สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 87 ข้ามาขอความช่วยเหลือ
บทที่ 87 ข้ามาขอความช่วยเหลือ
เมื่อเขาถามมาเช่นนั้น มู่ไหลก็มีหน้าทะมึนลงอีก ดูโกรธเคืองอยู่เล็กน้อย “ข้าไม่รู้ว่านางอยู่ที่ใด นอกจากชื่อนาง ข้าก็ไม่รู้อันใดอีก”
เฟิงฉีได้ยินเช่นนั้นก็พูดไม่ออก “…..” คุณหนูมู่ ท่านพูดจริงหรือ?
หลังจากหลอกให้ดีใจว่าจะมีคนมาช่วยเหลือแล้ว ตอนนี้กลับบอกข้าว่าไม่รู้ว่าสหายผู้นี้อยู่ที่ใดงั้นหรือ…..
นี่คงเป็นความรู้สึกราวขึ้นสวรรค์แล้วร่วงลงสู่นรกในพลันสินะ!
มู่ฉือที่อยู่ไม่ไกลนัก ได้ยินแล้วถึงกับสำลักอากาศ พี่สาวเขาพูดล้อเล่นอยู่หรือ? หากใช่ก็คงเป็นมุกตลกที่ฝืดเฝื่อนนัก เวลานี้คงไม่เหมาะมาเล่าเรื่องตลกหรอกกระมัง?
ตอนนี้จะอยู่หรือตายยังไม่อาจตัดสินได้ เจ้าอย่ามาเล่นตลกผ่อนบรรยากาศแถวนี้ได้หรือไม่?
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของคนทั้งคู่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังราวกับนางเพิ่งก่อบาปมหันต์ไป ขมับซ้ายขวามู่ไหลก็เต้นตุบ ๆ นางพูดเสียงลอดไรฟันออกมา “ข้ารู้จักเพียงชื่อนาง นางมีนามว่าชิงอวี่ ทั่วทั้งแดนนี้ นอกจากเทพสังหารจากแคว้นหลินยวนแซ่ชิงแล้วก็ไม่มีผู้ใดมีแซ่เดียวกันอีก!”
ไม่แน่ว่าชื่อก็อาจเป็นชื่อปลอม!
มู่ฉืออยู่ห่างออกไปไม่มาก ไม่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมด เพียงได้ยินคำว่าชิงเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงถามขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว “นางชื่ออะไรนะ?”
“นางมีนามว่าชิงอวี่”
…..
ภายในเรือนสงบเงียบ ชิงเป่ยเพิ่งจะเข้าใจฝ่ามืออสนีบาตขั้นใหม่ กำลังดีอกดีใจยิ่งนัก ดังนั้นแม้ตอนนี้จะดึกมากแล้ว แต่เขากลับไม่รู้สึกง่วงงุนแม้แต่น้อย
ในตอนที่กำลังจะเดินไปบอกข่าวดีกับชิงอวี่นั่นเอง หูเขาก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวบางอย่างที่กำลังเคลื่อนเข้ามาที่เรือน อาจเป็นเพราะพลังบำเพ็ญของเขาที่เพิ่มสูงขึ้น ประสาทรับเสียงจึงไวกว่าเดิม
นัยน์ตาเด็กหนุ่มหรี่ลง ดึกดื่นเช่นนี้ หรือจะเป็นสตรีผู้นั้น โม่หานเยียนยังไม่ยอมรามือคิดกำจัดพวกเขา ส่งมือสังหารมาอีกงั้นหรือ?
หึ เขากำลังคันมือ ไร้ที่ใดให้ลองวิชาอยู่พอดี
หากแต่ประตูห้องด้านในกลับส่งเสียงขึ้นก่อนจะเลื่อนเปิดออก ชิงเป่ยเห็นแล้วชะงักไป “พี่ ท่านยังไม่หลับหรือ?”
ชุดคลุมสีขาวบนร่างเด็กสาวทั้งเรียบร้อยและเรียบง่าย ไม่มีรอยยับสักรอย ดวงตาของนางใสกระจ่างไร้ความง่วงดังเช่นคนที่เพิ่งตื่นนอน
“เสียงดังอึกทึกเช่นนี้ ไม่ตื่นคงยาก” ชิงอวี่เอ่ยเสียงเข้ม นางกำลังจะเข้านอน หากแต่กลับได้ยินเสียงเคลื่อนไหวประหลาดดังขึ้น ดังนั้นจึงต้องลุกขึ้นมาดูว่าเป็นปีศาจตัวใดที่กำลังคืบคลานเข้าใกล้เรือนของนางเช่นนี้
ชิงเป่ยประหลาดใจไปเล็กน้อย เขาสัมผัสการเคลื่อนไหวแผ่วเบานั่นได้เพราะพลังบำเพ็ญเพียรมีมากขึ้นอย่างรวดเร็ว หากแต่นางกลับบอกว่า….. เสียงดังอึกทึกงั้นหรือ?
ดูท่าความต่างของพลังยังห่างอยู่อีกมาก! ชิงเป่ยถอนหายใจออกมา
เมื่อสัมผัสได้ว่าผู้ที่คิดจะบุกรุกเรือนสงบเงียบนั้นได้เข้ามาถึงสวนด้านนอก ยืนอยู่ที่หน้าประตูเรือนแล้ว ชิงอวี่ก็เลิกคิ้วขึ้น เข็มทองในมือส่องประกายเยียบเย็นท่ามกลางห้องมืดมิด
แต่ที่แปลกคือ คนผู้นั้นกลับยืนอยู่นอกประตูไร้การเคลื่อนไหว รออยู่ครู่หนึ่งจึงยื่นแขนออกมาเคาะประตู
??
ชิงอวี่ส่งสายตาสงสัยให้ชิงเป่ยซึ่งก็ดูงุนงงไม่แพ้กัน นี่มันเรื่องอะไรกัน? เปลี่ยนกลยุทธ์งั้นหรือ? ใช้มารยาทก่อนใช้กำลัง??
ตามกฎเจ้าไม่ขยับข้าก็ไม่ลงมือ ผู้ที่อยู่นอกประตูไม่ขยับ เด็กแฝดจึงไร้ความเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน หากแต่พริบตาต่อมา คนผู้นั้นกลับส่งหนึ่งฝ่ามือใส่ประตูเพื่อผลักมันเปิดออก พริบตานั้นเองเข็มทองในมือชิงอวี่ก็ถูกซัดออกไป
คนนอกประตูแท้จริงแล้วคือมู่ฉือ เหล่าคนในตำหนักนักฆ่าต่างคุ้มกันเขาให้หนีออกมาได้
เมื่อเขาได้ยินคำว่าชิงอวี่ที่หลุดออกจากปากมู่ไหล เขาคิดว่าตนคงหูฝาด สตรีปีศาจและชิงอวี่เป็นคนประเภทตรงกันข้าม ไม่อาจพบเจอกันได้แน่นอน เหตุใดพวกนางจึงรู้จักกันทั้งยังดูจะสนิทสนมกันมากอีกด้วยเล่า?
แต่เมื่อมู่ไหลเริ่มอธิบายว่าคนผู้นั้นคือแม่นางน้อยผู้งดงามมีเสน่ห์ ยามปลอมกายเป็นชายก็ดูหล่อเหลายิ่งนัก มู่ฉือจึงนึกถึงคนผู้นั้นทันที แม่นางที่สามารถสั่นสะท้านจิตใจเขาได้ผู้นั้น เขายังจำใบหน้าอึดอัดเคล้าความอับอายน้อย ๆ ของนางตอนที่เขาเผยตัวจริงนางได้อยู่จนถึงตอนนี้
เมื่อวันนี้เดินทางมาที่นี่อีก มู่ฉือจึงรู้สึกสับสนในใจนัก
หากแต่เขาไม่มีเวลาให้คิดมากนักเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างกำลังพุ่งแหวกอากาศมาที่ใบหน้า เขาพลันสัมผัสได้ถึงอันตราย ส่งผลให้เขากระโดดหลบไปอีกด้านในพริบตา หากแต่เข็มทองมีความเร็วเหนือกว่า มันถากผ่านแก้มเขา เกิดเลือดเป็นรอยยาวบนใบหน้า
“เจ้าเองหรือ?” เมื่อเห็นตัวคน ชิงเป่ยก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาด คนผู้นี้คือชายหนุ่มที่มายังเรือนสงบเงียบเพื่อสารภาพรักกับชิงอวี่เมื่อก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่? อีกทั้งยังเป็นองค์ชายหกที่ถูกถอดยศด้วย??
เหตุใดเขาจึงมายังเรือนสงบเงียบดึกดื่นเช่นนี้? อีกทั้งยังมาอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ!
ชิงอวี่เห็นดังนั้นก็ชะงักไปเช่นกัน ราวกับคิดว่าผู้บุกรุกจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้นอกจากมือสังหาร แต่กลับเป็นมู่ฉือที่นางเคยแกล้งไว้ นางจึงรีบร้องขึ้นทันที “เป็นอะไรหรือไม่!?”
เข็มของนางทาพิษไว้ หวังว่าจะไม่ถูกเขาเข้าหรอกนะ
มู่ฉือส่ายหัว “แค่รอยถากนิดหน่อย ไม่เป็นไร”
ชิงอวี่โยนขวดกระเบื้องขวดหนึ่งให้เขา “กินยาถอนพิษเผื่อไว้ดีกว่า แม้แผลจะเล็ก แต่ความแรงของพิษข้าไม่เล็กตามหรอกนะ”
“ขอบใจ” มู่ฉือกล่าว จากนั้นใช้ฟันเปิดฝาขวด เทเม็ดยาด้านในออกมาแล้วกินมันเข้าไป ความรู้สึกไม่สบายตัวที่เริ่มพลุ่งพล่านในร่างพลันมลายหายไปทีละน้อย
ชิงอวี่เหลือบนัยน์ตาหงส์ของนางขึ้น มองชายหนุ่มที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมด้วยความสนใจ “เกิดอะไรขึ้น? เจ้าต่อสู้มาหรือ?”
ชายหนุ่มยิ้มขื่นออกมา “ไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการถูกทุบอยู่ฝ่ายเดียวต่างหาก”
“เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้” ชิงอวี่กอดอก จากนั้นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “แล้วเจ้ามาที่เรือนสงบเงียบกลางดึกเช่นนี้เพื่อมาหาที่ซ่อนตัวหรือ?”
ครั้งแรกที่เจอกัน คนผู้นี้ถูกนักฆ่าตามไล่ล่า อีกทั้งยังถูกพิษร้าย ตกลงมาบนแปลงสมุนไพรของนาง
“ไม่ใช่ ชิงอวี่ ข้ามาที่นี่เพื่อขอให้เจ้าไปช่วยคน เวลาเราไม่เหลือแล้ว ข้าค่อยเล่ารายละเอียดระหว่างทางได้หรือไม่?” มู่ฉือกล่าว ใบหน้าดูเร่งรีบนัก
แม้เรือนที่ชานเมืองหลวงจะไม่ห่างจากจวนหย่งอันอ๋องมากนัก แต่กว่าจะมาถึงที่นี่ได้ก็ใช้เวลาพอสมควร อีกทั้งเขายังใช้วิชาตัวเบาเพื่อย่นระยะอีกด้วย
“ช่วยคน?” ชิงอวี่ชะงักไป “ตอนนี้?”
“ถูกต้อง ตอนนี้เลย เวลาไม่คอยท่า ยิ่งเสียเวลาคนพวกนั้นจะยิ่งตกอยู่ในอันตราย”
ชายหนุ่มที่มักมีรอยยิ้มชั่วร้ายประดับบนใบหน้า อีกทั้งยังชังกฎเกณฑ์ ในตอนนี้กลับมีสีหน้าเคร่งเครียด “พวกเขากำลังรับมือกับคนผู้หนึ่งที่ถูกคำสาปราชันอสรพิษทมิฬ มนต์ดำอสรพิษระดับสอง เขาถูกควบคุมร่างจนไร้สติไปแล้ว ตอนนี้กำลังอาละวาดไล่ฆ่าคน พี่สาวข้ากล่าวว่าเจ้าสามารถถอนมนต์ดำอสรพิษนี่ได้ พวกเขาป้องกันข้าหนีออกมาก็เกือบจะไม่รอด หากเจ้าไม่ไปช่วยพวกเขาตอนนี้ต้องมีคนตายเพิ่มแน่!”
เมื่อชีวิตคนตกอยู่ในอันตราย ชิงอวี่จึงหุบยิ้มในพลัน “ขอเวลาข้าประเดี๋ยว”
เมื่อเห็นนางเดินไปค้นของในกองขวดยาทั้งหลาย ชิงเป่ยก็เม้มปากแน่น ก่อนเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา “ให้ข้าช่วยหรือไม่?”
“ไม่จำเป็น เสี่ยวเป่ย เจ้าอยู่ที่เรือนนี่ หากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ข้าไม่อยากให้เจ้าได้รับบาดเจ็บ” ชิงอวี่พูดทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ จากนั้นนางก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
“ระวังตัวด้วย” เห็นดังนั้นชิงเป่ยจึงไม่ดึงดัน หากแต่ร้องเตือนไปเท่านั้น
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไรแน่” ชิงอวี่ยิ้มปลอบ จากนั้นกระโดดข้ามประตูหลังออกไปจากเรือน
ณ เรือนแห่งหนึ่งยังชานเมืองหลวง ทั่วทั้งเรือนตกอยู่ในความยุ่งเหยิง
เนื่องจากการโจมตีของราชันอสรพิษทมิฬสามารถกัดกร่อนได้ทุกสิ่งอย่าง ทุกคนจึงทำได้เพียงตั้งรับ หลบเลี่ยงอยู่ตลอด อีกทั้งเจ้าของร่างยังเป็นสหายของพวกเขา หากไม่มั่นใจว่าไม่อาจช่วยเหลือได้อีกต่อไป พวกเขาจึงไม่อาจโจมตีเขาได้
“หัวหน้า! ตื่นขึ้นเสียที! อย่าให้ปีศาจนั่นควบคุมท่านได้อีกต่อไปเลย!”
ชายหนุ่มหน้าตาดีผู้หนึ่งกระโดดหลบเงาอสรพิษไปด้านข้าง มันพุ่งเฉียดปลายเสื้อเขาไปเพียงนิด เนื้อผ้าเปื่อยยุ่ยไปในทันที อีกนิดก็จะถูกเนื้อที่อยู่ด้านในแล้ว
เขาหลั่งเหงื่อเย็นออกมาในพลัน เมื่อครู่เขาเกือบทิ้งชีวิตตนไปแล้ว รอดมาเพียงหวุดหวิดเท่านั้น
เมื่อมองไปยังใบหน้าของคนตรงหน้าที่ไม่เหลือเค้าความเป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มก็ขอบตาแดงก่ำ ชายที่ทรงพลังเช่นนั้น ผู้ที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขามาในอดีตมาโดยตลอดกลับต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ เหตุใดโชคชะตาจึงโหดร้ายนัก!?
“อาจ้าน เจ้ายอมแพ้แล้วงั้นหรือ? ไหนเจ้าบอกว่าสักวันหนึ่งจะทำให้หุบเขาไร้กังวลเป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่ไงเล่า? เจ้าบอกว่าหากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ตำหนักนักฆ่าจะไม่มีทางล่มสลายไม่ใช่หรือไง? เจ้าคิดจะยอมแพ้ไปทั้งอย่างนี้หรือ?!”
ชายร่างกำยำตัวสูงใหญ่ตะโกนเสียงแหบแห้ง ก่อนจะหวดหมัดเข้าไปที่หัวงูยักษ์ด้านบน แรงหมัดทำให้หัวงูยักษ์ชะงักไป มองไม่เห็นชั่วขณะ
ในพริบตานั้นเอง ชายหนุ่มที่ขอบตาแดงก่ำตัวสั่น สติพลันกลับมาในทันใด
เขาเห็นว่าพี่น้องของเขาทุกคนต่างมีสภาพดูแทบไม่ได้ ทุกคนต่างบาดเจ็บไม่น้อย ใบหน้าโศกเศร้าเสียใจ หัวงูยักษ์ที่ชะงักค้างไปราวกับพยายามจะเข้าควบคุมร่าง หัวงูเล็ก ๆ นับพันหัวเองก็ส่ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับมีจิตวิญญาณสองจิตกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด พยายามควบคุมเหนืออีกฝ่ายให้ได้
“อ๊าก~~~ อ๊ากกกกก~~~ ฆ่าข้า!!! สังหารข้าเสีย!!!”
ร่างสูงของชายผู้นั้นพลันคุกเข่าลงกับพื้น มือทั้งสองข้างจิกลงบนศีรษะตน หลั่งน้ำตาเป็นเลือดออกมาจากนัยน์ตาทั้งสองข้าง เป็นภาพที่น่าสะเทือนขวัญนัก “สังหารข้า….. ฆ่าข้า!!!”
“อาจ้าน!!!”
“หึ ๆ อย่าคิดจะกำจัดข้าไปได้ ร่างดีเช่นนี้สุดท้ายต้องตกเป็นของข้าแน่นอน!” หัวงูยักษ์เอ่ยขึ้นอย่างหยิ่งผยอง จากนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะบ้าคลั่งออกมา
มู่ไหลกำแส้ในมือแน่น นัยน์ตาทะมึนลง สายไปแล้ว ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ แม้มู่ฉือจะตามคนมาสำเร็จ แต่เกรงว่าชายผู้นั้นไม่อาจรอดชีวิต
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตกอยู่ในความทรมานอย่างใหญ่หลวง เป็นครั้งแรกที่ความสิ้นหวังเริ่มผุดขึ้นในใจของมู่ไหล นางเป็นนักปรุงยา หากแต่ไม่อาจช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ทรมานของชายตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย
หลังจากเปล่งเสียงร้องทรมานดังลั่นออกมาอีกสองสามครา ชายหนุ่มที่ยังถูกหัวงูยักษ์ควบคุมร่างก็เงื้อดาบขึ้น จากนั้นแทงลงตรงตำแหน่งหัวใจตนเอง ทุกคนที่เห็นภาพนั้นต่างหยุดหายใจไปโดยพลัน
“อาจ้าน หยุดนะ!!”
“เจ้าพวกมนุษย์บัดซบ! รนหาที่ตายหรือ!?”
หัวงูยักษ์แผดน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธขึ้น ดังผสมกับเสียงร้องของคนในตำหนักนักฆ่า พลันมีเสียงเหล็กกระทบกันดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ดาบในมือชายหนุ่มถูกซัดจนกระเด็นหลุดออกจากมือ ส่วนหัวงูยักษ์ก็เปล่งเสียงร้องดังลั่นออกมา หัวงูเล็กทั้งหลายก็ส่งเสียงฝ่อ ๆ ออกมาด้วยความเจ็บปวด
จากนั้นเสียงเท้าแผ่วเบาคู่หนึ่งก็เดินเข้ามาในเรือน
ทุกคนหันไปมอง พบกับเด็กสาวในชุดกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ที่กำลังเหยียบย่างเข้ามาพร้อมกับแสงจันทร์สีเงินที่ส่องลงบนร่าง ใบหน้างามเย้ายวนใจของนางมีแสงจันทร์ส่องล้อ มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มหนึ่ง ท่าทางนางผ่อนคลายสบายใจราวกับเดินอยู่ในสวนเรือนตนเอง
เมื่อเด็กสาวปรากฏตัวขึ้น หัวงูยักษ์ก็กรีดร้องเสียงเจ็บปวดออกมาในพลัน เหล่าหัวงูน้อยใหญ่อื่น ๆ ก็พากันสั่นกลัวก่อนจะสลายหายไปจนทุกคนต่างตื่นตะลึงไปตาม ๆ กัน
เด็กสาวเลิกคิ้วขึ้นสูง “หืม? เหตุใดจึงหนีเสียล่ะ?”