สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 71 สิ่งสำคัญคือนักปรุงยา
เช้าวันต่อมา ทุกอย่างก็ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย
เยี่ยนหนิงลั่วกำลังจะเดินทางออกจากจวน ทุกคนต่างพากันออกมาส่งนาง รถม้าตระเตรียมรออยู่ด้านนอกประตูใหญ่แล้ว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านดูแลสุขภาพให้ดี มีเวลาข้าจะกลับมาหาพวกท่าน” เยี่ยนหนิงลั่วเอ่ยเสียงอ่อนโยน
โม่หานเยียนกุมมือบุตรีตนไว้ นัยน์ตาเจือแววไม่เต็มใจให้นางจากไป “เฮ้อ แม้เจ้าจะไม่ค่อยอยู่บ้านตั้งแต่ยังเล็ก แต่แม่ก็ยังห่วง กลัวว่าเจ้าจะต้องออกไปลำบากข้างนอก”
เยี่ยนหนิงลั่วตบมือที่กุมมือนางไว้อย่างปลอบโยน “เหตุใดข้าจึงต้องลำบากเล่า? ท่านอาจารย์ดีกับข้ามาก ทั้งข้ายังเป็นศิษย์หลักของสำนักเช่นกัน ใครหลายตนไม่รีรอจะมาประจบเอาใจข้า ข้าจะลำบากได้อย่างไร? อีกทั้ง…..” นางหยุดพูดไปเล็กน้อย สายตามองไปยังเงาร่างสองสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนที่มุมปากนางจะยกยิ้ม “อีกครึ่งปี น้อง ๆ ข้าก็จะเข้ามาเป็นเพื่อนข้าในสำนักละอองหมอกแล้วไม่ใช่หรือ?”
โม่หานเยียนขมวดคิ้ว ถอนหายใจเสียงเบาออกมา ความสามารถมีเพียงเท่านั้น เกรงว่าพวกนางคงไม่อาจผ่านแม้แต่การทดสอบรอบแรกด้วยซ้ำ
แม่ลูกพูดคุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มต่ำของเยี่ยนซู่จะเอ่ยขึ้น “ได้เวลาออกเดินทางแล้ว การเดินทางไปสำนักละอองหมอกทั้งยาวนานและยากลำบาก ไปถึงก่อนฟ้ามืดจะดีกว่า”
ยามฟ้ามืด จะมีผู้ใดอาจรู้ได้ว่ามีอันตรายใดซ่อนอยู่บ้าง?
เยี่ยนหนิงลั่วพยักหน้ารับคำ จากนั้นปีนขึ้นรถม้า ก่อนนางจากไปยังเลิกม่านรถม้าขึ้นบอกลาทุกคน จากนั้นส่งสายตามองไปยังชิงอวี่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง ริมฝีปากนางขยับไร้เสียง
นางพูดว่าข้าจะรอเจ้า
จากนั้นรถม้าก็เคลื่อนตัวจนลับตาไป ชิงอวี่เลิกคิ้ว สีหน้าไม่ใส่ใจ หมายความว่าอย่างไรที่นางบอกว่าจะรอ? นางมั่นใจหรือว่านางจะสามารถผ่านบททดสอบเข้าสำนักละอองหมอกได้?
——————–
ที่แดนเมฆาสวรรค์ ในดินแดนทางตอนเหนือเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการใหญ่แคว้นมาร
“ท่านจอมมารขี้โกงนัก ลงไปท่องเที่ยวยังดินแดนระดับล่างอีกครา ปล่อยให้พวกเราผู้น่าสงสารคอยปกป้องรังนอน หากเขายังทำเช่นนี้ไม่ใส่ใจลูกน้อง ไม่นานคงได้ถูกจูเก่อฉงคนชั่วแย่งตำแหน่งไปแน่!”
พระราชวังที่ดูมืดมนอยู่แล้วด้วยมีเฉดสีครึ้มยิ่งดูชั่วร้ายน่ากลัวมากขึ้นไปอีกด้วยกลิ่นอายมืดครึ้มหมองหม่นที่เต็มไปด้วยความกดดันกล้ำกลืนฝืนทน
บนบัลลังก์พื้นยกสูงที่ดูโอ่อ่าหรูหราสลักเป็นรูปงูน่าสะพรึงกลัว มีชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่ท่าทางผ่าเผย เขาอยู่ในชุดคลุมยาวสีน้ำเงินดูสง่างาม นัยน์ตาเฉียบขาด คิ้วคมดั่งดาบ ริมฝีปากแดงฟันขาว เป็นชายหนุ่มหล่อเหลามากผู้หนึ่ง
ในตอนที่กำลังระบายความไม่พอใจออกมา เขาก็ตบมือลงบนหัวงูซึ่งเป็นที่วางแขน หากแต่พลันรู้สึกราวกับหัวงูเหมือนจะมีชีวิตขยับได้ขึ้นมา มันส่งเสียงขู่ฟ่อก่อนจะอ้าปากแยกเขี้ยวอย่างดุร้าย
“อ๊ากกก~ แม่จ๋า!”
ชายหนุ่มแหกปากร้องก่อนจะตะเกียกตะกายร่วงลงจากบัลลังก์ ชุดคลุมเปรอะฝุ่นคลุ้งด้วยตกใจร่วงลงมาน่าอนาถนัก
“พรูดดด~”
เป็นเสียงกลั้นหัวเราะของสตรีผู้หนึ่ง “เป็นอย่างไร? บัลลังก์ไม่ได้น่านั่งนักใช่หรือไม่?”
ใบหน้าชายหนุ่มยังไม่หายตกใจ เขานั่งอยู่บนพื้น จ้องบัลลังก์ด้านบนนิ่งตาไม่กะพริบ เมื่อครู่มันอะไรกัน? เขาเห็นภาพหลอนหรือ? หัวงูตัวนั้นยังอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลยนี่!
เขาลุกขึ้นจากพื้นในพลัน หันไปมองคนที่ยืนอยู่ในท้องพระโรง “ข้าเห็นผีหรือ? เมื่อครู่เจ้าเห็นหัวงูขยับหรือไม่? มันแยกเขี้ยวอยากจะกินข้าด้วย!!”
สุดท้ายทุกคนต่างส่ายหน้าเหมือนกันหมด
ดวงตายั่วยวนร้ายกาจของเม่ยจีมองเขา นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างน่ามอง ก่อนจะพูดเสียงกลั้วหัวเราะ ยกมือขึ้นบังปากตนไว้เล็กน้อย “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าไปนั่งบนบัลลังก์ของนายท่าน มันไม่ใช่ที่นั่งที่ใครก็สามารถนั่งได้”
ชายหนุ่มพลันมีสีหน้าโกรธ “เหตุใดกัน ขนาดตอนที่เขาไม่อยู่ กระทั่งที่นั่งของเขายังต่อต้านข้าเลยงั้นหรือ? เพราะเหตุใดกัน!!?”
“อาจเพราะเจ้ารังแกง่ายกระมัง” เม่ยจีเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าสงสารเห็นใจ
“เอาล่ะ หยุดคุยเล่นได้แล้ว มาคุยเรื่องสำคัญเถอะ!” บนที่นั่งลำดับแรกถัดมาจากบัลลังก์มีชายหนุ่มหน้าตาอ่อนโยนสง่างามผู้หนึ่งนั่งอยู่ ท่าทางเขาเย็นชา ดูแล้วเหมือนบัณฑิตทรงภูมิผู้หนึ่ง
ภายในท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ นอกจากชายหนุ่มใบหน้าชั่วร้ายและเม่ยจีแล้ว ยังมีชายหนุ่มชุดคลุมขาวอีกคนที่ชุดขาวไม่เปรอะฝุ่นแม้แต่นิด
กลิ่นอายที่แผ่ออกรอบตัวนั้นสะอาดบริสุทธิ์ ราวกับเขาเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งที่ไม่ประสาเรื่องโลกภายนอก ใบหน้าเขางดงามไร้ที่ติราวกับเทพเซียนในภาพวาด เว้นเสียแต่นัยน์ตาสีแดงเข้มดั่งหยาดโลหิตนั่น มันเป็นสีแดงกระจ่างไร้สิ่งขุ่นมัวใด มองแล้วเป็นดั่งเซียนที่ลงมาจากสวรรค์ชั้นเก้า ราวกับเขาเป็นเพียงภาพลวงตาชั่วประเดี๋ยว ดูท่าทางไร้พิษภัย หากแต่แผ่รัศมีสันโดษและเยือกเย็น
ชายหนุ่มท่าทางดั่งบัณฑิตเอ่ยขึ้น “พวกคนจากสมาพันธ์นักล่าเห็นนายท่านกลับมา จนถึงตอนนี้ก็ยังพากันตื่นตกใจไม่คลาย ระยะนี้ไม่กล้าหาเรื่องก่อปัญหาให้พวกเรา หากแต่แม้ตอนนี้จะหยุดโจมตีเรา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรนั่งรอให้ปัญหาเกิด ศิษย์แคว้นมารเคยมีมากมายนับแสนคน ตอนนี้กลับเหลือไม่ถึงหมื่น อำนาจเราลดลงมาก ข้าคิดจะเปิดรับสมาชิกเข้ามาใหม่ และหากไม่มีผู้ใดแดนเมฆาสวรรค์สนใจ เราก็สามารถหาหน่ออ่อนมากความสามารถจากแดนธาราขาว จากนั้นเลี้ยงดูฟูมฟัก เตรียมพร้อมให้พวกเขาจนกว่าจะถึงเวลา”
เขาพูดจบก็ทำคนหลายคนเงียบไป จนกระทั่งชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินหรูหราเปิดปากขึ้น “เราต้องรีบลงมือ หากแต่ก็ไม่สามารถรีบร้อนทำได้ เป็นเพราะครั้งก่อนเรารับคนเข้ามามากมาย ทำให้มีสายลับจากจูเก่อฉงลอบเข้ามาในหมู่คนของเราได้ แม้ตอนนี้จะเหลือคนน้อยแล้วแต่ก็มีเพียงพวกเราทั้งนั้น เรื่องนี้เราต้องระมัดระวังยิ่ง หากทำโดยไร้ความรอบคอบ ข้าว่าอย่าเปิดรับคนใหม่เลยจะดีกว่า”
“ครั้งนี้ข้าเห็นด้วยกับสวินลั่ว เรามีคนน้อยแล้วอย่างไร? หากฝึกคนของเราให้มีฝีมือสูงส่ง เราหนึ่งคนก็ล้มศัตรูได้นับร้อย อย่างไรแคว้นมารของเราก็ไม่เคยพึ่งจำนวนคน พึ่งแต่พลังของแต่ละคนเสียมากกว่า” เม่ยจีเอ่ยยิ้ม ๆ นัยน์ตาฉายแววภาคภูมิมั่นใจยิ่ง
จากนั้นนางจึงหันไปมองชายหนุ่มชุดคลุมขาวที่อยู่ด้านข้าง เอ่ยถามพร้อมเสียงหัวเราะ “ปีศาจน้อย มีคำแนะนำใดหรือไม่?”
ชายชุดคลุมขาวนั่งเงียบไม่พูดไม่จามาโดยตลอด ยามได้ยินคนเรียกชื่อ เขาก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะค่อย ๆ พูด น้ำเสียงเขาให้ความรู้สึกดั่งสายลมพัดผ่านผืนน้ำ สร้างแรงกระเพื่อมแผ่วเบาในอากาศ “นักปรุงยา”
เขาพูดออกมาเพียงเท่านั้น ไม่อธิบายเพิ่มเติมอีก หากแต่คนอื่น ๆ กลับเข้าใจโดยปริยาย
“เจ้าว่าเราต้องหานักปรุงยาเพิ่มหรือ?” สวินลั่วทำท่าราวกับเพิ่งเข้าใจ “เหตุใดข้าจึงไม่คิดถึงเรื่องนั้นกัน!? เป็นเพราะเราถูกเจ้าชั่วจูเก่อฉงวางยาพิษจึงสูญเสียหนักหนาเช่นนี้ หลายคนต้องตายจากไป กระทั่งปีศาจน้อยก็ยังถูกพิษไปด้วย”
“หากแคว้นมารมีนักปรุงยามาเสริมกำลังมากหน่อยก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวแผนชั่วใดอีก! ข้าจะสั่งให้พวกเขาลงมือเดี๋ยวนี้” สวินลั่วพลันมีไฟ ทำท่าจะพุ่งออกไปหากแต่ถูกเสียงหนึ่งรั้งไว้
“ธรรมดาไม่ได้” ชายชุดขาวเอ่ยเสียงค่อยต่อ
จูเก่อฉงเองเป็นนักปรุงยาระดับสูง เชี่ยวชาญด้านยาพิษมากกระทั่งเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
เม่ยจีปรายตามองสวินลั่วด้วยความโมโห “เจ้าฟังปีศาจน้อยพูดให้จบก่อนได้หรือไม่? เจ้าอยากไปเกิดใหม่เร็วขนาดนั้นเลยหรือ?”
สวินลั่วนิ่งงันไป “…..” ข้าผิดไปแล้ว
“อย่างน้อยขั้นสำริดเขียว”
นักปรุงยามีทั้งหมดเจ็ดระดับ มีขั้นสำริด ขั้นเงิน ขั้นทองคำ ขั้นสำริดเขียว ขั้นเงินขาว ขั้นทองคำขาว และขั้นจอมราชัน
แต่ละขั้นมีสิบชั้น ความต่างระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นต่อไปแตกต่างกันมาก ในดินแดนระดับล่าง นักปรุงยาขั้นเงินนับว่าโดดเด่น และนักปรุงยาขั้นทองคำสามารถขึ้นเป็นผู้นำตระกูลได้
หากแต่ในแดนเมฆาสวรรค์ นักปรุงยาขั้นทองคำชั้นหนึ่งและสองนั้นหาได้ทั่วไปในท้องถนน จำต้องมีชั้นมากกว่าหกจึงจะนับได้ว่าโดดเด่น ลือกันว่านักปรุงยาระดับต่ำที่สุดในสำนักเซียนแพทย์คือขั้นทองคำชั้นสาม ตระกูลเก่าแก่ที่ถือครองอำนาจมาอย่างยาวนานย่อมไม่อาจดูถูกได้
นักปรุงยาขั้นสำริดเขียว เกรงว่าคงจะหายากหน่อย…..
เว้นเสียแต่นายน้อยสำนักเซียนแพทย์ ไป๋จือเยี่ยนจะเดินทางไปยังสำนักเซียนแพทย์ด้วยตนเอง จากนั้นหลอกเอานักปรุงยาสักหลายคนมายังแคว้นมาร
หากแต่เช่นนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้ กระทั่งนายน้อยของสำนักยังมาอยู่แคว้นมารแล้ว หากพวกเขาต้องการให้นายน้อยกลับไปยังตระกูลเพื่อหลอกเอาคนมาอีกก็เท่ากับให้ทรยศตระกูล บิดาของเขาคงได้หักขาเขากลับมาเป็นแน่
ยามเห็นใบหน้าหดหู่คับข้องใจของคนรอบตัว นัยน์ตาแดงกระจ่างดั่งหินโมราของชายหนุ่มชุดคลุมขาวพลันเปล่งประกายงดงาม “ยาที่ข้ากินเมื่อคราวก่อนมาจากนักปรุงยาที่ฝีมือสูงส่งกว่าไป๋จือเยี่ยน”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” ชายท่าทางเหมือนบัณฑิตชะงักไป “ไป๋จือเยี่ยนเป็นยอดอัจฉริยะแห่งสำนักเซียนแพทย์ เป็นนักปรุงยาขั้นทองคำขาวระดับสี่เท่ากับจูเก่อฉง เจ้าบอกว่ายังมีคนที่มีฝีมือสูงส่งกว่าไป๋จือเยี่ยนอีกงั้นหรือ?!”
“ถูกต้อง เป็นไปได้ไหมว่าคือบรรพบุรุษเก่าแก่ของสำนักเซียนแพทย์? คนผู้นั้นคงกลายเป็นปรมาจารย์ผู้ละทางโลกไปแล้วกระมัง เช่นนั้นเราจะทำอะไรได้?” สวินลั่วยักไหล่ใบหน้าสิ้นหวัง
เม่ยจีอาจเป็นผู้ที่ระงับอารมณ์ได้ดีที่สุด นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองชายชุดคลุมขาว “เจ้าหมายถึงยาที่เจ้ากินตอนที่ข้าชิงตัวเจ้ากลับมาจากสมาพันธ์นักล่าหรือ?”
“ใช่”
เมื่อเห็นว่าเขายอมรับเช่นนี้ สีหน้าเม่ยจีพลันแปลกไป ปากก็พึมพำเสียงเบาหวิวออกมา “เช่นนั้นเป็นไปไม่ได้…..”
“เป็นไปไม่ได้อันใดกัน?” ชายท่าทางดั่งบัณฑิตและสวินลั่วถามขึ้นพร้อมกัน
“ไป๋จือเยี่ยนเคยเล่าให้ฟังว่าอาการของนายท่านได้เซียนแพทย์ฝีมือฉกาจท่านหนึ่งรักษาให้ ยาพวกนั้นเป็นของขวัญจากผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนายท่านไว้ ” เม่ยจีเอ่ยขึ้น ใบหน้าอึดอัดนัก
“เช่นนั้นก็ดีไม่ใช่หรือ? เหตุใดเจ้าจึงทำหน้าเช่นนั้น?” สวินลั่วเอ่ยแล้วทำเสียงจิ๊ปาก
เม่ยจีมองเขาสายตาดูถูก “เรื่องของเรื่องคือนักปรุงยาฝีมือฉกาจท่านนั้นยังเป็นเพียงแม่นางน้อยที่ยังเด็กมากผู้หนึ่ง ทั้งยังมาจากดินแดนระดับล่าง”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?! แม่นางน้อยที่ยังเด็กมาก!?” สวินลั่วเบิกตาแทบถลนออกจากเบ้า “เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?”
ชายหนุ่มท่าทางเหมือนบัณฑิตนั่งนิ่งไม่พูดจา หากแต่ใบหน้าแสดงความไม่เชื่อออกมาเต็มที่
แม้ชายหนุ่มชุดขาวจะไม่มีทีท่าตกใจใดมาก หากแต่นัยน์ตาสีแดงก็ยังเจือแววประหลาดใจ
“ข้าว่าแล้วว่าพวกเจ้าต้องไม่เชื่อข้า” เม่ยจีเหยียดริมฝีปากตรง “กระทั่งข้ายังไม่อยากเชื่อเลย”
“แต่ข้าเห็นว่านายท่านกลับไปยังดินแดนระดับล่างนั่นเพื่อไปนำตัวเซียนแพทย์น้อยผู้นั้นมายังแคว้นมาร แต่ว่านางยังแข็งแกร่งไม่มากพอ ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาอีกหน่อย”
สวินลั่วกะพริบตา ยกมือขึ้นลูบคางตนด้วยความสงสัย “เรื่องเช่นนั้นต้องให้เขาลงไปเองเลยหรือ? อีกอย่าง นายท่านเกลียดการพูดคุยกับมนุษย์ผู้หญิงที่สุดไม่ใช่หรือไร!?”
ทั่วทั้งแคว้นมารแห่งนี้ นอกจากเม่ยจีที่มีนิสัยโผงผางเปิดเผย ไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย นับเป็นผู้ที่ทำให้โหลวจวินเหยามองนางแตกต่างออกไป มีเพียงนางที่สามารถเข้าใกล้เขาได้ สตรีอื่นกลับเป็นเพียงธาตุอากาศในสายตาโหลวจวินเหยา
ดังนั้นกระทั่งเจ้าอารมณ์แห่งอารามจันทร์กระจ่างที่ร่ำลือกันว่างดงามดั่งเทพเซียน นายท่านของพวกเขาก็ยังมองเมินไม่ใส่ใจ