สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 64 โกรธเหมือนถูกสวมหมวกเขียว
บทที่ 64 โกรธเหมือนถูกสวมหมวกเขียว
เขาเกิดมาแตกต่างจากผู้อื่น เรื่องการเปลี่ยนร่างของเขาก็ขึ้นอยู่กับเวลาว่าจะช้าเร็วอย่างไรเท่านั้น
แต่หากไม่มีเหตุไม่คาดฝันนั้นเกิดขึ้น เขาก็อาจไม่เปลี่ยนร่างเลยก็เป็นได้ ความตายของนางเร่งทุกอย่างให้เร็วขึ้น ทำให้เขาเปลี่ยนร่างเร็วกว่ากำหนดนัก
ชิงอวี่ถอนหายใจยาวออกมา จับมือสั่นเทาที่กำรอบคอนางของเขาอย่างอ่อนโยน จากนั้นเอ่ยเสียงค่อย “เสี่ยวเยี่ย ข้าไม่ควรกลับคำพูด ชาติก่อนข้าติดพันอุปสรรคมากมายเกินไปจนไม่อาจเป็นอิสระได้ แต่โชคดีที่สวรรค์มอบโอกาสให้ข้าได้เลือกใหม่อีกครั้ง ข้ากับเจ้าอยู่ในโลกเดียวกัน และได้พบกัน”
ชิงเยี่ยหลีนัยน์ตาส่องประกาย ท่าทีเริ่มสงบลง พริบตาต่อมาใบหน้าก็ตื่นตะลึงยามเมื่อมือบางที่เย็นเหมือนกับเมื่อชาติก่อนกุมมือเขาไว้ ยกมือเขาขึ้นแตะแก้มนางไว้เช่นนั้น “เห็นหรือไม่? มันยังอุ่นอยู่ เจ้าเชื่อสายตาตนเองหรือยัง? ว่าข้ายังมีชีวิตอยู่”
นิ้วเขาสั่นสะท้าน นัยน์ตาทะมึนล้ำลึกไม่อาจอ่านออก ริมฝีปากแดงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “ข้า….. กอดเจ้าได้หรือไม่?”
ไม่พอ แค่นี้ยังไม่พอ เขาต้องการสัมผัสการมีอยู่ของนางให้แนบแน่นยิ่งกว่านี้
เมื่อชาติก่อนเขาไม่กล้าเข้าใกล้นาง หลายราตรีที่ผ่านพ้นไปทำได้เพียงมองนางยามหลับใหล ไม่ใช่เพราะไม่ใส่ใจ หากแต่กลัวว่าจะสูญเสียมันไป
หากเขาเป็นฝ่ายก้าวออกไปก่อน เรื่องบางอย่างอาจจะไม่หวนคืนดังเดิมก็ได้
ดังนั้นเขาจึงไม่เคยกอดนาง มีเพียงครั้งเดียว ตอนที่ร่างนางชุ่มโชกไปด้วยเลือด ตอนที่ลมหายใจสุดท้ายนางพลันขาดหายไปในอ้อมกอดเขาเท่านั้น
ในนัยน์ตาสีเขียวเข้มคู่นั้นมีความโหยหาและความกังวลเจืออยู่
ชิงอวี่เผยนัยน์ตายิ่งอ่อนโยน นางอ้าแขนทั้งสองข้างออกน้อย ๆ ชายหนุ่มตรงหน้าชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะดึงนางเข้ามากอดแนบแน่นราวกับต้องการผสานนางเข้ากับกระดูกตน
เจ้าอสูรยักษ์ที่อยู่ด้านข้างส่งสายตาสงสัยใคร่รู้มองคนทั้งสอง ทั้งว่านอนสอนง่ายและเชื่อฟังยิ่ง ไม่ขยับไปไหนแม้แต่นิด
กลายเป็นภาพงดงามประสานกันเหนือคำบรรยาย
ร่างสูงกำยำของชายหนุ่มในชุดคลุมดำโอบกอดร่างบางในชุดสีขาวบริสุทธิ์แน่น ผมสีเงินพันกับปอยผมดำเงางามของเด็กสาว ร่างของคนทั้งคู่ไม่อาจถูกแยกออกจากกันได้ แม้ไม่อาจเห็นใบหน้าของชายหนุ่ม หากแต่ร่างไร้อารมณ์และเย็นชาของเขากลับแผ่ความรู้สึกอ่อนโยนอ่อนไหวออกมา แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกลึกซึ้งที่มีต่อคนในอ้อมกอด
คนทั้งคู่เป็นคนสองคนที่ไม่เคยพบหน้ากัน หากแต่ยามเมื่อยืนเคียงกันเช่นนี้กลับดูเหมาะสมกันอย่างยิ่ง
“เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นพี่เยี่ยหลีเป็นเช่นนี้” เยว่ซินเหยียนเอ่ยขึ้นพร้อมถอนหายใจ
นางรู้จักเขามานานกว่าสิบปี ชายหนุ่มที่เย็นชาดั่งน้ำแข็ง นางไม่เคยจินตนาการว่าตนจะได้เห็นด้านที่อบอุ่นเช่นนี้ของเขา คนที่สามารถกอบกุมหัวใจบุรุษผู้นี้ไว้ได้ช่างโชคดีเสียจริง!
อวี้เซียวหนิงส่งเสียงจิ๊ปากก่อนเอ่ย “จอมปีศาจเช่นเขายังสามารถมีรักได้ สงสารแม่นางที่หลงมารักเขาเสียจริง”
เป็นแม่นางที่งดงามจริง ๆ แต่กลับหลงมาเข้าถ้ำหมาป่าเช่นนี้
เยี่ยนหนิงลั่วใบหน้าไร้อารมณ์ หากแต่กำมือจนเล็บจิกอุ้งมือแน่น “หากนางเป็นคนที่พวกท่านกำลังตามหา เกรงว่าชางไห่อ๋องคงจำนางผิดเสียแล้ว”
ได้ยินดังนั้นไป๋หลี่จีหรานและเยว่ซินเหยียนจึงหันมามองนางด้วยใบหน้าสงสัย
เยี่ยนหนิงลั่วยังคงรอยยิ้มมีมารยาทบนหน้า “เด็กคนนั้นเป็นสามัญชน เป็นลูกของนางบำเรอในจวนหย่งอันอ๋อง นางมีนิสัยขี้กลัวอ่อนแอนัก สิบปีที่ผ่านมาจึงไม่ออกจากจวนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เคยก้าวเท้ามาที่หน้าประตู เช่นนั้นแล้วนางจะเคยพบกับชางไห่อ๋องมาก่อนได้อย่างไร?”
“เป็นเช่นนั้นหรือ?” เยว่ซินเหยียนเอ่ยถาม เลิกคิ้วขึ้นสูง “แต่ที่ข้าเห็น เด็กสาวผู้นั้นทั้งไม่ขี้กลัวและอ่อนแอบอบบางแม้แต่น้อย เจ้าไม่เห็นตอนที่อสูรยักษ์นั่นปรากฏตัวหรือ? นางไม่ตื่นตกใจแม้แต่น้อย ผู้ที่มีสติสำรวมเช่นนี้จะเป็นคนขี้กลัวและอ่อนแอไปได้อย่างไร?”
“องค์หญิงเก้ามีเหตุผล” ไป๋หลี่จีหรานพยักหน้าเห็นด้วย “เด็กสาวผู้นั้นมีกลิ่นอายไม่ธรรมดา มองครั้งเดียวก็รู้ว่านางมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด”
กระทั่งอวี้เซียวหนิงยังมองหน้าเพื่อนสนิทตนด้วยความประหลาดใจ “หนิงเอ๋อร์ อย่างน้อยนางน่าจะนับได้ว่าเป็นน้องสาวเจ้าไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงเหมือนเจ้าไม่รู้จักนางดีเลยเล่า? ก่อนหน้านี้ที่ข้าไม่สบายก็เป็นนางที่ช่วยรักษาให้ กระทั่งพี่สามยังบอกว่านางมีวิชาแพทย์ล้ำลึกยิ่ง”
แล้วเจ้ายังบอกว่าเด็กสาวผู้นั้นไม่ออกไปข้างนอก แม้อวี้เซียวหนิงจะเคยเห็นเด็กสาวข้างนอกเพียงหนึ่งครั้ง หากแต่ดูท่าทางคุ้นเคยรู้ทิศรู้ทางของเด็กสาวแล้ว ดูท่านางคงจะออกมาหลายครั้งแล้วกระมัง
เยี่ยนหนิงลั่วมองภาพคนสองคนกอดกันแน่น นัยน์ตางามใสกระจ่างแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์ซับซ้อน ที่มุมปากพลันยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหนึ่ง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาทั้งแผ่วเบาและเชื่องช้า “ดูท่าเวลาหลายปีที่ข้าฝึกตนอยู่ที่สำนักละอองหมอก นางคงจะบังเอิญพบเรื่องมากมายนัก!”
ดูท่าที่นางกล่าวว่าตนได้พบปรมาจารย์เร้นกายคงจะจริงดั่งนางว่า
มิเช่นนั้นนางจะทำให้เขาสนใจได้อย่างไร
แต่หากเป็นนางจริงแล้วอย่างไร? สิ่งที่นางไม่อาจได้มา ไม่ว่าจะด้วยเล่ห์หรือด้วยกล….. อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นของเด็กนั่นไปได้!
เมื่อก่อนท่านแม่ก็พ่ายแพ้ให้มารดาของเด็กคนนั้นไปแล้ว ครั้งนี้นางต้องไม่แพ้!
คนผู้หนึ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็นคืออวี้จิงจั๋วที่เดิมทีตั้งใจจะมาพบหน้าแม่นางที่ตนชื่นชอบ หากแต่ยามที่ได้เห็นนางกอดกับชางไห่อ๋องราวกับคนพลัดพรากที่เพิ่งกลับมาเจอกันเช่นนี้ มันช่างสั่นสะท้านจิตใจเกินจะเอ่ย
สายตาทุกสายต่างจ้องมองไปยังภาพฉากนั้น สุดท้ายเขาจึงเดินออกจากจวนหย่งอันอ๋องไปอย่างเงียบเชียบ
ดูท่าเขาจะบำเพ็ญจิตบำเพ็ญร่างมานานเกินควรแล้ว ชีวิตเช่นนี้ไม่เหมาะกับเขาเอาเสียเลย ใช้ชีวิตแบบเมาไหนหลับนั่นยังดีเสียกว่า! ดื่มส่งให้กับดอกรักที่ถูกปลิดดอกทั้งที่ยังไม่ทันได้ผลิบาน
ในตอนนั้นเองที่ชิงเยี่ยหลีเริ่มรู้สึกมั่นคง แม้ว่าหลังจากปล่อยชิงอวี่ออกจากอ้อมกอดแล้วสายตาจะยังจดจ้องอยู่บนร่างนางไม่ไปไหนก็ตาม
ส่วนชิงอวี่ที่เดิมทีกำลังเดินทางไปเจอคนก็หมดความกังวลเมื่อรู้ตัวตนของชิงเยี่ยหลี ในเมื่อหมดกังวลแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องออกไปที่นั่นอีกต่อไป ดังนั้นนางจึงไม่คิดจะไปตามคำนัดหมาย
อึดใจต่อมา ร่างสีเทาก็ปลีกตัวออกจากที่นั่นไปโดยไม่มีใครเห็น
— หอเมฆาเคลื่อน —
“เจ้าว่าอย่างไรนะ? แม่นางรู้จักกับชางไห่อ๋อง?” ไป๋จือเยี่ยนถามด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเห็นว่านานแล้วชิงอวี่ยังไม่มา พวกเขาจึงส่งบุรุษชุดเทาออกไปตรวจสอบ
หลังจากชายชุดเทากลับมา อย่างแรกคือการดื่มน้ำแก้วใหญ่ก่อนกล่าว “ไม่เพียงรู้จักกันธรรมดา ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ยังไม่ธรรมดาเช่นกัน คนทั้งคู่ยังกอดกันกลมเสียนาน”
“หา!? กอดกันด้วยหรือ?? แล้วจวินเหยาเล่า!?” ไป๋จือเยี่ยนโพล่งขึ้นมาอย่างไม่ทันคิด ก่อนที่จะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
เหตุใดเขาจึงลากจวินเหยามาด้วย? หมอนั่นเพียงใส่ใจแม่นางน้อยนั่นนิดหน่อยเท่านั้น คงไม่ได้มีเรื่องพิเศษอันใด….. กระมัง?
ชายชุดเทาเห็นสีหน้าตกตะลึงบนหน้าไป๋จือเยี่ยนก็ตกใจ จากนั้นก็เลิกคิ้วส่งสายตาให้ไป๋จือเยี่ยน ทำท่าทางให้หันไปมองด้านหลัง
พริบตาต่อมาเมื่อหันหลังไปมอง ก็พบกับร่างลึกลับสูงส่งในชุดคลุมสีม่วงดูหรูหราดังคาด ดูท่าจะยืนหรี่นัยน์ตาสีม่วงฟังบทสนทนามานานแล้ว ไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าตัวกำลังคิดเรื่องอันใดอยู่ หากแต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาทำให้ไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยแม้แต่น้อย
ในที่สุดเขาก็เอ่ยถามขึ้น “คนผู้นั้น….. ชื่ออะไร?”
ชายชุดเทาชะงักไป เขาใส่ใจรายละเอียดยิบย่อยเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หากแต่ก็ยังตอบคำถามตามตรง “ชิงเยี่ยหลี” ทั้งยังไม่ลืมเพิ่มเติมรายละเอียด “ข้ายังได้ยินแม่นางน้อยเรียกเขาว่าเสี่ยวเยี่ย”
เป็นไปดังที่คิด กลิ่นอายที่ประหลาดไปเล็กน้อยพลันเปลี่ยนเป็นแรงกดดันมหาศาล ราวระเบียงชั้นสองเริ่มส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดในพลัน ไม่ทันไรก็พากันปริแตก แยกออกเป็นชิ้น ๆ และร่วงหล่นลงไปชั้นล่าง
ไป๋จือเยี่ยนกระโดดตัวลอยหลบไปไกล มองภาพข้าวของที่พังกระจายแล้วมุมปากกระตุกยิก ๆ
มารดาเจ้าสิ!
เขาเสียเงินจ้างคนมาทำราวพวกนั้นไปตั้งมากโข!!
พูดให้ไม่พอใจเพียงไม่กี่คำ เจ้านั่นกลับมาลงกับราวอันล้ำค่าของเขา! หมอนั่นคิดว่าเงินมันหาเก็บได้จากกลางถนนหรือไร!?
“ไปสืบเรื่องคนผู้นั้นมา”
โหลวจวินเหยาเอ่ยเช่นนั้น จากนั้นก็หายตัวไป มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าเขาไปหาใครระบายอารมณ์โกรธ
อย่างไรหากผู้ใดต้องคอยติดตามคนเจ้าอารมณ์เช่นเขา จิตใจย่อมไม่สงบสุข
“จุ ๆ” ชายชุดเทาส่ายหัวมองซากที่กระจายอยู่บนพื้น จากนั้นเอ่ยขึ้นเสียงล้อเลียน “เหตุใดนายท่านถึงยิ่งทำตัวราวกับเด็กคนหนึ่งเช่นนี้? ท่าทางเมื่อคู่ราวกับคนที่ได้ยินว่าถูกภรรยารักสวมหมวกเขียวให้ (1) จนไม่อาจหาที่ใดไประบายความโกรธ!”
“เอ่อ…..” ได้ยินดังนั้นไป๋จือเยี่ยนก็มองเขาตาค้าง ไม่อาจหาคำใดมาหักล้าง
ที่พูดมามันก็เหมาะสมอยู่…..
อีกด้านหนึ่ง ชิงเยี่ยหลีเรียกอสูรตาหยกข้ามสูญกลับเข้ามิติอสูร จากนั้นปลดค่ายกลที่ล้อมรอบไว้
ตอนนี้ทุกคนสามารถเข้าใกล้พวกเขาได้แล้ว เยว่ซินเหยียนเป็นคนแรกที่วิ่งเข้ามา “พี่เยี่ยหลี”
เมื่อได้เห็นเด็กสาวใกล้ ๆ เยว่ซินเหยียนก็พบว่านางรูปโฉมงดงามนัก เป็นความงามโดดเด่นสะดุดตา ทั้งยังเป็นความงามแบบดุดันที่ได้เห็นครั้งหนึ่งแล้วไม่อาจลืม เครื่องแต่งกายเรียบง่ายของนางกลับส่งให้ยิ่งดูอาจหาญ หากแต่ก็ยังดูต่างจากสตรีในม้วนภาพอยู่เล็กน้อย แม้ท่าทางงามสง่าจะเหมือนกัน หากแต่แม่นางตรงหน้ามีหน้าตางดงามกว่ามาก
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด แม้จะเพิ่งเจอกันเพียงครั้งแรกหากแต่เยว่ซินเหยียนกลับชอบนางนัก ดังนั้นนางจึงส่งยิ้มหวานก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าเยว่ซินเหยียน”
ชิงอวี่เห็นรอยยิ้มหวานแล้วชะงักไปเล็กน้อย องค์หญิงน้อยช่างมีรอยยิ้มหวานน่ายิ้มตาม เห็นแล้วทำให้คนอารมณ์ดีโดยแท้ ชิงอวี่ส่งยิ้มบางกลับไป “องค์หญิงเก้า ได้ยินชื่อเสียงท่านมานาน”
“เรียกข้าซินเหยียนเถอะ” เยว่ซินเหยียนขยิบตาให้ จากนั้นพูดต่อด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “ไม่คิดว่าการตื๊อดื้อดึงให้พี่เยี่ยหลีมาแคว้นชิงหลานกับข้าในครั้งนี้จะได้รับผลลัพธ์ไม่คาดฝัน มาครั้งนี้ไม่เสียเปล่าเลยจริง ๆ พี่เยี่ยหลีตามหาเจ้ามานาน เช่นนี้นับได้ว่าข้าช่วยได้มากเลยกระมัง?”
ชิงเยี่ยหลียกยิ้มที่มุมปากอย่างเห็นได้ยาก “เป็นเช่นนั้น”
“เช่นนั้นท่านจะให้รางวัลข้าหรือไม่?” องค์หญิงน้อยเอียงคอถามต่อ
“เจ้าอยากได้สิ่งใด?”
นัยน์ตาสีน้ำเงินหลักแหลมของเยว่ซินเหยียนพลันหันมามองชิงอวี่ “ไม่รู้ว่าพี่เยี่ยหลีจะทนให้แม่นางคนงามผู้นี้ประลองกับข้าสักนิดได้หรือไม่?”
ชิงเยี่ยหลีได้ยินเช่นนั้นก็มององค์หญิงน้อย “นิสัยเสียที่เจอใครก็ต้องขอประลองของเจ้าต้องแก้เสียที”
“เพราะเหตุใด? ท่านทนไม่ได้หรือ?” เยว่ซินเหยียนเบิกตากลมโต ทำทีเป็นตกใจอย่างล้อเลียน
“ไม่ใช่ แต่เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง” ชิงเยี่ยหลีเอ่ยเสียงเรียบ
เมื่อเห็นว่าใบหน้าองค์หญิงน้อยดูไม่เชื่ออย่างสุดใจ ชิงอวี่จึงหัวเราะออกมาเสียงเบา “องค์หญิงเก้า แต่ก่อนพี่เยี่ยหลีของท่านก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเช่นกัน”
เยว่ซินเหยียนได้ยินคำนางแล้วตกตะลึงไปในพลัน นางหันไปมองชิงเยี่ยหลี “จริงหรือ?” เขาพยักหน้ารับ
เพียงแค่นั้นนางจึงล้มเลิกความคิดในทันที หากพี่เยี่ยหลีที่มีพรสวรรค์มากเช่นนั้นยังไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของนาง เช่นนั้นแม่นางผู้นี้มีฝีมือสูงส่งขนาดไหนกัน?
ไป๋หลี่จีหรานและเยี่ยนหนิงลั่วเดินเข้ามาพร้อมกับคนอื่น ๆ เทียบกับสายตาสงสัยของไป๋หลี่จีหรานและอวี้เซียวหนิงแล้ว สายตาของเยี่ยนหนิงลั่วทั้งหม่นแสงและดำทะมึน
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่นางเผชิญหน้ากับเยี่ยนชิงอวี่ ที่ในอดีตเป็นเพียงคนไม่สำคัญคนหนึ่ง
เชิงอรรถ
สวมหมวกเขียว หรือ ถูกสวมเขา มีความหมายแฝงคือภรรยามีชู้