สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 74 เจ้าจะไปจากหลินยวนหรือ
น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่ดังนัก หากแต่ยามที่เขาเอ่ยปากพูด ท้องพระโรงพลันเงียบสนิท ทุกคนรอฟังคำตอบจากชายหนุ่มอีกคน
ชิงเยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยน้ำเสียงที่ราวกับมีมนตรา สามารถปลอบประโลมจิตใจคนได้ออกมาต่อหน้าดวงตามีความหวังของอีกฝ่าย “เดินทางครั้งนี้ ข้าพบคนที่ตามหามานานหลายปี ข้าเคยรับปากว่าเมื่อไหร่ที่เจอคนผู้นั้น อาการของฝ่าบาทก็สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้”
ได้ยินดังนั้นเยว่มู่เฉินพลันเบิกตากว้าง “เจ้าว่าเจ้าพบนักปรุงยาฝีมือสูงส่งผู้นั้นแล้วหรือ?”
“ถูกต้อง”
“เช่นนั้นเขาอยู่ที่ใด? เขาได้เดินทางมายังแคว้นหลินยวนกับเจ้าหรือไม่? รีบพาตัวเขามาเร็วเข้า!” เยว่มู่เฉินเอ่ย น้ำเสียงดูตื่นเต้น
ชิงเยี่ยหลีถอนหายใจแผ่วเบา “โชคไม่ดีที่คนผู้นั้นไม่ได้ติดตามมาที่นี่ด้วย หากแต่ก่อนจากได้มอบยาให้ข้า เป็นยาที่สามารถปรับสมดุลร่างกายของฝ่าบาทได้”
ฟังเขาพูดจบ องค์ฮ่องเต้บนบัลลังก์สูงก็อดรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้
ชิงเยี่ยหลีเห็นแล้วนัยน์ตาพลันทะมึนลง เขาเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ฝ่าบาท ร่างกายพระองค์ยังคงอ่อนแอเกินควร ต้องรักษาไปทีละน้อย แม้ไม่อาจกล่าวว่าอาการจะหายเป็นปลิดทิ้ง แต่อย่างน้อยก็สามารถรักษาสมดุลของร่างกาย ฝ่าบาทจะไม่ไอออกมาเป็นเลือดอีก”
“สามารถทำได้เช่นนั้นเลยหรือ?” ชิงเยี่ยหลีพูดเช่นนั้น เยว่มู่เฉินจึงเริ่มมีความหวัง
อาการไอเป็นเลือดของเขานั้น ทุกครั้งที่โลหิตและพลังชี่พลุ่งพล่าน เขาจะมีอาการไออย่างรุนแรง ทั้งยังไอเอาเลือดออกมาจำนวนมาก จากนั้นอาการเขาก็จะทรุดลงในทันที
หากสามารถบรรเทาอาการนี้ได้แม้เพียงนิดชีวิตเขาจะสุขสบายขึ้นมาก
“ข้าเชื่อว่าฝ่าบาทจะเชื่อคำพูดข้า” ชิงเยี่ยหลีพูดน้ำเสียงไร้อารมณ์ “นักปรุงยาคนอื่น ๆ ในดินแดนนี้มีฝีมือไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของคนผู้นั้น”
“เราย่อมเชื่อคำชางไห่อ๋อง หากแต่คนมีความสามารถเช่นนี้ หากเราสามารถ…..” เยว่มู่เฉินลังเลเล็กน้อย สายตามองตรงไปยังชิงเยี่ยหลี “ข้าหวังว่าชางไห่อ๋องจะสามารถเกลี้ยกล่อมคนผู้นั้นมาทำงานให้แคว้นหลินยวนได้”
สิ้นเสียงองค์ฮ่องเต้ กลิ่นอายรอบตัวของชิงเยี่ยหลีก็เปลี่ยนไปในพลัน รัศมีกดดันแผ่ออกมาจากร่างเขา ส่งผลให้ทุกคนในท้องพระโรงหายใจไม่ทั่วท้อง เยว่มู่เฉินที่อยู่ใกล้เขามากที่สุดก็ถูกแรงกดดันไปด้วย ใบหน้ายิ่งซีดขาวลงกว่าเดิมในทันที
“สำหรับคนบางคนแล้ว ข้าว่าฝ่าบาทอย่ามีความคิดใดต่อเขาเลยจะดีกว่า” นัยน์ตาดั่งสัตว์ร้ายภายใต้หน้ากากจ้องมององค์ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ยกสูงด้วยความเย็นชา “หลินยวนมีเพียงข้าก็พอ”
จากนั้นแรงกดดันพลันสลายหายไป ทุกคนเริ่มหายใจได้เต็มปอดอีกครา
บุรุษลึกลับทรงอำนาจผู้นี้ได้รับปากว่าจะอยู่ที่หลินยวน เพื่อช่วยสนับสนุนเยว่มู่เฉินเพราะเยว่มู่เฉินเคยช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อหลายปีก่อน เขาจึงช่วยสยบความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั่วอาณาจักรในคราเดียว ทำให้ฮ่องเต้ที่มีร่างกายอ่อนแอขี้โรคผู้นี้สามารถได้รับความสนับสนุนจากเหล่าขุนนาง ได้ขึ้นครองราชย์ในที่สุด นับเป็นแรงส่งให้เยว่มู่เฉินครองบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง
ด้วยอำนาจและความแข็งแกร่งเช่นนี้ของเขา หากต้องการก็สามารถประกาศตนเป็นฮ่องเต้ครองแคว้นได้ แต่เขาไม่ทำ ดังนั้นผู้คนจึงรู้จักนิสัยเขาเป็นอย่างดี รู้ว่าบุรุษผู้นี้คือคนรักษาคำพูด
ชิงเยี่ยหลีไม่ใช่คนของหลินยวนและไม่ใช่คนของดินแดนใด ๆ บนโลกนี้ ทุกคนต่างคิดว่าเป็นบัญชาจากสวรรค์ที่ส่งบุรุษผู้นี้มาให้แคว้นของพวกเขา ช่วยให้แคว้นหลินยวนได้กลายเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่เหนือใคร
แต่พวกเขากลับหลงลืมไปว่าชิงเยี่ยหลีไม่ใช่คนที่พวกเขาสามารถควบคุมได้ แม้เยว่มู่เฉินจะเป็นฮ่องเต้ หากแต่ทั้งสองคนไม่ได้ปฏิบัติต่อกันเหมือนฮ่องเต้และขุนนาง คนทั้งคู่เป็นเหมือนสหายที่มีอำนาจเท่าเทียมกันเสียมากกว่า
เมื่อครู่เยว่มู่เฉินกังวลใจเกินไปหน่อย น้ำเสียงจึงฟังเหมือนกำลังสั่งโดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่ชิงเยี่ยหลีไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น ที่ใส่ใจคือเยว่มู่เฉินไม่ควรคิดจะให้ชิงอวี่มาทำงานให้พวกเขา
ตั้งแต่นางลืมตาดูโลกมา นางก็ถูกลิขิตให้อยู่สูงเหนือผู้คน ไม่มีผู้ใดมีอำนาจพอให้นางก้มหัวให้ได้
เยว่มู่เฉินเห็นแววความเย็นเยียบในดวงตาชายหนุ่มแล้วก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนหัวเราะเสียงเบาออกมา “เมื่อครู่เราตื่นเต้นเกินไปจนเผลอตัว เราไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
“ฝ่าบาทน่าจะรู้ว่านักปรุงยาระดับสูงเย่อหยิ่งถึงเพียงไหน พวกเขาไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใดโดยง่าย ครั้งนี้เป็นเพราะนางออกปากเองว่าจะช่วย” ชิงเยี่ยหลีกล่าว ส่งขวดกระเบื้องเคลือบเล็ก ๆ สองขวดให้บริวารด้านข้าง “ปริมาณที่ต้องใช้มีอธิบายอยู่ที่ขวด ของสองสิ่งนี้จะช่วยปรับสมดุลร่างกายให้ฝ่าบาท”
“ลำบากเจ้าแล้ว” เยว่มู่เฉินเอ่ยด้วยความซาบซึ้งใจ
“ฝ่าบาท ข้ามีเรื่องบังอาจขอหนึ่งเรื่อง” ชิงเยี่ยหลีพลันลุกขึ้นยืน จากนั้นเอ่ยปากพูดขึ้นมา แม้เขาจะเอ่ยว่าเป็นเรื่องขอร้อง หากแต่น้ำเสียงที่ใช้เปล่งคำขอนั้นทั้งเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ข้าต้องการสละยศชางไห่อ๋อง!”
“ว่าอย่างไรนะ?”
เมื่อเขาเอ่ยคำเหล่านั้นออกมา ไม่เพียงเยว่มู่เฉินที่ตกใจ หากแต่มั่วทั้งท้องพระโรงเบื้องล่างต่างพากันตกตะลึงราวกับถูกฟ้าผ่าโดยพลัน
ชางไห่อ๋องเป็นเทพสงครามของหลินยวน เป็นขวัญกำลังใจของกองทัพ หากไม่มีเขาอยู่แล้ว แคว้นหลินยวนต้องเกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่เป็นแน่
เยว่มู่เฉินสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ชายหนุ่มค่อย ๆ เปิดปากพูดเสียงค่อย “เหตุใดจึงอยากสละยศ? เจ้าคิดจะ….. ไปจาก หลินยวนหรือ?”
“ถูกต้อง” ชิงเยี่ยหลีตอบ
“หลายปีมานี้เป็นเพราะมีชางไห่อ๋อง แคว้นหลินยวนของเราจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ นับเป็นแคว้นอันดับต้นในเหล่าสามแคว้นใหญ่ หากท่านไม่อยู่แล้ว เหล่าแคว้นข้างเคียงที่อยู่เฉยมาโดยตลอด คงจะใช้โอกาสนี้เข้าโจมตีแคว้นหลินยวน แคว้นจำต้องตกอยู่ในอันตราย ข้าขอให้ท่านลองตรึกตรองดูอีกทีเถิด!”
แม่ทัพร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งในหมู่ขุนนางแบมือปะทะกำปั้น คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ใบหน้าเคร่งเครียดนักยามเอ่ยคำขึ้นมา หลังจากนั้นขุนนางทั้งหลายก็คุกเข่าลงโดยพร้อมเพรียงกัน คนทั่วทั้งห้องโถงใหญ่คุกเข่าก้มหน้าลงทั้งหมด
“พวกเราขอให้ชางไห่อ๋องทบทวนใหม่ด้วย!”
“ชางไห่อ๋อง หากไม่มีท่าน แคว้นหลินยวนก็ไม่อาจยืนหยัดอยู่ต่อไปได้!”
“ขอชางไห่อ๋องโปรดรั้งอยู่ต่อได้หรือไม่!?”
เห็นภาพตรงหน้าแล้วชิงเยี่ยหลีก็มีสายตาทะมึนลง ริมฝีปากเหยียดตรง
ส่วนเยว่มู่เฉิน นอกจากความรู้สึกตกใจในตอนแรกแล้ว ตอนนี้เขาสงบอารมณ์ตนลงได้แล้วลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกร จากนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชิงเยี่ยหลี ริมฝีปากสีซีดขาวโค้งขึ้นเล็กน้อย “เรารู้ว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึงตั้งแต่แรก ไม่ช้าก็ต้องเร็ว หากแต่เราไม่คิดว่ามันจะมาอย่างกะทันหันเช่นนี้”
“เป็นเพราะเจ้าพบคนที่ตามหามาโดยตลอดแล้วงั้นหรือ?”
เยว่มู่เฉินยังจำว่าเดิมทีเหตุผลหลัก ที่ทำให้ชิงเยี่ยหลียังอยู่กับแคว้นหลินยวน นอกจากเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้แล้ว ยังเพื่อตามหาคนผู้หนึ่งที่มาจากโลกเดียวกันกับเขา สิบกว่าปีที่เขาพำนักอยู่ที่หลินยวน เขาส่งคนข้ามมหาสมุทรออกตามหาคนผู้นั้นอยู่หลายครา หากแต่ก็ล้มเหลวไม่เจอคน
ครั้งนี้เป็นเพียงการเดินทางไปแคว้นชิงหลาน เมื่อกลับมาถึงหลินยวนกลับเอ่ยปากขอเรื่องเช่นนี้ออกมาโดยพลัน เยว่มู่เฉินไหวพริบเฉียบคม เดาออกในทันทีว่าเรื่องราวต้องเป็นเช่นนั้นแน่
ชิงเยี่ยหลีไม่ปฏิเสธ “คนผู้นั้นได้ยินว่าท่านช่วยชีวิตข้า ดังนั้นจึงกล่าวว่าหากมีโอกาสเดินทางมายังหลินยวน นางต้องรักษาอาการฝ่าบาทได้แน่ และข้า….. ตั้งแต่อดีตติดตามอยู่ข้างกายนางมาโดยตลอด ไม่เคยพรากจากกันนานถึงเพียงนี้”
เยว่มู่เฉินหัวเราะเบา ๆ “เราสงสัยใคร่รู้จริงว่าผู้ใดที่สามารถทำให้เจ้าทำถึงเช่นนี้ได้ แต่เราคิดว่าคงจะเป็นแม่นางที่งดงามไม่ธรรมดาเป็นแน่!”
คงจะเป็นเช่นนั้นแน่ กระทั่งบุรุษอย่างชิงเยี่ยหลียังอ่อนโยน จนถูกกำไว้ในมือได้เช่นนี้ (1)
“หากชะตาบันดาล ท่านก็จะได้พบนางเช่นกัน”
เยว่มู่เฉินพลันหันหลังให้เขา จากนั้นโบกมือส่งสัญญาณให้บริวารรับใช้ส่วนตน
บริวารผู้นั้นรีบก้าวไปด้านหน้า ก่อนประกาศกับเหล่าขุนนางในทันที “การว่าราชการเช้านี้จบลงเพียงเท่านี้!”
เหล่าขุนนางเบื้องล่างพากันออกไปด้วยความนบน้อม กระทั่งเหล่าบริวารข้าหลวงยังโค้งตัวแล้วเดินออกไป ภายในท้องพระโรงอันกว้างใหญ่เหลือเพียงเยว่มู่เฉินและชิงเยี่ยหลี หากแต่ตอนนี้ฮ่องเต้หนุ่มยังหันหลังให้ จึงไม่อาจมองเห็นว่ามีสีหน้าเป็นอย่างไร
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจยาวออกมา
“รวมปีนี้ไปด้วย เจ้าก็มาอยู่ที่แคว้นหลินยวนได้สิบสามปีแล้ว กลายเป็นว่าอีกไม่นานเจ้าก็จะจากไป” เยว่มู่เฉินเอ่ยขึ้นเสียงเบา หากฟังดูดี ๆ ไม่สามารถสัมผัสถึงอารมณ์ใดในคำพูดได้ “ข้านับถือเจ้ามาก ซินเหยียนเองก็ชอบเจ้ามากกว่าข้าที่เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของนาง เวลาสิบสามปีเต็มนี้….. ชิงเยี่ยหลี ข้าจะขอเป็นครั้งสุดท้าย ขอเพียงสิ้นปีนี้ผ่านไป เข้าค่อยจากไปได้หรือไม่?!”
ตอนนี้ในห้องโถงเหลือเพียงชายหนุ่มสองคน เยว่มู่เฉินไม่ได้ใช้น้ำเสียงเป็นทางการกับเขาอีก หากแต่คุยกันเหมือนสหายทั่วไป ฟังดูเป็นกันเองกว่าเดิมนัก
ชิงเยี่ยหลีคิดว่าเยว่มู่เฉินเชิญคนอื่น ๆ ให้ออกไปเป็นเพราะต้องการกล่อมให้เขาอยู่ต่อ ไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะตรงไม่ตรงมา ไม่เอ่ยหว่านล้อมใด ๆ เช่นนี้
แต่ถึงจะทำเช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไป ไม่ว่าจะเอ่ยสิ่งใดย่อมไม่อาจเปลี่ยนใจเขาได้
ใบหน้าชิงเยี่ยหลียังคงสงบไร้อารมณ์ “ขอบคุณฝ่าบาทที่เข้าใจ แม้ข้าจะจากไป แต่หากแคว้นหลินยวนเกิดปัญหา ข้าย่อมยื่นมือเข้าช่วย”
ร่างผอมสูงของฮ่องเต้หนุ่มทำเพียงยกมือขึ้นโบก เป็นเครื่องหมายว่าชิงเยี่ยหลีออกไปได้
ไม่อาจรู้ได้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ที่เหลือเพียงฮ่องเต้หนุ่มในห้องโถงใหญ่เช่นนี้ หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เยว่มู่เฉินจึงถอนหายใจยาวออกมา ทิ้งตัวลงนั่งบนบัลลังก์ด้วยใบหน้าเศร้าใจ
อาจเป็นเพราะเขารู้จักชิงเยี่ยหลีมานาน พอรู้ว่าเขากำลังจะจากไปจึงทำใจได้ยาก คล้ายกันการที่เคยชินกับการมีคนผู้หนึ่งอยู่ในชีวิต หากแต่พริบตาคนผู้นั้นกลับหายไป
เยว่มู่เฉินถอนหายใจแผ่วเบาออกมาอีกครา จากนั้นก็ยกมือเรียวขึ้นกุมหน้าผาก
——————
ทุก ๆ ปีเมื่อเหล่าสำนักใหญ่เปิดประตูรับศิษย์ บรรยากาศโดยรอบจะครื้นเครงหากแต่ก็เคร่งเครียดไปในเวลาเดียวกัน กระทั่งนายน้อยทั้งหลายที่เอาแต่สำมะเลเทเมายังหักห้ามใจตน ปฏิบัติตนดีขึ้นมาก
สามสำนักใหญ่คานอำนาจกันเองอย่างพอเหมาะ สำนักละอองหมอกครองตำแหน่งสูงสุดมานานหลายปี ส่วนสำนักไร้สิ้นสุดก็ไล่ตามมาไม่ห่าง และแม้หุบเขาไร้กังวลจะรั้งท้าย หากแต่ก็มีอำนาจสูงส่งไม่อาจดูถูก เพียงแต่มีวิธีที่แตกต่างจากอีกสองสำนักใหญ่เท่านั้น พวกเขาฝึกฝนนักฆ่าฝีมือฉกาจที่มีทั้งอยู่ในรีตและนอกรีต เหล่าผู้ที่เรียกตนว่าคนมีคุณธรรมหลากหลายคนต่างเกลียดชังและหวาดกลัว
ณ หุบเขาไร้กังวล ชายวัยกลางคนหน้าตาเคร่งขรึมผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาไพล่มือไว้ด้านหลังก่อนเอ่ยขึ้น “เจ้าว่าอีกทีสิ?”
“ท่านเจ้าหุบเขาโปรดระงับความโกรธ ข้าน้อยถูกลอบโจมตีระหว่างการเดินทาง และพอฟื้นขึ้นมาอีกที….. เสื้อผ้าก็ถูกถอดไปจนสิ้น ทั้งยังถูกมัดไว้กับต้นไม้…..” ชายที่อยู่เบื้องล่างเดือดดาลนักจนกัดฟันแน่น “ต้องเป็นฝีมือเจ้าคนทรยศหุบเขาไร้กังวล ไป๋หลี่จีหรานผู้นั้นเป็นแน่ ข้าได้ยินมาว่าเขาเข้าร่วมเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญในฐานะนายน้อยหุบเขาไร้กังวล! บังอาจทำเรื่องเช่นนั้น หน้าไม่อายยิ่งนัก!”
“งั้นหรือ?” ชายวัยกลางคนเอ่ยคำสองคำขึ้นเสียงเบา ไม่อาจสัมผัสได้ว่าเจือด้วยอารมณ์ดีใจหรืออารมณ์โกรธ
“ท่านเจ้าหุบเขา ครั้งนี้ไม่ใช่ว่าไป๋หลี่จีหรานดื้อรั้นทระนงตนเกินไปหรอกหรือ? เราสั่งสอนเขาดีหรือไม่? อย่างไรเขาก็เคยเป็นศิษย์หุบเขาไร้กังวล เขากระทำการลบหลู่หุบเขาไร้กังวลเช่นนี้ นับเป็นการดูหมิ่นท่านเจ้าหุบเขา!”
“อย่าลากหุบเขาไร้กังวลไปพัวพันกับความแค้นส่วนตัวของเจ้า” ชายวัยกลางคนพูดตรงไปตรงมา เหลือบมองชายที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านล่างราวกับสามารถอ่านความคิดเขาได้ทะลุปรุโปร่ง “เขาเป็นคนจากแดนธาราขาว ทั้งยังเกี่ยวพันกับสี่ตระกูลใหญ่ ไม่ว่าหุบเขาไร้กังวลจะแข็งแกร่งเพียงไร เจ้าคิดว่าเราสามารถต่อกรกับสี่ตระกูลใหญ่แห่งแดนธาราขาวได้อย่างนั้นหรือ?”
ได้ยินดังนั้นเขาก็ปิดปากสนิทไม่กล้าเอ่ยคำใดอีกต่อไป ไม่ว่าเขาจะไม่พอใจไป๋หลี่จีหรานถึงเพียงไหน เมื่อเผชิญหน้ากับอำนาจสูงส่งเด็ดขาดของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ทำได้เพียงก้มหัวยอมรับอย่างขี้ขลาดเท่านั้น
เชิงอรรถ
ถูกกำไว้ในมือ อธิบายว่า ไม่ว่าบุรุษจะแข็งแกร่งดุดันถึงเพียงไหน ยามเมื่อพบคนที่ตนรักก็จะอ่อนโยนจนสามารถถูกกำไว้ในมือได้