สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 92 หุบเขาพญายม
วันที่ต้องออกไปฝึกในป่าเขามาถึงอย่างรวดเร็ว
เยี่ยนซีโหรวและเยี่ยนซีอู่ได้รับคำสั่งเข้มงวดจากท่านแม่ของพวกนาง สั่งว่าหากไม่อาจเป็นมิตรกับเด็กแฝดจากเรือนสงบเงียบได้ อย่างไรก็ห้ามเป็นศัตรู
แม้สองพี่น้องจะไม่รู้ว่าเหตุใดท่านแม่ตนจึงสั่งมาเช่นนั้น แต่เมื่อได้ยินว่ากระทั่งโม่หานเยียนที่ฉลาดปราดเปรื่องกลับพ่ายแพ้แก่เด็กแฝด ความประหม่าก็กัดกินอยู่ในใจพวกนางจนทำตัวเงียบเชียบไป
ได้ยินว่าเจ้าเด็กชิงอวี่นั่นยังเป็นนักปรุงยา ติดตามนางอาจพอได้รับประโยชน์บ้าง ดังนั้นพวกนางทั้งสองคนจึงเริ่มวาดแผนของตนอยู่ในใจ
ฉินฟางเดินทางมาถึงจวนหย่งอันอ๋องตั้งแต่เช้าตรู่ มาในเวลาที่เหล่าบ่าวไพร่เพิ่งลืมตาตื่น ขอบฟ้าเพิ่งจะเปลี่ยนสีคล้ายสีท้องปลา ไม่คิดว่าจะมีเงาร่างสองเงามายืนอยู่ที่หน้าประตูแล้ว ดูท่าเด็กทั้งสองคนจะมารออยู่แล้วพักหนึ่ง
ฉินฟางเผยใบหน้าเจือแววชื่นชม จากนั้นเดินไปแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าสองคนตื่นเช้าขนาดนี้เลยหรือ?”
เด็กสองคนหยุดพูดคุยกันเมื่อเห็นฉินฟางเดินมา ชิงอวี่ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านผู้อาวุโสยังมาถึงตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้ พวกข้าจะให้ท่านรอได้อย่างไร”
ฉินฟางพยักหน้าด้วยความพอใจ เดิมทีเขาตั้งเวลาไว้ที่ของยามเหม่าสามเค่อ (1) ยามเช้า แต่เขามาก่อนเวลาราวหนึ่งเค่อ เห็นได้ชัดว่าเด็กแฝดสองคนนี้มานั่งรอเขาอยู่นานแล้ว เขาชอบคนรักษาเวลาเช่นนี้นัก
แต่ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาที่กำหนด เยี่ยนซีโหรวและเยี่ยนซีอู่ยังมาไม่ถึง ฉินฟางจึงยืนคุยกับเด็กแฝดอยู่ครู่หนึ่ง
นัยน์ตาฉลาดล้ำลึกของเขาจับจ้องไปยังเด็กสาวใบหน้างดงามผู้มีดวงตายิ้มแย้ม ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าแม่นางน้อยผู้นี้ซุกซ่อนความลับไว้มาก ตั้งแต่ครั้งที่นางสามารถปกปิดพลังบำเพ็ญอันลึกล้ำของตนเองได้ในตอนนั้น ฉินฟางก็เริ่มสงสัยว่าความสามารถที่แท้จริงนางอาจจะมีมากกว่าที่นางแสดงออกให้เห็น
ในใจคิดดังนั้น ปากจึงเอ่ยถามออกมา “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงต้องการให้พวกเจ้าออกไปแต่เช้า?”
ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็คลี่ยิ้ม จากนั้นหันไปมองเด็กหนุ่มข้างกาย เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ท่านต้องการให้พวกเราตื่นเช้าให้เป็นนิสัย ร่างกายจะได้ปรับตัวได้ดี ซึ่งจะช่วยในการบำเพ็ญเพียรงั้นหรือ?”
ฉินฟางขมวดคิ้วก่อนส่ายหน้า
ชิงอวี่หัวเราะเสียงเบา จากนั้นเอยขึ้น “เป็นเพราะครั้งนี้เราจะเดินทางไปหุบเขาพญายม ที่นั่นเต็มไปด้วยไอพิษ ยิ่งแดดแรงก็จะยิ่งหนาแน่นขึ้น แต่พอถึงยามเหม่าหมอกพิษพวกนั้นก็จะล่าถอยไป เราจึงสามารถเดินทางเข้าไปที่นั่นได้ ไม่เช่นนั้นฟ้าสว่างเมื่อไหร่ก็ไม่อาจเข้าไปได้อีก”
ชิงอวี่อธิบาย เด็กหนุ่มพยักหน้ารับฟัง
ฉินฟางจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจะเดินทางไปหุบเขาพญายม? แล้วรู้เรื่องยามที่หมอกพิษจะจางลงได้อย่างไร?”
“ช่วงที่ผ่านมา ผู้อาวุโสสอนเราเรื่องหลากหลายสถานที่ที่มีอันตรายทุกแขนง ทั้งยังอธิบายลักษณะและจุดอ่อนของอสูรวิญญาณหลายชนิด หุบเขาพญายมมีชื่อเรื่องอสูรวิญญาณ มีพวกมันหลากชนิดย่างกรายอยู่ทั่ว อีกทั้งยังไม่อันตรายจนเกินไป เหนือกว่าระดับมาตรฐานเพียงเล็กน้อย เหมาะกับพวกเราที่คิดจะออกไปใช้ชีวิตหาประสบการณ์ด้านนอกพอดิบพอดี”
“ส่วนเรื่องเวลาที่หมอกพิษจางลง…..” ชิงอวี่หยุดคำไปเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงพอใจ “ข้ารู้ตอนออกไปยังเขตหุบเขาพญายมและรั้งอยู่ที่นั่นคืนหนึ่ง”
คำพูดของเด็กสาวยิ่งทำให้ฉินฟางตกตะลึงกว่าเดิม
หมายความว่าแม้นางจะไม่รู้เรื่องอันใด แต่ก็สามารถใช้เบาะแสที่มีอยู่น้อยนิดที่เขาเผลอเผยออกมาระหว่างการสนทนาชี้สถานที่ที่เขาคิดจะพาไปฝึกฝนได้!
แม่นางตัวน้อยเช่นนี้หาญกล้าไปสำรวจสถานที่อันตรายด้วยตัวคนเดียว!
ความกล้าหาญของนางทำให้ฉินฟางอดถอนหายใจดังออกมาไม่ได้ นับเป็นตัวอย่างของลูกวัวไม่กลัวเสืออย่างแท้จริง
ชิงเป่ยที่อยู่ด้านค้างได้แต่มองนาง เพราะเหตุนี้เมื่อสองวันก่อนจึงไม่เห็นนางกลับเรือน นางออกไปสำรวจสถานที่ล่วงหน้านี่เอง
คนทั้งสามพูดคุยกันต่อไป เวลาผ่านไปอีกสามเค่อโดยไม่ทันรู้ตัว จากนั้นเสียงฝีเท้ารีบร้อนก็ดังมาจากในจวนหย่งอันอ๋อง เงาร่างเยี่ยนซีอู่ปรากฏขึ้นก่อน ตามมาด้วยเยี่ยนซีโหรวที่ดูท้อแท้ไร้เรี่ยวแรง คล้ายกับยังไม่ตื่นเต็มตา
แม้ฉินฟางจะไม่พอใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอันใด ยามเหม่าสามเค่ออาจผ่านไปแล้วแต่ก็ไม่นับว่าสายมากนัก
อย่างไรพวกนางก็เป็นคุณหนูที่ถูกเอาใจจนเคยชิน มีทั้งชุดและอาหารชั้นดีมอบให้ อีกทั้งยังไม่เคยตื่นเช้าเช่นนี้มาก่อน เทียบกับชิงอวี่และชิงเป่ยแล้วฉินฟางจึงไม่ค่อยพอใจคู่พี่สาวน้องสาวเท่าไรนัก แม้จะอยู่ในจวนอ๋องเหมือนกัน แต่เด็กสองคนนี้มีนิสัยแตกต่างกันมาก
หุบเขาพญายมตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแคว้นชิงหลาน หากขี่ม้าจากเมืองหลวงไปใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ถึงตอนนั้นฟ้าคงยังไม่สว่างมาก
หลังจากฉินฟางพาพวกนางมาถึงที่ เขาจะไม่เดินทางเข้าไปด้วย เขามอบป้ายหยกสื่อสารให้แต่ละคน หากพบอันตรายหรือไม่อาจอยู่ที่นั่นได้อีกต่อไป ก็ให้ทำลายป้ายหยก จากนั้นก็จะสามารถออกมาได้ แต่หากทำลายป้ายหยกก็จะหมายความว่าการฝึกครั้งนี้ล้มเหลว
สภาพแวดล้อมภายในหุบเขาพญายมนั้นไม่เหมือนปกติ ภายในมืดสนิทอยู่ตลอด ภายในมีแสงสว่างเพียงวันละสองชั่วยามเท่านั้น เวลาที่เหลือจะมีเพียงความมืดมิด หากอยู่ในนั้นนานเกินควรก็อาจลืมวันลืมเวลาได้
ดังนั้นฉินฟางจึงกำหนดเวลาการฝึกฝนครั้งนี้ไว้ที่สิบวัน
หลังจากผ่านพ้นสิบวันไปเขาจะกลับมารับทุกคนที่นี่
เมื่อเดินทางมาถึงหุบเขาพญายม ท้องฟ้าก็เริ่มมีแสงส่องสว่างเสียมาก ค่อย ๆ ส่องสว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทางเข้าสู่หุบเขาเผยตัวขึ้นภายใต้หมอกขาวชั้นหนึ่ง เป็นรูจากต้นไม้รูปร่างเอนแปลกประหลาด มีขนาดสูงราวกับคนหลายคนต่อตัวกัน
“ข้ามาส่งพวกเจ้าถึงตรงนี้ พวกเจ้ามุ่งหน้าต่อไปได้!” ฉินฟางเอ่ยเสียงเรียบ “ภารกิจสำหรับการฝึกครั้งนี้คือการรวบรวมแก่นผลึกอสูรวิญญาณระดับสามหรือมากกว่านั้นมาอย่างน้อยห้าชิ้น”
“รับทราบแล้ว ผู้อาวุโส” ทุกคนตอบรับ
ทุกคนเดินฝ่าหมอกหนาเข้าไปภายใต้สายตาคอยเฝ้าระวังของฉินฟาง พริบตาที่พวกเด็ก ๆ เดินเข้าไป หมอกก็ดูหนาขึ้นเป็นเท่าตัว อีกทั้งยังปลดปล่อยกลิ่นหอมจางออกมา
ฉินฟางรีบถอยไปหลายก้าวแล้วปิดปากปิดจมูก หมอกพิษนี่อันตรายอย่างที่เขาคิด ไม่รู้ว่าพวกเด็ก ๆ จะรั้งอยู่ไหวหรือไม่
ทางเข้าสู่หุบเขาที่เป็นโพรงต้นไม่รูปร่างประหลาดในตอนนี้ถูกกลุ่มหมอกปิดบังไว้ ไม่อาจเห็นได้อีกต่อไป
แต่ฉินฟางจากไปได้ไม่นาน ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ถูกหมอกพิษหนาปกคลุม จู่ ๆ ก็สั่นสะท้านราวกับเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา โพรงทางเข้าก็หายไปไม่มีเหลือ กลายเป็นเพียงต้นไม้สูงตั้งเรียงกันในป่าธรรมดา ๆ เท่านั้น
“จิ้งจอกน้อยไปหุบเขาพญายม?”
ภายในห้องส่วนตัว ณ หอเสาวคนธ์ นัยน์ตาสีม่วงของชายหนุ่มผู้หนึ่งเผยประกายแวววับยามเอ่ยถาม
ตรงหน้าเขาคือไป๋จือเยี่ยนที่พยักหน้ารับ “ถูกต้อง ข้าเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้ ดูท่าเมื่อวานจะออกเดินทางกันตั้งแต่ไม่ทันรุ่งสาง นางเดินทางครั้งนี้ดูเหมือนกับการฝึกฝนบำเพ็ญตนเพื่อให้สามารถเข้าสำนักละอองหมอกได้”
“งั้นหรือ?” โหลวจวินเหยายกยิ้มมุมปาก จากนั้นเอ่ยถามต่อ “สถานการณ์ในแดนเมฆาสวรรค์ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“เหล่านักปรุงยาที่เรารับเข้ามามีพวกสายสืบหมายจะเขามาล้วงข้อมูลอยู่พอสมควร แต่ปีศาจน้อยหัวไวนัก นำเอายาแก้พิษที่ชิงอวี่ปรุงออกมาแล้วให้คนทั้งหมดระบุส่วนผสมของตัวยาออกมา อีกทั้งยังต้องปรุงยาที่เหมือนกันออกมาเป็นการทดสอบ เจ้าคิดว่าผลออกมาเป็นอย่างไร?”
ไป๋จือเยี่ยนถูกถึงตรงนี้ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี “ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องปรุงยา ไม่มีใครสามารถระบุส่วนผสมยาได้ถูกต้องด้วยซ้ำ ข้าต้องขอพูด ณ ตรงนี้ว่าแม่นางน้อยไม่ไปยังแดนเมฆาสวรรค์นั้นน่าเสียดายนัก นางมีความรู้ความสามารถเช่นนี้ แม้จะเป็นในแดนธาราขาว แต่หัวหน้าสมาคมนักปรุงยายังต้องสละตำแหน่งให้นาง”
“เจ้าชื่นชมนางถึงขั้นนั้นเลยหรือ?” โหลวจวินเหยาเอ่ยขึ้น ใบหน้ามีรอยยิ้มแทบมองไม่เห็น
ผู้ที่สามารถอยู่ข้างกายโหลวจวินเหยาย่อมไม่ใช่คนธรรมดา แต่ละคนมีโรคเฉพาะอยู่โรคหนึ่ง นั่นคือโรคหยิ่งผยอง นอกจากนายท่านตนเองแล้ว กับคนอื่นก็จะมองดูถูกไปทั้งหมด ไป๋จือเยี่ยนคือผู้ที่เป็นโรคนี้รุนแรงที่สุด
กระทั่งในแดนเมฆาสวรรค์เองยังมีผู้คนไม่มากที่สามารถทำให้เขามองเห็นในสายตาได้ แต่คนผู้นี้กลับมองชิงอวี่ด้วยสายตาชื่นชมมาตลอด
ไป๋จือเยี่ยนได้ยินแล้วก็กะพริบดวงตาดอกท้องามหนึ่งครา “ย่อมเป็นปกติ วิชาแพทย์นางก้าวหน้าไปกว่าข้าหลายขุม ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อตอนนั้นที่นางยังเป็นเพียงแม่นางน้อยบริสุทธิ์คนหนึ่งแต่กลับหลบหนีจากเงื้อมมือเจ้าได้โดยไร้รอยขีดข่วน กระทั่งชิงเอาแก่นเพลิงเยือกแข็งไปได้ ความกล้าหาญและเฉลียวฉลาดของนางเท่านั้นก็เพียงพอให้ข้าชื่นชมนางแล้ว!”
“แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ” ใบหน้าหยอกล้อของไป๋จือเยี่ยนพลันจางลง “คำสาปที่เจ้าถูกตอนนั้นทรงพลังมาก กระทั่งข้ายังไม่อาจเข้าใกล้เจ้าได้ เหตุใดแม่นางน้อยแตะต้องเจ้าแล้วกลับไม่เป็นอะไรเล่า?”
โหลวจวินเหยาไม่รู้จะพูดอะไร “…..”
หากนักปรุงยาฝีมือดีเช่นเจ้าไม่รู้ แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร?
โหลวจวินเหยาไม่เอ่ยคำใด หากแต่ใบหน้าไป๋จือเยี่ยนชะงักค้างไปครู่หนึ่งราวกับเพิ่งนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ น้ำเสียงยามเอ่ยออกมาอีกคราดูลังเลนัก “หรือจะเป็นอย่างที่เขาเล่ากันในนิทานพวกนั้น? ที่ว่ามีแต่คนที่มีโชคชะตาต่อกันเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าใกล้ได้?”
โหลวจวินเหยาตาเป็นประกาย จากนั้นเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าว่าเจ้าอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่อบอุ่นอ่อนโยนเช่นนี้นานเกินควร ความคิดเช่นนั้นของเจ้าอันตรายนัก”
ไป๋จือเยี่ยนงุนงง “อันตรายหรือ?”
“ข้าก็อายุหลายร้อยปีแล้ว สำหรับข้า จิ้งจอกน้อยนั่นก็ไม่ต่างไปจากเด็กตัวเล็กใสซื่อคนหนึ่ง เจ้าพูดคำเช่นโชคชะตาฟ้าลิขิตออกมาได้เช่นนี้ ไม่ฟังดูอันตรายหรอกหรือ?” โหลวจวินเหยาโต้กลับ
ไป๋จือเยี่ยนใบหน้าจริงจัง “แล้วอย่างไร? แม้แม่นางน้อยจะอายุน้อยไปสักหน่อย แต่จิตใจนางและวิธีจัดการปัญหาต่าง ๆ ของนางไม่อาจเรียกได้ว่าใสซื่อ อีกทั้งนางยังมีรูปโฉมงดงาม อุปนิสัยก็งาม เหตุใดจึงจะเป็นโชคชะตาของเจ้าไม่ได้?”
พูดถึงตรงนี้ ท่าทางของไป๋จือเยี่ยนก็ดื้อดึงนัก ไม่พอใจกับความคิดของโหลวจวินเหยา ไป๋จือเยี่ยนนั้นถือข้างจิ้งจอกน้อยราวกับจะบอกว่า “แม่นางน้อยดีไปเสียทุกอย่าง เจ้าจะไม่ชอบนางได้อย่างไร?”
โหลวจวินเหยาไม่สนใจคำบ่นของอีกฝ่าย ขมับทั้งสองข้างเต้นตุบ ๆ พยายามอดทนอดกลั้นไม่ให้โยนคนตรงหน้าออกนอกหน้าต่างไป สุดท้ายก็เอ่ยเสียงนุ่มขึ้น “ได้ยินว่าเจ้าช่วยยูนิคอร์นอสนีบาตที่บาดเจ็บไว้เมื่อตอนนั้นก้าวขึ้นสู่ระดับสิบเอ็ดแล้วงั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว ครั้งก่อนที่มันก้าวหน้าขึ้น ข้าเกือบถูกอสนีบาตของมันฟาดจนร่างแยก ดินแดนระดับล่างเช่นนี้น่ารำคาญใจนัก อสูรวิญญาณระดับสูงกว่าแปดต้องถูกขังให้ดี” โหลวจวินเหยาหันเหความสนใจไป๋จือเยี่ยนได้สำเร็จ “จะว่าไป ข้าไม่คิดเลยว่าดินแดนระดับต่ำเช่นนี้ยังมีอสูรวิญญาณดีเช่นนี้อยู่ หากฟูมฟักเลี้ยงดูมันอย่างดี อาจมีโอกาสก้าวเป็นยอดอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้เลยกระมัง”
“แล้วเจ้านำมันไว้ที่ไหน?” แม้จะต้องลงเกราะป้องกันไว้ชั้นหนึ่งแล้ว แต่อสูรเช่นยูนิคอร์นอสนีบาตนั้นไม่อาจเลี้ยงไว้ในสถานที่ธรรมดาได้
เชิงอรรถ
ยามเหม่าสามเค่อ คือเวลา ตี 5:45 ยามเหม่าคือช่วงเวลา 05.00 – 06.59 น. หนึ่งเค่อคือ 15 นาที