหงส์ทะมึนลงเล็กน้อย “ท่าน….. เป็นใครกันแน่?”
สารที่อยู่ในท่อนไม้ไผ่เมื่อก่อนหน้าบอกให้นางระวังบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้านางผู้นี้
บอกว่าคืนนั้นในเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญ ตอนที่นางสู้อยู่กับราชาปีศาจ คนผู้นี้อยู่นอกหอคอยกั้นวิญญาณ
เขามีจุดประสงค์ใดกันแน่?
แล้วเหตุใดอสูรตาหยกข้ามสูญถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
เรื่องราวทั้งหมดถูกเปิดเผย คำตอบชี้ชัดขึ้นมาแล้ว หากแต่นาง….. กลับไม่อาจทำใจเชื่อได้
ชิงเยี่ยหลียกมุมปากขึ้นเล็น้อยจนแทบมองไม่เห็น ยามมองใบหน้าเด็กสาวที่เขาไม่รู้จักตรงหน้า หากแต่นัยน์ตาคู่นั้นเขารู้จักมันเป็นอย่างดี ทั้งท่าทางและสายตาที่มองมาของนางนั้นช่างเหมือนกับนางในความทรงจำของเขานัก
นางยังคงมีชีวิตอยู่และมีความสุขดี นางกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ ช่างดีเหลือเกิน!
ในสายตาคนอื่น ภาพฉากนี้น่าตกตะลึงยิ่งนัก
“ข้าตาฝาดไปหรือไม่? ชางไห่อ๋องพูดคุยกับสตรีงั้นหรือ?” ไป๋หลี่จีหรานมุมปากกระตุก ในใจคิดว่าตนคงเห็นภาพหลอนเป็นแน่!
เยว่ซินเหยียนอาจเป็นผู้ที่เข้าใจชิงเยี่ยหลีมากที่สุด ณ ตรงนั้น นางรู้ว่าบุรุษเย็นชาไร้อารมณ์ ทั้งยังไม่ค่อยพูดจาผู้นี้ ไม่มีทางทำเรื่องแปลกเช่นนั้นอย่างไร้เหตุผล
ส่วนเหตุผล….. นางพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นัยน์ตาสีน้ำเงินเบิกกว้างในขณะที่มองภาพฉากนั้น “แม่นางคนนี้ดูคล้ายกับสตรีในภาพวาดมาก!”
แม้นางจะเคยเห็นม้วนภาพนั้นเพียงครั้งเดียว ทั้งยังมองแล้วไม่ได้คิดสิ่งใดนัก หากแต่ชุดแปลกประหลาดที่นางสวมใส่ ทั้งยังมัดผมขึ้นสูง รวมถึงกลิ่นอายพิเศษที่นางแผ่ออกจากร่าง ช่างคล้ายคลึงกับแม่นางตรงหน้านัก!
หลังจากเยว่ซินเหยียนเอ่ยเช่นนั้นออกไป ไป๋หลี่จีหรานเองก็นัยน์ตาพลันเป็นประกาย “จริงด้วย เหมือนมาก”
ตามหามานานจนถึงตอนนี้ กล่าวได้ว่าแม่นางตรงหน้าเป็นผู้ที่คล้ายคลึงกับสตรีในม้วนภาพนั้นมากที่สุดแล้ว
ตั้งแต่ที่ชิงเยี่ยหลีเดินออกไป สีหน้าของเยี่ยนหนิงลั่วก็เปลี่ยนแปลงไป เยี่ยนชิงอวี่รู้จักชิงเยี่ยหลีได้อย่างไร? อีกทั้งคนทั้งคู่ยังดูสนิทสนมกันมาก…..
หรือจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นในระหว่างเวลาหลายปีที่นางบำเพ็ญเพียรอยู่ในสำนักละอองหมอก?
ไม่ เป็นไปไม่ได้
เด็กสาวที่ทั้งขี้อายและอ่อนแอ เพียงหน้าตารูปโฉมงดงามหน่อยไม่มีทางทำให้ชิงเยี่ยหลีชายตามองได้เป็นแน่!
นางไม่ยอมให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด
แต่….. เยี่ยนหนิงลั่วกำมือแน่น นัยน์ตางานพลันหม่นแสง เด็กสาวผู้นี้ดูไม่เหมือนเดิม
“ท่านเป็นใคร….. กันแน่?” ชิงอวี่เดินถอยหลังโดยสัญชาตญาณ ตามองบุรุษตรงหน้านิ่ง ภายใต้หน้ากากหมาป่าอันดุดันคือนัยน์ตาสีเขียวเข้มดูน่ากลัวราวกับนัยน์ตาอสูร
“เคยมีคนบอกกับข้าว่า ตัว ‘หลี’ ในชื่อข้าไม่ได้หมายถึงการแยกจาก แต่เป็นการกลับมาพบกันหลังจากเวลาผ่านพ้นไปนานแล้ว” ชิงเยี่ยหลีเผยอริมฝีปากออกพูดเสียงเบา มือเรียวค่อย ๆ ยกขึ้นมาจับหน้ากากบนหน้า จากนั้นดึงมันออก
จากสายตาคนรอบข้าง ไม่อาจเห็นได้ว่าเขากำลังทำสิ่งใด หากแต่มองเห็นว่าเขากำลังถอดหน้ากากตนออก!
ข่าวลือมากมายเกี่ยวกับชางไห่อ๋องถูกเล่าลือกันทั่วแคว้น ทำให้บุรุษผู้นี้ราวกับเทพเซียนผู้หนึ่ง บ้างว่าเขามีหน้าตาอัปลักษณ์ดุร้ายดั่งปีศาจ บ้างว่าหน้าตางดงามราวเทพเซียน หากแต่ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขามาก่อน หากแต่ในวันนี้เขากลับยอมเผยใบหน้าที่ไม่เคยมีผู้ใดได้เห็นให้เด็กสาวผู้หนึ่งที่เขาไม่รู้จัก
ภายใต้หน้ากากคือใบหน้าที่มีผิวขาวจนแทบโปร่งแสง
เมื่อไร้หน้ากากปิดบังใบหน้า นัยน์ตาสีเขียวคู่งามก็ยิ่งดูดุดันลึกล้ำยิ่งขึ้น บนใบหน้างามที่ดูซีดไปสักหน่อยและริมฝีปากแดงดั่งโลหิตที่ราวกับดื่มเลือดสดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนจนมีสีแดงสดน่าตกใจ
ก่อนที่เขาจะย้ายมาเข้าร่างนี้ ชิงเยี่ยหลีคือเด็กหนุ่มท่าทางสดใสสะอาดสะอ้านหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง ในขณะที่ตอนนี้นัยน์ตาของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวและผมเปลี่ยนเป็นสีเงิน ทั้งยังสวมหน้ากากหมาป่าแยกเขี้ยวไว้ หน้าตาสะอาดสะอ้านของเขาจึงถูกฝังกลบไว้ภายใน ถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจชั่วร้าย
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?” ชิงอวี่เบิกตากว้าง ไม่อยากเชื่อว่าชายหนุ่มตรงหน้าคือเด็กหนุ่มที่นางเคยรู้จัก
ชิงเยี่ยหลีไม่เห็นความตื่นตระหนกในนัยน์ตานาง ยกนิ้วเรียวขึ้นแตะใบหน้านาง “เจ้าโหดร้ายนัก….. เอ่ยคำเหล่านั้นออกมาแล้วจากข้าไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น….. เจ้าบอกกับข้าไว้แท้ ๆ ว่าเจ้าจะไม่มีวันทอดทิ้งข้า…..”
น้ำเสียงแผ่วเบาที่ราวกับพึมพำกับตนเอง และท่าทางที่เขาสัมผัสแก้มของเด็กสาวอย่างแผ่วเบาควรจะเป็นภาพที่งดงามนัก หากแต่ไร้ความอบอุ่นแม้แต่นิด นิ้วเรียวยาวของเขากำรอบคอเด็กสาวในพลัน ราวกับต้องการช่วงชิงเอาชีวิตของร่างบางตรงหน้าด้วยกำมือนี้
“โว้ว เจ้าหมอนั่นเสียสติไปแล้วหรือ!? นางไม่ใช่คนที่เขาตามหามานานหรือไร? พรากจากกันตั้งนานเพิ่งจะได้พบหน้าก็จะสังหารนางแล้วงั้นหรือ!?” ไป๋หลี่จีหรานใจเต้นแรงทั้งยังรู้สึกหวาดกลัวจนขนหัวลุก ใบหน้าที่หล่อเหลาอยู่ตลอดพลันบิดเบี้ยว
กล้าลงมือกับเด็กสาวที่งดงามเช่นนั้นเลยหรือ!?
“พี่เยี่ยหลีไม่ทำเช่นนั้นหรอก” เยว่ซินเหยียนเอ่ยขึ้นพร้อมขมวดคิ้ว แม้นางจะรู้จักเขาว่าเป็นคนที่เย็นชาไร้อารมณ์ หากแต่เขาไม่ได้โหดร้ายทารุณอย่างในคำร่ำลือ อย่างน้อยนางก็รู้วาเขาไม่สังหารคนโดยไร้เหตุผลแน่
อีกทั้งเด็กสาวผู้นี้ยังอาจเป็นสตรีที่เขาตามหามาแสนนานอีกด้วย
คนหลายคนกังวลกับสถานการณ์เบื้องหน้านัก หากแต่ไม่อาจทำอะไรได้ ตอนที่ชิงเยี่ยหลีเดินออกไป ก็ได้สร้างค่ายกลกั้นคนอื่น ๆ ออกไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงเฝ้ามองอย่างกระวนกกระวายใจยิ่งนัก
เยี่ยนหนิงลั่วยืนฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่นิ่ง หลังจากนั้นจึงเริ่มเข้าใจเรื่องราวตรงหน้า
ผู้ที่ชิงเยี่ยหลีต้องการตามหาคือสตรีผู้หนึ่ง และสตรีผู้นั้นหน้าตาเหมือนเยี่ยนชิงอวี่
เช่นนั้น….. เช่นนั้นแล้ว สตรีผู้นั้นมีความหมายอันใดต่อเขา?
หากแต่ไม่ว่านางจะเป็นผู้ใด แม้จะเป็นเพียงตัวแทน หากแต่คนผู้นั้นไม่มีทางเป็นเยี่ยนชิงอวี่ไปได้!
ในอดีต ผู้เป็นมารดาก็ได้แย่งความรักจากท่านพ่อไปหมดแล้ว ตอนนี้นางยังต้องต่อสู้แย่งชิงบุรุษที่นางหลงรักมานานกับลูกสาวของนางอีกหรือ?
หากเป็นเช่นนี้…..
ก็อย่าโทษนางที่ไม่คิดถึงสายสัมพันธ์ในตระกูลเถอะ
จุดตายของนางตกอยู่ในกำมือของคนผู้หนึ่ง แต่ชิงอวี่ไม่ตื่นตกใจแม้แต่น้อย นางรู้จักบุรุษตรงหน้านางดีกว่าใครอื่น ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ เขาเป็นคนที่ยอมเจ็บเองยังดีกว่าให้นางเจ็บเพียงนิด
ภายในดวงตาสีเขียวลึกล้ำมีเพียงความเจ็บปวด ยามเมื่อสัมผัสถึงชีพจรชีวิตที่ลำคอของนาง ชิงเยี่ยหลีไม่อาจสงบใจลงได้ แต่กลับรู้สึกถึงความโกรธที่พลุ่งพล่าน “จนถึงวันนี้ภาพที่เจ้านอนจมกองเลือดยังคงติดตาข้า เจ้านอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ในอ้อมกอดข้า….. ข้าเป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่งที่เจ้าเก็บได้ ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจว่าหากจากไปข้าจะเป็นอย่างไร จะเจ็บปวดเหลือทนถึงเพียงไหนงั้นหรือ!”
เขาไม่ได้ส่งแรงบีบไปที่มือแม้แต่น้อย หากแต่มือที่กำอยู่รอบคอเด็กสาวกลับมีเส้นเลือดสีเขียวผุดขึ้น เขาพยายามกดอารมณ์ตนเองลง หากแต่บุรุษที่ไม่เคยเผยอารมณ์ใดบนใบหน้ากลับไม่อาจควบคุมตนเองได้ยามเผชิญหน้ากับเด็กสาวผู้นี้
ยามพบกันครั้งแรก นัยน์ตาคู่นั้นที่ไร้แววเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไปกลับสะท้อนภาพเพียงคนคนเดียวนับแต่นั้น ท่ามกลางเวลายาวนานที่ผ่านพ้นไปอย่างเหน็บหนาว มีเพียงการได้อยู่เคียงข้างนางที่ทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตตนมีความหมาย รู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างเป็นสถานที่ที่งดงามเหลือเกิน
เขาไม่อาจเข้าจิตใจซับซ้อนของมนุษย์ หากแต่มีจิตใจเรียบง่ายบริสุทธิ์นัก
เขาเริ่มชอบเด็กสาวผู้มีรอยยิ้มอบอุ่นตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ ยอมส่งมือให้นาง เต็มใจบอกลาจากสถานที่อยู่ตั้งแต่เยาว์ เป็นเพราะความรู้สึกชอบในตอนนั้นที่ทำให้เขาเลือกติดตามนางไปอย่างไม่ลังเล ยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้นาง รวมถึงชีวิตนี้ของเขา
หากแต่นางกลับเลือกที่จะจากเขาไปอย่างเงียบเชียบ ทอดทิ้งเขาไว้ในโลกอันแสนอ้างว้างและโดดเดี่ยว นับเป็นบทลงโทษที่หนักหนาที่สุดสำหรับเขา
ชิงอวี่หลับตาลง ไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป มือเขาสั่นเทานัก ทิ้งรอยแดงไว้บนลำคอขาวหลายรอย “ข้าขอโทษ เสี่ยวเยี่ย”
นางดูถูกความรู้สึกเจ็บปวดที่คนผู้นี้มีให้ การจากไปของตนมากเกินไป ทั้งยังประเมินความยึดติดของเขาต่อนางต่ำไปมาก