สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1003 ความทะเยอทะยานของฉีซืออี้
บทที่ 1003 ความทะเยอทะยานของฉีซืออี้
บทที่ 1003 ความทะเยอทะยานของฉีซืออี้
งานแต่งใกล้เข้ามาแล้ว ลู่ฉาวอวี่กลับยิ่งงานยุ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
หมู่นี้คดีเกือบเกี่ยวข้องกับขุนนางในราชสำนัก เริ่มแรกเป็นขุนนางพลเรือนขุนนางทหารขั้นต่ำ ทว่าไม่นานนี้เริ่มเลื่อนระดับกลายเป็นขุนนางขั้นสี่ขั้นห้า
หากจะกล่าวไปแล้ว การโจมตีภรรยากับลูก ๆ ของฉีเจิน ค่อนข้างไม่สอดคล้องกับการกระทำของโจรพวกนั้น ถึงอย่างไรฉีเจินก็เป็นขุนนางขั้นสอง ไม่ควรตกเป็นเป้าหมาย
ลู่ฉาวอวี่กำลังขี่ม้า จู่ ๆ ม้าก็ห้อตะบึงไปข้างหน้าประหนึ่งคลุ้มคลั่ง
“ใต้เท้า…” ทั้งจางอี้และหยางจงเซิงไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น ทั้งสองคนจึงตกใจนิ่งงันในทันที
“ยืนโง่อะไรอยู่? รีบตามไป!” หยางจงเซิงกล่าว
ทั้งสองตามมาทันอย่างรวดเร็ว
ลู่ฉาวอวี่ดึงสายบังเหียนม้า พลันเห็นว่าม้ากำลังจะเหยียบผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนท้องถนน
ยามนี้เอง มีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามา ช่วยเหลือหญิงชราที่ผ่านมาไว้ได้อย่างรวดเร็ว
ลู่ฉาวอวี่พันสายบังเหียนม้ากับฝ่ามือหลายทบ รีบหยุดม้าที่กำลังบ้าคลั่งเอาไว้
ม้าตัวนั้นพยายามดิ้นรน ทว่าสุดท้ายก็ยอมจำนนต่อกำลังของชายหนุ่ม
ลู่ฉาวอวี่ปลอบม้า รอให้มันสงบลงก่อนจึงจะลงมา
เขาตรวจดูอาการของม้า พบว่าเกือกของมันหลวมแล้ว เท้าของมันทั้งแดงและบวม
“ใต้เท้า เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?” จางอี้เอ่ยถาม
“เท้าม้าบาดเจ็บแล้ว เจ้าพามันไปรักษาเถอะ”
“บ่าวรับใช้ดูแลม้าพวกนั้นดูแลอย่างไรกัน? นี่เป็นม้าตัวโปรดของท่าน มันอยู่กับท่านมาตั้งแต่ยังเด็ก ไยถึงปล่อยให้มันได้รับความไม่เป็นธรรมขนาดนี้?” จางอี้บ่น
“ลองตรวจสอบดูว่านี่ใช่อุบัติเหตุหรือไม่” หยางจงเซิงกล่าว
ลู่ฉาวอวี่มองชายหนุ่มที่ช่วยคนผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่ขอบคุณท่านแล้ว”
“พวกเรายังต้องเกรงใจกันเพียงนี้หรือ?” ฟ่านซู่เอ่ย “ข้ากำลังดื่มชาอยู่แถวนี้พอดี จะไปดื่มสักถ้วยหรือไม่?”
“ไม่ละ ข้ายังมีเรื่องต้องทำ”
“ประเดี๋ยวก็จะแต่งงานแล้ว ยังยุ่งถึงเพียงนี้ หากว่าที่ภรรยารู้ว่าท่านเป็นคนงานรัดตัว จะเสียใจที่แต่งกับท่านหรือไม่?” ฟ่านซู่เอ่ยเย้าแหย่เขา
“นางไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”
“เช่นนั้นเพราะนางใจกว้าง ท่านถึงได้เลือกนางหรือ?”
ลู่ฉาวอวี่มองฟ่านซู่ “วาจาท่านคมคายขึ้นหรือไม่?”
“ได้ ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว” ฟ่านซู่เอ่ยถาม “ท่านจะแต่งงาน เสี่ยวชิงเอ๋อร์คงกลับมากระมัง?”
“กลับมาแล้วอย่างไร ไม่กลับมาแล้วอย่างไร?” ลู่ฉาวอวี่มองเขา “เด็กคนนั้นเจ้าอารมณ์ ไม่มีทางผูกติดอยู่กับที่แห่งเดียว ช้าเร็วก็ต้องจากไป”
ลู่ฉาวอวี่กระโดดขึ้นบนหลังม้าของจางอี้ ไม่สนใจสายตาสลับซับซ้อนของฟ่านซู่ เขาควบม้าออกไป
จางอี้นำม้าของลู่ฉาวอวี่กลับไปที่จวนท่านอ๋องลู่
หยางจงเซิงตามหลังลู่ฉาวอวี่ไป
“ท่านซื่อจื่อ ใต้เท้าลู่น้อยเป็นคนงานรัดตัว พวกเราไม่ต้องสนใจเขาแล้ว มาดื่มชาต่อเถิด!” เสียงของคุณชายเสเพลดังมาจากชั้นบน
ฟ่านซู่ยิ้มน้อย ๆ ตะโกนตอบข้างบน “ได้สิ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากจัดการงานทางสำนักตรวจการเสร็จแล้ว ลู่ฉาวอวี่ก็สอบถามอาการม้า เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าจะขี่มันไม่ได้อีกสองเดือน
เขายังคิดจะขี่มันไปรับเจ้าสาว นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องกับม้าที่อยู่กับเขามานานหลายปีในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ พลันรู้สึกเสียดายขึ้นมา
“ใต้เท้า เมื่อครู่นี้ผ่านจวนฉี ได้ยินว่าเกิดบางอย่างกับใบหน้าของคุณหนูจวนฉีอีกแล้ว”
“มีอะไร?”
“ดูเหมือนว่าบาดแผลจะย่ำแย่ลง อีกทั้งบาดแผลยังเน่าเปื่อยมากทีเดียว”
“ไป พวกเราไปดู”
จวนฉี
ลู่ฉาวอวี่เห็นท่านหมอออกมาจึงเอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“บาดแผลของคุณหนูฉีเน่ากว่าที่คิด ต้องได้รับการรักษาจากเทพโอสถโดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้นเกรงว่าจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้จริง ๆ แล้ว”
“เหตุใดจึงทรุดลงเร็วเพียงนี้?”
“เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับพิษ หลังจากพิษนั้นได้รับการกลั่นแล้ว พิษก็ยิ่งเข้มข้นมากกว่าเดิม สร้างความเสียหายร้ายแรงยิ่งนัก” ท่านหมอไม่อาจหาเหตุผลอื่นใด ทำได้เพียงคาดเดาแล้ว
“ท่านเขียนใบสั่งยาเถอะ เราจะต้องหาวิธีระงับมันไว้”
“ขอรับ ใต้เท้า”
ลู่ฉาวอวี่ให้หยางจงเซิงไปเคาะประตู
สาวใช้เปิดประตูออกจากด้านใน เชิญลู่ฉาวอวี่ให้เข้าไป
ฉีซืออี้ใช้แขนเสื้อของนางปิดใบหน้า ดวงตารื้นน้ำ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งร้องไห้ เมื่อนางเห็นลู่ฉาวอวี่ นางทำท่าจะลุกจากเตียงค้อมคำนับ แต่ถูกลู่ฉาวอวี่ห้ามเอาไว้
“เจ็บแผลหรือไม่?”
“ขอบคุณใต้เท้าที่เป็นห่วง ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
“คุณหนู จะไม่เป็นไรได้อย่างไรเจ้าคะ? แผลย่ำแย่ลงเพียงนี้ ท่านกลัวจนร้องไห้แล้ว…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” ฉีซืออี้กล่าวขัดสาวใช้ “ใต้เท้าอยู่ที่นี่ อย่าให้ใต้เท้าต้องขบขันข้า”
“ใต้เท้า ท่านได้โปรดโน้มน้าวคุณหนูของเราเถอะนะเจ้าคะ ให้คุณหนูของเราไปรักษากับเทพโอสถโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นนางคงเสียโฉม ชีวิตนี้คงพังพินาศแล้วเช่นกัน!”
“ข้าจะจัดเตรียมให้พวกเขาคุ้มครองท่านไปเมืองถงหยาง”
“ไม่ ข้าไม่ไป”
“คุณหนูฉียังกังวลอะไรหรือ?”
“ข้า….ข้าเพียงแค่อยากรออีกสองสามวัน รอเข้าร่วมงานแต่งของใต้เท้าแล้ว ข้าจะไป”
“งานแต่งของข้าเกี่ยวอะไรกับคุณหนูฉี? เหตุใดท่านจึงยืนกรานจะเข้าร่วมงานแต่งข้าให้ได้เล่า?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าจะไปหารือเรื่องนี้กับเสนาบดีฉี ท่านพักผ่อนให้เต็มที่เถิด อย่าได้เกาแผล จะได้ไม่ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม ขอตัว!”
หยางจงเซิงประกบมือขึ้น แล้วเดินตามลู่ฉาวอวี่ไป
ฉีซืออี้ปล่อยแขนเสื้อลง มองตามเงาร่างของลู่ฉาวอวี่ที่เดินจากไป
“ใต้เท้าลู่น้อยใจร้ายจริง ๆ เห็น ๆ อยู่ว่าคุณหนูบาดเจ็บเพื่อเขา เขากลับไม่เห็นใจแม้แต่น้อย ท่านกล่าวชัดเจนเพียงนี้แล้ว เขายังแกล้งโง่”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาแกล้งโง่ ไม่ใช่ไม่เข้าใจจิตใจข้า?” ฉีซืออี้กล่าว
“คุณหนู ขออภัยที่บ่าวต้องกล่าวตามตรง เขาเป็นใต้เท้าลู่น้อย เป็นผู้ที่รอบรู้ ชาญฉลาดที่สุดในบรรดาชนรุ่นเยาว์ในเมืองหลวง เจตนาคุณหนูชัดเจนเช่นนี้ เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไร”
“ใช่ เขาเป็นใต้เท้าลู่น้อย จะไม่เข้าใจความในใจข้าได้อย่างไร?” ฉีซืออี้เอ่ย “ข้าไม่เชื่อว่าเรื่องที่ห้าสิงทำได้ ข้าจะทำไม่ได้”
“คุณหนู ไยท่านต้องยุ่งยากเพียงนี้เล่าเจ้าคะ?” สาวใช้มองนางอย่างเห็นอกเห็นใจ “เขาใกล้แต่งงานแล้ว ด้วยสถานะของท่าน หากท่านเปลี่ยนเป็นเป้าหมายอื่น จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นเจ้าบอกข้า ทั้งเมืองหลวงมีผู้ใดดีกว่าเขาอีก?”
ฉู่หนิงจูยืนอยู่หน้าประตู ฟังบทสนทนาข้างใน ใบหน้าของนางมืดครึ้มลง
แม่นมข้าง ๆ มองฉู่หนิงจูอย่างกังวล
แม่นมเป็นแม่นมของฉู่หนิงจู ติดตามนางมาตั้งแต่เกิด หลังจากนางแต่งงานก็ติดตามนางไปยังชายแดน บัดนี้แม่นมอายุมากแล้ว นอกจากอยู่กับฉู่หนิงจูก็ไม่อาจทำอย่างอื่น
แม่นมพบเห็นสิ่งที่ฉู่หนิงจูต้องประสบพบเจอตลอดหลายปีที่ผ่านมา รู้ว่าภายในใจนางขื่นข่มเพียงใด
บัดนี้ ลูกสาวของนางกำลังเดินตามเส้นทางเดิมของมารดา สิ่งที่แตกต่างคือ ฉีซืออี้ไม่เพียงแต่มีความดื้อรั้นของฉู่หนิงจู แต่ยังมีความโดดเด่นแบบฉีเจิน ฉู่หนิงจูในตอนนั้นถอนตัวเร็ว ทว่านิสัยของฉีซืออี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่ยอมถอยง่าย ๆ
“ฮูหยิน ท่านอยากเข้าไปโน้มน้าวนางหรือไม่เจ้าคะ?”
“แม่นม ท่านก็เฝ้ามองนางเติบใหญ่มา รู้นิสัยของนางดี ผู้ที่นางชอบ แต่ไรมานางไม่เคยยอมปล่อยมือ”
ฉีเจินไม่เข้าตาบุตรชายที่นางให้กำเนิด ทว่าต่อบุตรีผู้นี้กลับรักและเอาใจเป็นอย่างมาก
อาจเป็นเพราะฉีซืออี้ตั้งแต่เล็กนั้นก็ปากหวาน หน้าตาน่ารัก ฉีเจินจึงตามใจลูกสาวคนเดียวผู้นี้เป็นพิเศษมาโดยตลอด
ลู่ฉาวอวี่ไปพบฉีเจิน อธิบายสถานการณ์ของฉีซืออี้ให้ฟัง
ฉีเจินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าลู่ ท่านคิดว่าซืออี้บ้านเราเป็นอย่างไร?”
“ข้าน้อยไม่เข้าใจความหมายของใต้เท้าฉี”