สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 66 การสนทนาลับ
ชิงเป่ยรู้สึกเย็นวาบทั่วร่าง ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ตำราแพทย์ในมือร่วงลงพื้นในพลัน “ ท….. ทำความเคารพชางไห่อ๋อง!”
“…..” ชิงอวี่เห็นเขาลุกขึ้นอย่างฉับพลันก็ตกใจ จากนั้นคลี่ยิ้มเฝื่อนออกมา เด็กคนนี้ตื่นเต้นมากจนพูดติดอ่าง เขาคงชื่นชมเสี่ยวเยี่ยมากเลยกระมัง!
ชิงเยี่ยหลีมองเด็กหนุ่มด้วยนัยน์ตาไร้อารมณ์ “ไม่ต้องมากพิธี”
ชิงเป่ยจึงกล้ายืดตัวตรง สีหน้าบนใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร่าร้อน
ชิงอวี่ยื่นแขนไปตบหลังเด็กหนุ่ม พูดพร้อมหัวเราะออกมา “เจ้าไม่ต้องประหม่า เขาเป็นสหายของข้า ต่อไปเจ้าคงได้พบเขาบ่อย ๆ”
“สหาย?” ชิงเป่ยมองหน้านางด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดจึงไม่เคยเห็นท่านกล่าวถึงเขามาก่อนเลยเล่า? เวลาข้าพูดถึงชางไห่อ๋อง ท่านก็มีท่าทางสงบอยู่ตลอด”
“เพราะตอนนั้นข้ายังจำเขาไม่ได้!” ชิงอวี่ตอบตาใส “เอาล่ะ เจ้าอ่านตำราของเจ้าต่อไป ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเสี่ยวเยี่ย”
ชิงเป่ยมองคนสองคนเดินเข้าเรือนไปด้วยสายตาสับสน ชั่วครู่หนึ่งถึงเพิ่งได้สติ
เมื่อครู่พี่สาวเขาเรียกชางไห่อ๋องว่าอย่างไรนะ?
ส….. เสี่ยวเยี่ย?!
ภายในห้อง เมื่อชิงอวี่เดินเข้าห้องมาก็รีบเปิดช่องลับใต้โต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะหยิบขวดกระเบื้องสีดำขวดเล็กออกมา
“นั่งลง”
ชิงเยี่ยหลีเชื่อฟังนาง นั่งลงมองเด็กสาวที่กำลังเดินเข้ามาทางเข้า นางถอดหน้ากากเขาออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นนัยน์ตาที่มองนางอย่างงุนงง นางดึงจุกขวดออก เทของเหลวใสด้านในออกมาใส่อุ้งมือ จากนั้นยื่นฝ่ามือเข้ามาแตะตรงรอยรูปหัวหมาป่าดูดุร้ายบนหน้าผากของเขา แตะอยู่นานจึงดึงมือกลับไป
“เจ้าทำอะไร?” ชิงเยี่ยหลีเชื่อใจนางเต็มเปี่ยม ไม่กังวลว่านางจะทำร้ายเขาแต่อย่างไร เขาเพียงสงสัยการกระทำของนางเท่านั้น
ชิงอวี่ไม่ตอบ หากแต่หยิบกระจกด้านข้างส่งให้เขา
ชิงเยี่ยหลีเงยหน้ามองกระจกก่อนจะพบว่าที่หน้าผากตนไร้ร่องรอยใด รอยรูปหัวหมาป่าหายไปจนสิ้น เขาลองแตะดูกลับไม่พบรอยที่นูนขึ้นมาเช่นเมื่อก่อน นัยน์ตาสีเขียวตกตะลึงไป “นี่…..”
“รอยนี่ห้ามใครเห็นเด็ดขาด เจ้าเกิดมาต่างจากมนุษย์คนอื่น ความกระหายเลือดของชนเผ่าหมาป่าไหลเวียนอยู่ในร่างเจ้า แต่เจ้ามีพรสวรรค์ ฉลาดเฉลียวและมีความสามารถกว่าคนอื่นนับร้อยเท่า ข้าไม่รู้ว่าสำหรับเจ้ามันเป็นพรสวรรค์หรือคำสาปกันแน่” ชิงอวี่ถอนหายใจเสียงเบา นัยน์ตาไร้อำนาจฉายแววซับซ้อน “หากไม่เป็นเพราะข้า เจ้าก็คงไม่ต้องเปลี่ยนร่างเช่นนี้…..”
“สำหรับข้า ข้าว่าเช่นนี้ดีแล้ว” ชิงเยี่ยหลีพูดขึ้น จับแขนนางไว้ นัยน์ตามองตรงไปยังนาง “อย่างน้อยข้าก็มีกำลังมากพอ ไม่ต้องเห็นเจ้าเกิดเรื่องต่อหน้าแล้วไม่อาจช่วยเหลือได้อีกต่อไป ที่ข้าต้องกลายร่างเป็นเช่นนี้ข้าไม่เคยเสียใจเลย เพราะในที่สุดข้าก็มีพลังมากพอจะปกป้องเจ้าได้”
“เสี่ยวเยี่ย…..” นัยน์ตาเด็กสาวพร่ามัวเล็กน้อยราวกับซึ้งใจ หากแต่ก็รู้สึกสงสารไปในเวลาเดียวกัน
คนผู้นี้เปลี่ยนไปมาก แต่ก่อนเป็นเพียงเด็กหนุ่มเงียบเชียบไม่พูดไม่จา ไม่ต้องกล่าวถึงการเอ่ยคำที่ทำให้ซาบซึ้งใจ กระทั่งเห็นเขาเปิดปากพูดยังยาก ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นางเห็นเขาพูดคำในใจออกมา
“ข้ามีเรื่องอยากบอกเจ้า” ชิงเยี่ยหลีหยุดไปชั่วครู่ก่อนค่อย ๆ เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“เรื่องอะไรหรือ?”
“ข้าคิดจะพาเจ้ากลับแคว้นหลินยวนไปกับข้า”
ชิงอวี่ชะงักไป หากแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธในทันที “เพราะเหตุใด?”
“แคว้นหลินยวนห่างไกลจากที่นี่เกินไป หากเจ้าเกิดอันตราย ข้าไม่อาจมาช่วยได้ทัน อีกทั้งหลายปีที่ผ่านมาข้าวาดหวังมาตลอดว่าเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ เมื่อพบเจ้าย่อมต้องอยากนำเจ้ากลับไปด้วยเป็นธรรมดา” ชิงเยี่ยหลีพูดเสียงจริงจัง
“ข้าจะพบเจออันตรายใดได้เล่า? เจ้าไม่เชื่อมั่นในตัวข้าหรือ?”
“เรื่องที่หอคอยกั้นวิญญาณเมื่อตอนนั้นก็อันตรายมากพอแล้ว” ชิงเยี่ยหลีทำท่าเหมือนนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ นัยน์ตาทะมึนลง “วันนั้นผู้ใดที่พาเจ้าออกไปจากที่นั่น?”
หากไม่ใช่เพราะในคืนนั้นมีคนสร้างปัญหา เขาก็คงจะได้กลับมาเจอกับชิงอวี่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาตามหาอีกหลายวัน
หากแต่คนผู้นั้นสามารถนำตัวนางออกไปทั้งที่เขาอยู่ตรงนั้นได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว คงจะมีวิทยายุทธ์สูงส่งไม่ใช่น้อย
แต่….. เสี่ยวอวี่รู้จักคนผู้นั้นได้อย่างไร?
หลังจากเขาเอ่ยถาม ชิงอวี่ก็พลันนึกถึงหญิงสาวผู้นั้นที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย “เจ้าเห็นสตรีหน้าตาอัปลักษณ์ในวันนั้นหรือไม่? ได้สังหารนางไปหรือเปล่า?”
“ไม่ นางระเบิดร่างตนเอง” ชิงเยี่ยหลีขมวดคิ้ว ไม่พอใจที่นางเปลี่ยนเรื่อง “เจ้ายังไม่ตอบข้า ใครเป็นคนพาตัวเจ้าไป?”
ชิงอวี่ไม่รู้จะตอบเช่นไร “คนไม่สำคัญ อย่างไรข้าก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาอีกต่อไป เหตุใดเจ้าจึงอยากรู้นัก?”
“อีกฝ่ายเป็นมิตรหรือศัตรู? หากเป็นศัตรู ภายหน้าต้องเป็นตัวต้นเหตุก่อปัญหาแน่” น้ำเสียงสงบนิ่งของชายหนุ่มและนัยน์ตาที่หรี่ลงดูอันตรายของเขา ราวกับกำลังสื่อว่าหากนางบอกว่าเป็นศัตรู เขาก็พร้อมจะขุดรากถอนโคนอีกฝ่ายให้สิ้น
“เจ้าอย่าคิดมาก ข้าเคยช่วยชีวิตคนผู้นั้นไว้ นับได้ว่าเป็นผู้มีพระคุณ ดังนั้นตอนนี้นับว่าสองฝ่ายไร้สิ่งติดค้างกันอีก อีกฝ่ายเป็นคนจากกลุ่มอำนาจในแดนเมฆาสวรรค์ ข้าไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับพวกเขา ครั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาที่นำปัญหามาให้ข้า ดังนั้นจึงส่งคนมาช่วยเหลือ จากนี้ต่อไปข้าจะรักษาระยะห่างจากพวกเขา”
“เจ้าทำตัวไม่โดดเด่นกว่าเดิมนัก” ชิงเยี่ยหลีได้ยินคำนางแล้วก็ประหลาดใจ แต่ก่อนนางทั้งหยิ่งผยองและดื้อรั้นนัก ไม่มีทางอยู่อย่างเงียบ ๆ เช่นนี้
ชิงอวี่บิดมุมปากตน เอ่ยขึ้นอย่างดูถูกตนเอง “เกิดใหม่ชาตินี้ข้าย่อมรักตัวกลัวตายมากกว่าเก่า อย่างไรข้าก็ไม่คิดว่าตนเองจะเกิดใหม่ได้อีกครั้งแล้ว”
บรรยากาศพลันหนักหน่วง ชิงอวี่ไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อจึงถามเรื่องอื่นขึ้น “แล้วเจ้ามาที่โลกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วกลายเป็นชางไห่อ๋องของแคว้นหลินยวนงั้นหรือ?”
ชิงเยี่ยหลีได้ยินดังนั้นนัยน์ตาก็ทะมึนลง เอ่ยตอบเสียงแผ่วต่ำ “วันที่เจ้าตาย ชิงเทียนหลินโกรธเกรี้ยวหนักกว่าเก่าเมื่อรู้เรื่อง ไม่ยอมปล่อยกระทั่งร่างไร้วิญญาณของเจ้า ต้องการใช้ร่างเจ้ามากลั่นพลังบำเพ็ญเพียร หลังจากข้าปะทะกับคนของเขา ร่างกายข้าก็เปลี่ยนแปลงไป จากนั้นข้าก็….. สูญเสียสติไปสิ้น สังหารคนทั้งตระกูล สติข้าพร่ามัวไปหมด ยามเมื่อตื่นขึ้นอีกครั้งก็มาอยู่ที่แคว้นหลินยวนแล้ว เป็นฮ่องเต้หลินยวนที่ช่วยชีวิตข้าไว้ตอนที่ข้าหมดสติอยู่ในมหาสมุทร”
ชิงเทียนหลินคือพี่ของชิงอวี่ที่เกิดจากมารดาคนละคน
แม้จะไม่ได้มีมารดาคนเดียวกัน หากแต่ในตระกูลชิงอันใหญ่โตแห่งนี้ มีตระกูลสาขาย่อยนับไม่ถ้วน ชิงเทียนหลินคือคนที่สนิทกับนางที่สุด ในบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เขาปฏิบัติกับนางเป็นอย่างดีตั้งแต่นางยังเด็ก
ชิงอวี่ชอบพี่ชายที่ตามใจนางคนนี้มาก ไม่ว่าต่อหน้าคนอื่นนางจะใส่หน้ากากเข้าหาอย่างไร หากแต่ยามอยู่ต่อหน้าเขา ชิงอวี่ก็จะยังคงเป็นเด็กน้อยใสซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยมอยู่เสมอ
ทว่าตั้งแต่ที่ชิงอวี่ถูกเลือกเข้าการทดสอบตระกูลที่มีเด็กหลายร้อยคนเข้าร่วมเพื่อสืบต่อตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนต่อไป ความรักบริสุทธิ์ที่ชิงเทียนหลินมีให้นางกลับเปลี่ยนแปลงไป
เป็นเพราะสมบัติลับประจำตระกูลสองชิ้นที่ตกทอดมานับร้อยปี ‘วิชาฝังวิญญาณ’ และ ‘ตำราแพทย์แดนเซียน’ เป็นสิ่งที่มีเพียงผู้นำตระกูลคนปัจจุบันที่จะสามารถบำเพ็ญเพียรและเรียนรู้ได้ นอกจากผู้นำตระกูลแล้ว คู่ชีวิตที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งของผู้นำตระกูลยังได้รับสิทธิ์ให้เข้าถึงสมบัติลับสองชิ้นนี้ด้วยเช่นกัน
ดังนั้นหลังจากชิงอวี่ได้รับเลือก นางก็พบว่ามีคนมากหน้าหลายตาพยายามเข้าหานาง ในฐานะที่นางเป็นเด็กสาวที่มีรูปโฉมงดงาม นางย่อมไม่ขาดคนชื่นชมสรรเสริญ ยามเมื่อข่าวที่นางได้รับเลือกถูกแพร่ออกไป จำนวนคนที่ต้องการเป็นสามีในอนาคตของนางก็เพิ่มขึ้นราวกับปลาในแม่น้ำ
หากแต่สุดท้ายทุกคนกลับถูกพี่ชายที่รักน้องสาวผู้นั้นของนางไล่ไปจนหมด ชิงอวี่ซาบซึ้งกับการกระทำของเขาในตอนนั้นมาก หากแต่นางกลับไม่รู้ว่าพี่ชายที่นางรักและเคารพนับถือกลับเริ่มมีความคิดร้ายกาจต่อนาง
เขาเมินศีลธรรมความถูกต้องไปจนสิ้น มีความคิดเลวทรามที่จะวางยานาง บังคับขืนใจให้นางมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขา
ชิงอวี่ไม่เคยระวังตนยามอยู่ต่อหน้าเขา นางย่อมไม่คิดว่าเขาคิดทำเรื่องเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะชิงเยี่ยหลีคอยอยู่เคียงข้างนางตลอด เกรงว่าพี่ชายต่างมารดาผู้นี้คงกระทำเรื่องผิดศีลธรรมไปแล้ว
ตั้งแต่นั้นมา เด็กสาวไร้เดียงสาทั้งยังร่าเริง คนที่ชอบหัวเราะนักก็ได้เติบโตขึ้นในพลัน กลายเป็นเด็กสาวนิสัยเย็นชาทั้งยังไม่ใส่ใจสิ่งใด
เมื่อได้ยินชื่อชิงเทียนหลินอีกครั้ง นัยน์ตาชิงอวี่พลันหม่นแสงลงแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับเป็นเหมือนเดิมในพริบตา “เขา….. ตายหรือไม่?”
“ข้าไม่มั่นใจ” ชิงเยี่ยหลีขมวดคิ้ว ท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย
“ไม่มั่นใจหรือ? เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“วันนั้นข้าทำเขาบาดเจ็บสาหัส เส้นพลังทั่วร่างได้รับความเสียหาย เขาหายใจเฮือกราวกับจะสิ้นใจ หากแต่กลับหยุดหายไปกะทันหัน ข้าสงสัยตรงจุดนั้น เพราะข้าคิดว่าเขาไม่น่าใช่คนที่จะสิ้นใจไปง่าย ๆ เช่นนั้น”
นัยน์ตาชิงอวี่ส่องประกายวาบ “ข้าจำได้ว่าเขาเรียนวิชาต้องห้ามของตระกูลมา หนึ่งในนั้น….. คือวิชาที่ทำให้สามารถฟื้นคืนชีพในร่างศพได้ วิชานี้จำต้องใช้ตอนที่คนกำลังจะตายในลมหายใจเฮือกสุดท้าย จากนั้นเขาจึงสามารถกลืนวิญญาณของคนผู้นั้นเพื่อฟื้นคืนชีพได้ การกลืนวิญญาณมนุษย์นั้นชั่วร้ายนัก ดังนั้นหัวหน้าตระกูลคนก่อนจึงตั้งกฎว่าหากคนในตระกูลเรียนวิชาต้องห้ามเหล่านี้ จะต้องถูกลงโทษด้วยการลงโทษถึงชั้นวิญญาณ และทำลายพลังบำเพ็ญเพียรจนสิ้น แต่ชิงเทียนหลินฉลาดนัก แม้จะฝึกวิชานี้มานานหลายปีแต่กลับสามารถซุกซ่อนกลิ่นอายชั่วร้ายจากวิชาต้องห้ามได้”
ชิงเยี่ยหลีนัยน์ตาทะมึน “เจ้าหมายความว่า….. เขาอาจจะยังไม่ตายงั้นหรือ? ทั้งยังอาจจะมาที่โลกนี้เหมือนพวกเรา!”
“ข้าไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้นั้น” ชิงอวี่ตอบ
“เช่นนั้นเจ้าไม่ยิ่งตกอยู่ในอันตรายหรือ?” ชิงเยี่ยหลีพลันมีสีหน้ากังวล “เจ้าต้องกลับหลินยวนกับข้า อย่างน้อยข้าจะได้ปกป้องเจ้าได้”
“เจ้าประเมินข้าอ่อนแอไปหรือไม่?” ชิงอวี่ส่ายหน้าตน “ชาติก่อนข้าไม่มีทางเลือก ข้าทำใจลงมือกับชิงเทียนหลินไม่ลง แม้สุดท้ายเขาจะ….. แต่ในอดีตเขาก็เคยปฏิบัติต่อข้าด้วยใจจริง”
ในตระกูลใหญ่เช่นนั้นมีแต่ความรู้สึกหนาวเหน็บและโดดเดี่ยว บิดามารดาของชิงอวี่เสียชีวิตตั้งแต่นางยังเล็ก ดังนั้นท่านปู่จึงเป็นคนเลี้ยงนางมา ชิงเทียนหลินเป็นพี่น้องเพียงคนเดียวที่ทำให้นางได้สัมผัสความอบอุ่นจากคนในครอบครัว สุดท้ายนางจึงเลือกความตายของตนดีกว่าทำให้เขายอมได้ในสิ่งที่ต้องการ
ชิงอวี่หันมองไปด้านนอก นัยน์ตานางพลันอ่อนโยนลง เด็กหนุ่มหน้ามนนั่งอยู่ด้านนอกอย่างเงียบเชียบ ดูยังจดจ้องอยู่กับตำราในมืออย่างตั้งใจ หากแต่สายตาคอยมองมาทางนางเป็นระยะ ท่าทางสงสัยว่าคนด้านในกำลังคุยสิ่งใดกัน หากแต่ก็ยังนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น คอยระวังภัยให้พวกนางจากด้านนอก
ชิงเยี่ยหลีสัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบตัวนางพลันอ่อนโยนลงมาก จากนั้นจึงมองตามสายตานางไป
“เด็กคนนั้น…..”
“เขาคือน้องชายข้า นามว่าชิงเป่ย” ชิงอวี่คลี่ยิ้ม “ข้าไปหลินยวนกับเจ้าไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราก็ได้พบกัน แค่เจ้ารู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ก็ดีมากแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้านัก คนที่ตายมาแล้วครั้งหนึ่งย่อมรักชีวิตตนกว่าเดิม และหากมีใครคิดร้ายกับข้า…..”
รอยยิ้มบนริมฝีปากนางยิ่งลึกขึ้น ใบหน้างามยิ่งดูน่าหลงใหล “ข้าก็จะชิงเอาชีวิตมันมาก่อน”