สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 73 แอบไปเรียนรู้วิชาได้
นางคือมู่ไหลแห่งตระกูลมู่
เป็นนักปรุงยาขั้นเงินชั้นแปด ทั้งยังถือครองถึงสองธาตุ คือธาตุสายฟ้าและธาตุไฟ นับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรทั้งในด้านวิทยายุทธและวิชาแพทย์ที่หาได้ยากในใต้หล้า ด้วยวิทยายุทธอันแข็งแกร่งและการตัดสินใจที่เด็ดขาดยิ่ง ผู้คนจึงให้ฉายานางว่า สตรีปีศาจ
แม้จะถูกเหยียดหยามเช่นนั้น แต่มู่ฉือก็ไม่ต่อความยาวสาวความยืด ทำเพียงเสียงเดาะปากก่อนเอ่ยน้ำเสียงไม่เต็มใจออกมา “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้ามันอ่อนแอ พอใจหรือไม่? ข้าจะบังอาจเทียบเทียมกับยอดอัจฉริยะเช่นเจ้าได้อย่างไร?”
“รู้เช่นนั้นก็ดี” มู่ไหลเอ่ยเสียงเย็นชา
มู่ฉือพูดไม่ออก “…..” ไม่ถ่อมตนเลยสักนิด
“กว่าสำนักละอองหมอกจะเปิดรับศิษย์ใหม่ยังมีเวลาอีกกว่าครึ่งปี ข้าไปจะไปร่วมทดสอบด้วย” มู่ไหลเอ่ยเสียงเบา รับผ้าเช็ดหน้าจากสาวใช้มาซับเหงื่อ
มู่ฉือชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มรู้สึกไม่เข้าใจ “เจ้าไม่เต็มใจเข้าสำนักใดเลยไม่ใช่หรือ? ตอนที่ข้าชวนเข้าสำนักไร้สิ้นสุดด้วยกัน เจ้าก็ปฏิเสธเสียงเรียบ!”
“พวกสำนักทั้งหลายต่างก็มีข้อห้ามยิบย่อยเต็มไปหมด ข้าย่อมไม่อยากถูกผูกติดกับกฎเหล่านั้น” มู่ไหลยิ้มเยาะ “หากแต่ตอนนี้ข้าค้างอยู่ที่ขั้นเงินชั้นแปดไม่อาจทะลวงผ่านไปได้ ข้าได้ยินมาว่าสำนักละอองหมอกมีบ่อจิตวิญญาณที่สามารถช่วยให้นักปรุงยาทะลวงผ่านขั้นได้ ข้าจึงคิดจะลองไปเสี่ยงดวงดู”
“เป็นเพราะแบบนี้สินะ ข้าก็นึกว่าเจ้าคิดได้แล้วเสียอีก” มู่ฉือพยักหน้าทำทีเป็นเข้าใจ หากแต่จู่ ๆ ก็เหมือนนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ “แต่หากเจ้าเข้าสำนักละอองหมอกไปแล้ว จะออกมาต้องใช้เวลาอีกกว่าสองปีเลยเชียว!”
มู่ไหลมองเขาสีหน้าสงบนิ่ง “ข้าสนเพียงบ่อจิตวิญญาณ ไม่ได้ต้องการไปฝึกตนบำเพ็ญเป็นเซียน หากข้าอยากออกมาผู้ใดกล้าขวางข้า?”
แบบนั้นได้หรือ…..
แต่ก็เป็นแบบฉบับของสตรีปีศาจล่ะนะ
แต่ถึงกระนั้น เป็นเพราะตระกูลมู่มีชื่อเสียงโด่งดังในแดนมุกหยก ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าเป็นตระกูลนักปรุงยา อีกทั้งมู่ไหลก็มีความสามารถมากพอให้นางทำท่าทางหยิ่งผยองพองขนเช่นนี้ได้
มู่ฉือครุ่นคิด หากแต่น้ำเสียงไร้อารมณ์กลับดังขึ้นถามเขา “อะไรเล่า กลับวังหลวงไปครั้งนี้ เจ้ายังไม่ได้ไปทำความเข้าใจกับฮ่องเต้อีกหรือ?”
“ทำความเข้าใจ?” มู่ฉือเอ่ยเสียงไม่อยากเชื่อ ราวกับเมื่อครู่นางเล่นมุกตลกใส่เขา “น้ำที่สาดออกมาแล้วนำกลับมาได้หรือไม่? ตอนนั้นข้าพูดไว้แล้ว ถึงเขาจะขอร้องข้า ข้าก็ไม่มีทางกลับไปที่นั่นอีก”
“อย่างไรเขาก็ยังเป็นบิดาของเจ้า”
“หึ! ข้าไม่สังหารเขาก็นับว่ามีเมตตามากแล้ว” ชายหนุ่มที่คนอื่น ๆ ต่างมองว่าเป็นคนสดใสร่าเริงหน้าตาหล่อเหลา ภายในจิตใจกลับซุกซ่อนเรื่องเลวร้ายไว้มิดชิด ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเอื้อมถึง
เมื่อครั้งนั้นในพระราชวังเกิดเรื่องอันใดขึ้น คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่ล่วงรู้
มู่ไหลขมวดคิ้วมุ่น หากแต่ไม่ได้พูดอันใดอีก
—————–
กลับมาอยู่ที่หอเมฆาเคลื่อนได้สิบวัน ดูแล้วพวกเขาคงจะพักอาศัยอยู่ที่นี่อีกเป็นระยะเวลานานพอควร ไป๋จือเยี่ยนจึงเปิดหอเสาวคนธ์ที่ฉากหน้าเป็นโรงน้ำชาลูกค้าไม่เหลียวมอง มีเพียงคนสองสามคนเดินเล่นพูดคุยอยู่ที่ชั้นหนึ่ง
หากแต่ในขณะเดียวกันนั้น หอเสาวคนธ์กลับเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย หลาย ๆ คนเป็นลูกค้าหน้าเก่าที่แวะเวียนมาบ่อยครั้ง ทั้งยังได้รับการบอกเล่าปากต่อปากจากผู้อื่น
ว่ากันว่าแม่นางที่นี่มีหน้าตาโดดเด่นที่สุดเมืองหลวง ทั้งงดงามและมากความสามารถ ใครที่เคยมาย่อมไม่อาจถอนใจ รื่นเริงอารมณ์จนลืมกลับเรือน
ทั้งยังเหล้าชั้นเลิศและอาหารต่าง ๆ ที่หอเสาวคนธ์ยังเป็นที่หนึ่งไม่มีสอง ขุนนางหลายคนที่ลิ้มลองอาหารมาแล้วนับไม่ถ้วนยังกล่าวว่าอาหารของที่หอนี่อร่อยนำอาหารของพ่อครัวหลวงไปไกลจนฝุ่นตลบ
หากแต่ราคาก็สูงไม่น้อยเช่นกัน แต่แม้จะมีราคาสูงก็ยังไม่อาจห้ามฝีเท้าของผู้คนที่พากันย่างก้าวเข้ามายังหอแห่งนี้ได้ อย่างไรลูกค้าเหล่านี้ก็มีเงินไม่ขาดมือ ปิดหอมานานหลายเดือนเช่นนี้ย่อมทำให้ลูกค้าหลายคนไม่พอใจ
หากมองดูหอเมฆาเคลื่อนจากภายนอก มองอย่างไรก็เป็นร้านธรรมดาร้านหนึ่ง ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ไม่งดงามแต่ก็ไม่ดูน่าเกลียด ทั้งยังไม่ได้ใหญ่โตสะดุดตาคนจนเกินเหตุ นับว่าเป็นหนึ่งในหอที่ดูไม่โดดเด่นมากนักในเมืองหลวงแห่งนี้
แน่นอนว่าผู้ที่ไม่เคยเหยียบเข้าหอมาก่อนย่อมถูกเปลือกนอกลวงตา
เป็นตอนที่เหยียบย่างเข้าร้านมาแล้วจึงจะพบว่าด้านในมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็นมากนัก
ไม่มีผู้ใดอาจจินตนาการได้ว่าหอน้ำชาเล็ก ๆ เช่นนั้น ด้านในจะแบ่งออกเป็นสามส่วนใหญ่ได้
นอกจากหอน้ำชาและหอเสาวคนธ์แล้ว ยังมีสวนงดงามขนาดไม่ใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมีห้องซ่อนอยู่ภายใน ในสวนมีทางเดินสายหนึ่ง มีทั้งสะพานโค้งเล็กและมีสายน้ำไหลผ่าน ในน้ำมีปลามากมายหลายสีสันแหวกว่ายไปมาน่ามองนัก
โหลวจวินเหยาใช้ชีวิตสุขสบายมาโดยตลอด ไม่ว่าเขาจะเดินทางไปอยู่ที่ใด สภาพแวดล้อมที่นั่นจะต้องมองแล้วอบอุ่นเจริญหูเจริญตา หากจะให้ไป๋จือเยี่ยนกล่าว ก็คืออิฐทุกก้อนกระเบื้องทุกแผ่นคือเงิน เงิน และเงินทั้งสิ้น!
แต่เนื่องจากพวกเขามีมิติประดิษฐ์ ดังนั้นจึงสามารถพกพาสถานที่นี้ไปที่ไหนก็ได้ตามต้องการ มิเช่นนั้นหากพวกเขาจากที่นี่ไป การจะทิ้งสถานที่ทำเลดีเช่นนี้ไปไม่เป็นเรื่องน่าเสียดายแย่หรอกหรือ?
ที่ปลายทางเดินยาวคือศาลาแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งโหลวจวินเหยาและไป๋จือเยี่ยนกำลังใช้นั่งพูดคุย ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังผ่านอากาศมา โต๊ะว่างเปล่าพลันมีนกท่าทางสง่างาม มีขนหลายสีตัวหนึ่งปรากฏขึ้น มันกะพริบดวงตาสวยของมันอย่างอ่อนแรง ย่ำกรงเล็บน้อย ๆ ของมันลงบนโต๊ะด้วยความเกียจคร้าน
“เหตุใดจึงมาที่นี่อีกเล่า?” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยถามเจ้านกด้วยน้ำเสียงสงสารเห็นใจ ก่อนที่จะหยิบท่อนไม้ไผ่ขนาดเล็กที่ผูกติดที่ขาเจ้านกออกมาคลี่อ่าน พร้อมมุมปากที่กระตุกยิก ๆ ระหว่างที่อ่านข้อความในสารก็ยังพึมพำต่อ “เจ้าสวินลั่วนั่นไม่มีเรื่องอันใดให้ทำแล้วหรืออย่างไร? เรามีเครื่องสื่อเสียงเขากลับไม่ใช้ ยังจะเลียนแบบผู้อื่นใช้นกส่งสารเช่นนี้อีก เกรงว่าเจ้าตัวน้อยตรงนี้คงอยากตีปีกใส่ใครบางคนเต็มแก่”
นกตัวนี้เป็นนกชนิดที่หาได้ยากและมีราคาสูงลิ่วในแดนเมฆาสวรรค์ แม้จะตัวเล็กดูน่ารักเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง หากแต่เป็นนกหายากที่สามารถบินไกลได้เป็นพันลี้ในหนึ่งวัน เป็นนกเซียนที่สามารถบินผ่านช่องว่างระหว่างมิติ ทั้งยังเข้าใจภาษามนุษย์ ดังนั้นคนในแดนเมฆาสวรรค์จึงชื่นชอบนกชนิดนี้เป็นอย่างมาก
“หือ? แคว้นมารรับนักปรุงยาหรือ??” ไป๋จือเยี่ยนกะพริบตา “เป็นเพราะครั้งก่อนเสียเปรียบ ดังนั้นตอนนี้จึงคิดเตรียมการล่วงหน้าแล้ว? แต่คุณสมบัติไม่สูงไปหน่อยหรือ?”
โหลวจวินเหยาไม่ได้หันมามอง หากแต่สามารถเดาสิ่งที่อยู่ในสารนั่นได้ ริมฝีปากเขาโค้งขึ้นน้อย ๆ จากนั้นก็พูดในสิ่งที่ทำให้ไป๋จือเยี่ยนต้องเกาหัว “ได้ยินว่าจูเก่อฉงเดิมทีมาจากสำนักเซียนแพทย์ของเจ้า”
ไป๋จือเยี่ยนได้ยินแล้วก็ชะงักไป “ข้าคิดว่าน่าจะเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสสาม…..”
“ในเมื่อมาจากสำนักเดียวกับเจ้า ข้าคิดว่าเขาคงรู้เรื่องภายในสำนักเซียนแพทย์เป็นอย่างดี ดังนั้นหากแคว้นมารต้องการหานักปรุงยา คนจากสำนักเซียนแพทย์ย่อมถูกตัดออกไป” โหลวจวินเหยาพูดเสียงเนิบช้า ก่อนจะหัวเราะแผ่วเบา “แต่น่าเสียดาย นักปรุงยาขั้นทองคำหาได้ง่ายทั่วไป แต่จะหานักปรุงยาขั้นสำริดเขียวได้ง่ายนั้น มีเพียงต้องหาในสำนักเซียนแพทย์เท่านั้น”
ไป๋จือเยี่ยนฟังแล้วเข้าใจทันที ใบหน้างามเย้ายวนพลันขมวดคิ้ว “ข้าลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน? ดูท่าแผนการของพวกเขาคงสำเร็จได้ยากแล้ว!”
“แต่ก็ยังมีเจ้าไม่ใช่หรือ?” โหลวจวินเหยาพูดยิ้ม ๆ
“ข้าก็มาจากสำนักเซียนแพทย์นี่?” ไป๋จือเยี่ยนกล่าว เหลือบตามองเขา
นัยน์ตาสีม่วงชวนมองพลันมีประกายลึกล้ำวาดผ่าน เขาเอ่ยเสียงนุ่มขึ้น “เจ้าแอบไปเรียนรู้วิชากับจิ้งจอกน้อยได้”
“เหตุใดข้าจึงไม่คิดถึงเรื่องนั้นมาก่อนเลย!?” ไป๋จือเยี่ยนพลันทำสีหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ “ครั้งก่อนข้าพูดไว้ว่าพวกเราน่าจะถกกันเรื่องวิชาแพทย์ ถึงข้าจะถูกปฏิเสธก็สมควรตามตื๊ออย่างหน้าไม่อายสิ! อย่างน้อยก็คงได้วิชามาสักสองสามวิชา!”
จะโทษว่าไป๋จือเยี่ยนเหลาะแหละก็โทษได้ไม่เต็มปากนัก ทว่าแม่นางน้อยผู้นั้นเป็นนักปรุงยาที่มีฝีมือสูงส่งที่สุดที่เขาได้พบในรอบหลายปีนี้ สมัยก่อนกระทั่งบรรพบุรุษในสำนักตนเองเขายังไม่เชื่อฝีมือ หากแต่ตอนนี้กลับชื่นชมชิงอวี่นัก
ได้ยินไป๋จือเยี่ยนพูดด้วยความมั่นใจเช่นนั้น โหลวจวินเหยาทำเพียงส่งยิ้มล้ำลึกให้ จากนั้นลุกขึ้นเดินจากไป
ไป๋จือเยี่ยนมองตามร่างสูงที่เดินออกไป พลันรู้สึกว่าคนผู้นี้กำลังอารมณ์ดีนัก?
อย่างไรเขาก็ไม่อาจเข้าใจคนผู้นี้ได้เลยจริง ๆ เขารู้สึกว่าไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจล่วงรู้ถึงจิตใจของนายท่านผู้นี้ได้
— แคว้นหลินยวน —
หลังจากผ่านการเดินทางราวครึ่งเดือน ในที่สุด คณะเดินทางก็เคลื่อนมาถึงแคว้นลึกลับบนมหาสมุทร แคว้นแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นกลางท้องน้ำในมหาสมุทรไร้ที่สิ้นสุด ตอนนี้ขบวนเดินทางขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนที่เข้าใกล้แคว้นเข้าไปทุกที ในที่สุดเงาราง ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนผืนน้ำสุดลูกหูลูกตาเบื้องหน้า
พื้นที่โดยรอบไม่มีเรือสักลำ ยิ่งทำให้ดูน่าสงสัยว่าพวกเขาจะเดินทางข้ามผ่านท้องทะเลนี้ไปอย่างไร?
ว่ากันว่าชาวแคว้นหลินยวนใช้เวทมนตร์ได้ หากแต่นั่นก็เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น ไม่มีผู้ใดเชื่อข่าวลือนี้จริง ๆ หากแต่ก็ไม่มีใครสามารถอธิบายว่าพวกเขาสามารถเดินทางข้ามผ่านผืนน้ำไปโดยไม่จมได้อย่างไร ราวกับว่าพวกเขาเดินอยู่บนพื้นดินมั่นคง เป็นภาพแปลกตาน่าตะลึงนัก
ถูกต้องแล้ว ตอนนี้ทหารแต่ละคนในคณะเดินทางกำลังเดินผ่านผืนน้ำเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง
มีเพียงคนผู้เดียวที่แตกต่างออกไป เขาเพียงใช้วิทยายุทธ์อันล้ำลึกของตนในการเดินบนน้ำ คลื่นน้ำที่กำลังซัดเข้ามาใต้เท้าพลันกลายเป็นน้ำแข็งในทันใด เป็นเหมือนกับเหตุการณ์ที่ทะเลสาบจันทร์เสี้ยวแคว้นชิงหลาน
คณะเดินทางเดินทางถึงพระราชวังอย่างรวดเร็ว
“ยินดีต้อนรับชางไห่อ๋องและองค์หญิงเก้ากลับสู่พระราชวัง!”
ขุนนางกลุ่มใหญ่ยืนเรียงแถวกันอยู่ในท้องพระโรงพากันโค้งคำนับและเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ยินดีต้อนรับคนทั้งคู่กลับสู่แคว้นด้วยใจจริง
บรรยากาศภายในราชสำนักแคว้นหลินยวนไม่เลว แม้ฮ่องเต้เยว่มู่เฉินจะมีร่างกายไม่แข็งแรงนัก หากแต่ก็มีสติปัญญาล้ำเลิศหาใครเทียม ด้วยแรงสนับสนุนจากชางไห่อ๋อง องค์ฮ่องเต้จึงสามารถปกครองแคว้นได้เป็นอย่างดี เหล่าขุนนางต่างให้ความเคารพเขา ไร้คนที่ต่อหน้าแสร้งทำว่าดี ลับหลังคิดไม่ซื่อ
เยว่มู่เฉินที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรมีนัยน์ตาเจือรอยยิ้มที่ห่างหายไปนาน แม้ใบหน้าจะซีดขาวไปสักหน่อย หากแต่นัยน์ตากลับสว่างไสวมีชีวิตชีวานัก “การเดินทางครั้งนี้ชางไห่อ๋องคงลำบากนัก พวกเจ้ารีบไปนำที่นั่งเขามา”
อยู่เหนือผู้คนนับไม่ถ้วน ก้มหัวให้คนเพียงผู้เดียว มีเพียงชิงเยี่ยหลีที่สามารถนั่งเคียงข้างองค์ฮ่องเต้ได้
เหล่าบริวารรีบจัดการยกเก้าอี้นั่งสบายมาวางไว้ที่ด้านซ้ายของบัลลังก์มังกรในพลัน ชิงเยี่ยหลีรับคำสั่ง ค่อย ๆ เดินเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น
“ชางไห่อ๋องเดินทางไปครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” เยว่มู่เฉินถามด้วยความเป็นห่วง
“ก็พอได้” ชิงเยี่ยหลีตอบเสียงเรียบ “แต่ข้ามีข่าวดี”
“ข่าวดีหรือ?” เยว่มู่เฉินถามด้วยความประหลาดใจ เหล่าขุนนางเบื้องล่างพลันเงี่ยหูฟังด้วยความสงสัย
“ร่างกายของฝ่าบาทอาจรักษาให้หายได้” ชิงเยี่ยหลีเอ่ยน้ำเสียงสงบนิ่ง หากแต่กลับทำให้ทั่วทั้งท้องพระโรงส่งเสียงพึมพำดังขึ้น
“จริงหรือ? รักษาฝ่าบาทหายได้จริงหรือ!?”
“หากเป็นเช่นนั้นก็ดียิ่ง! สุขภาพของฝ่าบาททำให้พวกเราเป็นกังวลมานานหลายปีนัก!”
“ชางไห่อ๋องนับเป็นดาวนำโชคของหลินยวนอย่างแท้จริง คอยนำเคราะห์ดีมายังแคว้นของเราตลอดมา”
ไม่ว่าทุกคนจะตื่นเต้นยินดีถึงเพียงไหน หากแต่สีหน้าเยว่มู่เฉินกลับไม่ตื่นเต้นนัก
บุรุษที่เก็บอารมณ์ตนมาตลอดพลันมีสีแดงเรื่อขึ้นที่แก้มซีดทั้งของข้างเล็กน้อย “เป็น….. เป็นความจริงหรือ?”
หากเป็นผู้อื่นที่กล่าวเช่นนี้ เยว่มู่เฉินไม่มีทางทำใจเชื่อได้ หากแต่เมื่อชิงเยี่ยหลีเป็นคนเอ่ยออกมา คำพูดเหล่านั้นกลับมีน้ำหนักยิ่งนัก
หลายปีที่ผ่านมาเขาผิดหวังมามาก จนในที่สุดจิตใจที่ยังพอมีความหวังริบหรี่เหลืออยู่พลันร่วงลงสู่หุบเหวลึก ไม่กล้ามีความหวังใดขึ้นมาอีกหลังจากถูกความผิดหวังแผดเผาจนเหลือเพียงเศษขี้เถ้า เยว่มู่เฉินทำเพียงมีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เพียงได้ลืมตาตื่นมาอีกวันหนึ่งก็นับว่าดีมากแล้ว