สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 100 ข้าจะย้ายไปนอนกับท่านอา
บทที่ 100 ข้าจะย้ายไปนอนกับท่านอา
บทที่ 100 ข้าจะย้ายไปนอนกับท่านอา
มีเสียงคนเข้ามา มู่ซืออวี่รีบจัดแจงเสื้อผ้า แกล้งทำเป็นล้างมือ
“ท่านแม่…” ใบหน้าน่ารักของลู่จื่ออวิ๋นเข้ามาใกล้ “หน้าท่านแดงมาก ท่านแต้มชาดใช่หรือไม่?”
“อย่าซน” ความร้อนในอกของมู่ซืออวี่ที่เพิ่งลดลงพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง “อยากกินของอร่อยหรือไม่? ถ้าอยากกินก็ไปก่อไฟ ข้าจะทำอาหารแล้ว”
บรรยากาศในบ้านดูผิดแปลกไป มู่ซืออวี่ไม่กล้ามองสบตาลู่อี้ ลู่อี้ทำงานอยู่เงียบ ๆ ส่วนลู่เซวียนส่งเสียงหัวเราะแปลก ๆ ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ปึก!
จู่ ๆ มู่ซืออวี่ก็ชนลู่อี้เสียอย่างนั้น
“ข้าขอโทษ” นางกล่าวขอโทษพลางลูบหน้าผากตัวเอง
ลู่อี้รับเอาของที่อยู่ในมือนาง แล้วนำไปให้อาหารไก่ในลานบ้าน
กุ๊ก ๆ
ทันทีที่โรยอาหารลงไป เจ้าพวกลูกเจี๊ยบก็กระโดดอย่างมีความสุข
มู่ซืออวี่มองไปทางลู่อี้ครั้งแล้วครั้งเล่า รูปร่างผ่าเผยนั้นราวกับภูผา แค่ยืนอยู่ที่นั่นก็ทำให้คนรู้สึกปลอดภัยแล้ว
“กระทะจะไหม้แล้ว” ลู่ฉาวอวี่หยุดอยู่ข้างนาง น้ำเสียงราบเรียบนั้นแฝงการกลั่นแกล้งเอาไว้นิด ๆ “ข้าไม่อยากกินขนมเปี๊ยะไหม้ อันที่จริงคำแนะนำของท่านอาก็ดี ข้าย้ายไปนอนกับท่านอาก็ได้”
มู่ซืออวี่ได้สติทันที “อย่าพูดจาไร้สาระ ข้ากำลังคิดบางสิ่งอยู่ต่างหาก”
“อ้อ” ลู่ฉาวอวี่ไม่ได้เปิดโปงความปากแข็งของนาง
ตอนกินข้าว มู่ซืออวี่กำลังจะหยิบขนมเปี๊ยะชิ้นหนึ่ง บังเอิญว่าลู่อี้ก็อยากจะกินขนมเปี๊ยะเช่นกัน ตะเกียบสองคู่จึงยื่นออกมา ชะงักค้างอยู่บนขนมเปี๊ยะชิ้นนั้น
ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะถอนสายตากลับพร้อม ๆ กัน
และแล้วตะเกียบอีกคู่ก็คีบขนมเปี๊ยะชิ้นนั้นขึ้นมา
ลู่อี้และมู่ซืออวี่มองเฉิงเหย่าจิน*[1] คนนั้น
“ข้าว่าขนมเปี๊ยะชิ้นนี้คงร้อนไปสักหน่อย พวกเจ้าคงไม่อยากกิน เช่นนั้นข้าจะกินแทนเอง” ลู่เซวียนชิมหนึ่งคำแล้วเอ่ยอย่างกำกวม “กรอบกว่าขนมเปี๊ยะชิ้นอื่นจริง ๆ ของอร่อยย่อมมีคนฉกไปกินเป็นธรรมดา”
มู่ซืออวี่ไม่เคยเป็นคนกระบิดกระบวน นางพยายามทำจิตใจของตัวเองให้สงบแล้วกลับสู่สภาพดังเดิม มีเพียงนางที่รู้ดีว่าจิตใจของตนกำลังกระสับกระส่าย
หญิงสาวไม่กล้ามองสบตาลู่อี้แม้แต่น้อย ถึงนางจะไม่ได้กล่าว ไม่ได้ทำอะไร แต่ดวงตาคู่นั้นก็มองมาราวกับว่าลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง แผดเผานางให้เป็นจุณ ความรู้สึกนี้แปลกนัก นางทำอะไรไม่ถูกอีกต่อไป
หลังจากกินข้าวเย็นแล้ว มู่ซืออวี่ก็เก็บของในครัวแล้วย้ายถังอาบน้ำเข้าไปในห้องนอน
“ข้าทำเอง” ลู่อี้ยืนอยู่ข้างหลังนาง
มู่ซืออวี่ได้ยินเสียงของเขาจึงวางถังไม้ขนาดใหญ่ที่เคลื่อนย้ายยากลงมา
นางดูเขาย้ายมันอย่างง่ายดายแล้วตามไปขอบคุณเขา
“ขอบคุณ”
“ข้าอยู่บ้าน งานหนักเช่นนี้เรียกข้าก็ได้แล้ว เจ้าอยู่บ้านตรากตำทุกวัน ข้าไปทำงานช่วยอะไรไม่ได้ ในตอนที่ข้าอยู่ เจ้าเรียกข้าก็พอ” ลู่อี้เอ่ยต่อไปว่า “อีกเรื่องก็คือ เจ้าเก็บนี่ไว้”
“นี่คืออะไร?”
นางเห็นเขาส่งห่อผ้าห่อหนึ่งมาให้จึงรับมาเปิดดู
“เงินรึ?” มู่ซืออวี่มองเขาด้วยความประหลาดใจ “เอามาจากไหน? เจ้ายังไม่ถึงเวลารับเบี้ยหวัดประจำเดือนไม่ใช่หรือ?”
“ข้าช่วยเหลือผู้อื่นเล็กน้อย เขาจึงให้ข้ามา” ลู่อี้กล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
มู่ซืออวี่รู้สึกไม่สบายใจ นางสบตาลู่อี้ “เงินนี้… พวกเรารับมาได้จริงรึ? เจ้าฉลาดเช่นนี้ ข้าจะไม่พูดให้มากความ เจ้าเข้าใจความหมายของข้าใช่หรือไม่?”
“ก่อนหน้านี้เจ้าเคยพูดไว้ ข้าจดจำได้เสมอ นี่เป็นเงินที่ได้มาอย่างถูกต้อง ไม่สกปรกอย่างแน่นอน” ลู่อี้มองนางด้วยสายตาอบอุ่น
“เช่นนั้นข้าจะช่วยท่านเก็บไว้ก่อน”
“ในบ้านคนเยอะขนาดนี้จำเป็นต้องใช้เงิน ถึงเวลาต้องใช้ก็ใช้มัน ท่านฉินให้โอกาสข้าไม่น้อย ขอแค่ข้าคว้ามันเอาไว้ได้ จะต้องไม่จำกัดอยู่เพียงเท่านี้เป็นแน่”
แน่นอนว่าเรื่องนี้นางรู้ แต่เพราะนางรู้มากเกินไปถึงไม่วางใจ
“เจ้าไปอาบน้ำเถอะ”
ขณะที่มู่ซืออวี่ยังถือเงินไว้ด้วยความมึนงง ลู่อี้ก็นำน้ำร้อนเข้ามาแล้ว
ในตอนที่นางนิ่งงันอยู่นั้น เขาก็ผสมน้ำร้อนกับน้ำเย็นด้วยสัดส่วนที่เหมาะสมแล้วเตือนนางขึ้นอีกครั้ง “หากมีเรื่องคิดไม่ตกก็เอาไว้ค่อยคิดทีหลัง ตอนนี้อาบน้ำก่อน ไม่เช่นนั้นน้ำจะเย็น”
มู่ซืออวี่ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย “รู้แล้ว ขอบคุณ…”
ทว่าหลังจากที่ลู่อี้ออกไปแล้ว ข้างในกลับเดือดพล่าน
ลู่อี้นึกดูว่าวันนี้มู่ซืออวี่พูด ‘ขอโทษ’ ‘ขอบคุณ’ กี่ครั้งแล้ว ครั้นนึกถึงดวงตาคู่นั้นของนางที่ฉายแววไม่ยอมรับและระแวดระวังขึ้นมา จู่ ๆ ก็รู้สึกไม่สบายใจ
หลังจากแต่งงานกันมาหลายปี ในอดีตเขาหวังว่า ‘มู่ซืออวี่’ จะไม่ยั่วยุเขา จะดีที่สุดหากทำเหมือนว่าเขาไม่มีตัวตน ทว่าตอนนี้กลับไม่สบายใจขึ้นมา นางเปลี่ยนเป็นอีกคน แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงจริง ๆ
มู่ซืออวี่อาบน้ำเสร็จก็ออกมา ทันทีที่เปิดประตู ลู่อี้ที่กำลังตัดฟืนอยู่ตรงลานบ้านก็พูดขึ้น “อย่าเพิ่งย้าย เจ้าเพิ่งอาบน้ำเสร็จ หากย้ายอีกก็อาบน้ำไปเปล่า ๆ แล้ว ข้าทำเอง”
“ขอบคุณ” มู่ซืออวี่กล่าว
ลู่อี้ก้าวเข้าไปในห้องนอน มองหญิงสาวที่งดงามราวกับดอกฝูหลงฮวา*[2] ภายใต้แสงสลัวเลือนราง ชะงักงันขึ้นมาทันใด
นางสวมชั้นในเพียงสองชิ้นที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ใส่ได้พอดีกับขนาดตัว บนตัวเสื้อและกางเกงมีลวดลายดอกไม้เล็ก ๆ ปักอยู่อย่างสวยงาม
ผมยาวสยายลงมา อาจจะสัมผัสน้ำเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจขณะที่อาบน้ำ ปลายผมจึงเปียกอยู่บ้าง ใบหน้าเล็กแดงระเรื่อประหนึ่งกลีบผกา ภายใต้แสงจันทร์ ดวงตาคู่นั้นราวกับอัญมนี ช่างงดงาม เปล่งประกายยิ่งนัก
“เจ้าเป็นอะไร ไม่ใช่ว่าเจ้าจะไปเทน้ำให้ข้าหรือ ยืนงงอยู่นี่ทำไม?” มู่ซืออวี่ดึงปลายเสื้อของลู่อี้
ลู่อี้ได้สติ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าขยับไปข้าง ๆ ที่นี่คับแคบเกินไป ข้าจะได้ไม่ชนเจ้า”
เมื่อครู่นี้ชนเข้ากับนาง ตอนนี้หน้าผากยังมีรอยแดง เห็นได้ว่าผิวของหญิงผู้นี้บอบบางขนาดไหน
ลู่อี้เทน้ำที่นางอาบทิ้ง เปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองแล้วไปยังห้องอาบน้ำด้านหลัง เมื่อเขากลับมาที่ห้อง จู่ ๆ ก็ถูกผลักเข้าไป
มู่ซืออวี่อยู่ในห้องด้วย
“อวิ๋นเอ๋อร์บอกว่าฉาวอวี่ไม่สบาย จึงให้ข้ามาดู แล้วฉาวอวี่เล่า?”
ทันทีที่เอ่ยคำนี้ออกมาก็ได้ยินเสียงลงกลอนจากนอกห้อง
มู่ซืออวี่อึ้งไปชั่วขนะ จากนั้นจึงหันกลับไปดึงประตู พบว่าถูกลงกลอนไว้จากข้างนอกจริง ๆ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่บอกว่าวันนี้อยากนอนกับท่านอา” เสียงเจื้อยแจ้วของลู่จื่ออวิ๋นดังเข้ามา “ห้องนี้ต่อไปก็เป็นห้องของท่านแม่กับท่านพ่อแล้ว จื่ออวิ๋นโตแล้ว อยากนอนคนเดียวแล้ว”
“อวิ๋นเอ๋อร์อย่าซน รีบเปิดประตูเร็วเข้า” มู่ซืออวี่ชักจะร้อนรน
โดยเฉพาะในตอนที่ยังมีชายที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จอยู่ข้างหลัง
ลมหายใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้ชายนั้น ถึงแม้ไม่ได้พูดอะไรก็ทำให้นางรู้สึกเกร็งขึ้นมา
ลู่อี้เดินเข้ามาดึงประตู จึงดูเหมือนกับกำลังโอบกอดนางไปด้วย ประตูส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแต่ไม่ขยับแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงของประตูกับเสียงกลอนกระทบกันเท่านั้น
“ช่างเถอะ วันนี้ดึกมากแล้ว นอนกันก่อนเถอะ” ลู่อี้ก้มหน้าลง กระซิบใกล้ ๆ หูของนาง
จู่ ๆ ขาของมู่ซืออวี่ก็อ่อนปวกเปียก ล้มลงบนตัวเขา
รอยยิ้มปรากฏในดวงตาของลู่อี้ ชายหนุ่มเปลี่ยนมากอดนางเอาไว้
“ข้า ข้า… ข้าอยากกลับไปนอนที่ห้อง” มู่ซืออวี่ดิ้นขลุกขลักออกจากอ้อมแขนของเขา
“แต่เจ้าก็เห็นแล้ว คืนนี้เกรงว่าพวกเขาคงไม่เปิดประตูให้พวกเราแล้ว” ลู่อี้พูด “ข้าจะนอนบนพื้น เจ้านอนบนเตียง ผ่านคืนนี้ไปก่อน พรุ่งนี้พวกเขาก็เปิดประตูแล้ว”
[1] เฉิงเหย่าจิน มักใช้กล่าวถึงนักรบที่งุ่มง่าม ชอบปรากฏตัวขึ้นทำลายแผนการโดยไม่คาดคิด
[2] ดอกฝูหลงฮวา คือ ดอกชบา