สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1014 บัลลังก์ให้ท่านนั่ง ต้องการหรือไม่?
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 1014 บัลลังก์ให้ท่านนั่ง ต้องการหรือไม่?
บทที่ 1014 บัลลังก์ให้ท่านนั่ง ต้องการหรือไม่?
บทที่ 1014 บัลลังก์ให้ท่านนั่ง ต้องการหรือไม่?
“ที่แท้เป็นเขานั่นเอง” มู่ซืออวี่จำได้แล้ว “เหตุใดเขามาอยู่ที่นี่?”
“เขาบอกว่าอาณาจักรโบราณเป็นปึกแผ่นทีเดียว เขาเบื่อเล็กน้อย จึงออกมาเดินเล่นเจ้าค่ะ” ลู่จื่อชิงเอ่ย “อย่างไรเสีย ทุกคนล้วนเป็นสหายกัน ถือเสียว่ารับรองเขาในฐานะเจ้าบ้าน”
“เช่นนั้นแท้จริงแล้วเจ้าชอบผู้ใด?” จู่ ๆ มู่ซืออวี่ก็พูดเรื่องซุบซิบขึ้นมา
ลู่จื่อชิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองมู่ซืออวี่ด้วยสีหน้างงงวย “ชอบอะไรกันเจ้าคะ?”
“เด็กคนนั้นสนใจเจ้ากระมัง? มิเช่นนั้น เขาเป็นถึงฮ่องเต้ของอาณาจักรโบราณ ไยต้องมาติดตามเจ้า? หานจือกับเจ้าเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ นิสัยใจคอเป็นอย่างไรพวกเราล้วนเข้าใจดี ต่อเจ้าแล้วก็มีใจเช่นกัน เช่นนั้นเจ้าคิดอย่างไรกับเขา?”
ลู่จื่อชิงรู้สึกร้อนแก้มขึ้นมาหน่อย ๆ
“ท่านแม่ พี่ใหญ่เพิ่งแต่งงาน ท่านคงไม่ได้คิดจะแต่งข้าออกไปอีกคนกระมัง? ตอนนี้ข้ายังเล็ก ไม่ทันคิดถึงเรื่องเหล่านั้น”
“ไยข้ากลับรู้สึกว่าพบเจ้าคราวนี้ ใบหน้าเจ้าเบ่งบานไปด้วยดอกท้อ ราวกับกำลังอยู่ในห้วงรักอย่างไรอย่างนั้น?” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้าเป็นแม่เจ้า เจ้าปิดบังผู้อื่นได้แต่ปิดบังข้าไม่ได้หรอก!”
“ข้าเห็นหลี่เยียนหรานแล้ว ข้าจะไปทักทายนางสักสองสามคำ ท่านแม่ ฮูหยินสองสามคนนั้นมาหาท่านแล้ว ท่านรับรองแขกให้ดีเถิด! เรื่องลูกสาวไม่ต้องให้ท่านกังวล” ลู่จื่อชิงเผ่นหนีไปแล้ว
มู่ซืออวี่หัวเราะออกมา
ลู่จื่ออวิ๋นเดินเข้ามา “ท่านแม่ ชิงเอ๋อร์รีบร้อนไปที่ใดน่ะเจ้าคะ?”
“นางกังวลว่าข้าจะบังคับนางแต่งงาน จึงหนีไปแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “เจ้าดูหนุ่มน้อยสองคนทางนั้นสิ ผู้หนึ่งเป็นฮ่องเต้อาณาจักรโบราณ อีกผู้หนึ่งรู้จักกันดี…”
“ชิงเอ๋อร์ไม่ใช่เด็กแล้ว คงมีความคิดเป็นของตนเอง” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “เมื่อครู่ได้ยินว่าพี่สะใภ้ถูกลอบสังหาร ข้าอยากไปดูเสียหน่อย ได้ยินว่าพี่ใหญ่อยู่ที่นั่น จึงตั้งใจว่าพรุ่งนี้ค่อยไปเยี่ยมอีกที”
“ชิงเอ๋อร์เพิ่งมาจากที่นั่น บอกว่านางบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่ร้ายแรงอะไร ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ไม่สะดวกไปเยี่ยม พรุ่งนี้ค่อยไปด้วยกันเถอะ!”
“เจ้าค่ะ”
“เย็นนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องด้วยราวเสียจริง”
“ท่านคิดว่าผู้ที่คนในเงามืดอยากจัดการคือผู้ใด? เป็นท่านพ่อหรือพี่ใหญ่ ไยถึงคิดจะยุติการแต่งงานครั้งนี้?”
“พ่อเจ้าสร้างศัตรูไว้มากมาย พี่ใหญ่เจ้าหลายปีมานี้ก็ใกล้ตามพ่อเจ้าทันแล้ว ไม่ว่าจะมาเพราะใคร อย่างไรก็มาหาเราสกุลลู่ กล่าวถึงการแต่งงานครั้งนี้ ตามหลักแล้วไม่ควรมีอะไร ถึงแม้พี่สะใภ้ของเจ้าจะเป็นบุตรสาวขุนนางเช่นกัน ทว่าบิดามารดาของนางจากไปนานแล้ว ไม่อาจเป็นภัยคุกคามผู้อื่น จากมุมมองของข้า ยังคิดว่ามาเพราะพ่อกับพี่ชายของเจ้า”
“ท่านแม่ ลูกอดเป็นห่วงท่านไม่ได้จริง ๆ” ทั้งลู่อี้และลู่ฉาวอวี่ล้วนมีคนคอยคุ้มกัน มู่ซืออวี่มักจะออกไปข้างนอก อีกทั้งคนติดตามนางก็มีไม่มากนัก นี่จึงเป็นเรื่องที่ลู่จื่ออวิ๋นกังวล
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้รังแกง่ายขนาดนั้น” มู่ซืออวี่เอ่ย “นี่ก็ดึกมากแล้ว งานแต่งพี่ชายเจ้าใกล้สิ้นสุด พวกเราเตรียมตัวไปส่งแขกเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ฟ่านหยวนซีเข้ามาหาลู่อี้แล้วเอ่ย “ข้าจะกลับวังแล้ว วันนี้นาน ๆ ทีมาร่วมความครึกครื้น นึกไม่ถึงว่าจะครื้นเครงเพียงนี้จริง ๆ งานแต่งทั่วทั้งเมืองหลวงรวมกันคงไม่มีชีวิตชีวาอย่างงานแต่งสกุลท่านกระมัง?”
“ฝ่าบาทอย่าได้รีบร้อน รอองค์รัชทายาทแต่งงาน เชื่อว่าคงคึกคักไม่แพ้กัน” ลู่อี้เอ่ย “ที่นี่ไม่ปลอดภัย กระหม่อมจะส่งท่านกลับวัง”
“ไม่จำเป็นต้องเป็นท่าน” ฟ่านหยวนซีกล่าว “อย่าได้ให้ผู้อื่นคิดว่าทั่วทั้งราชสำนักมีเพียงท่านลู่อี้ผู้เดียวที่ใช้สอยได้ เช่นนั้นแม่ทัพมากมายเพียงนั้นมีไว้ทำอะไรกัน? พวกเขาจะปกป้องข้าไม่ได้เชียวหรือ?”
ลู่อี้เดินไปส่งครอบครัวฮ่องเต้
ฟ่านซวี่คำนับลู่อี้แล้วเอ่ย “พ่อบุญธรรม ข้ากลับก่อนแล้ว พรุ่งนี้จะไปขอคำแนะนำเรื่องนโยบายบ้านเมืองจากท่าน”
“หลายวันมานี้ท่านคืบหน้าไม่น้อย ผ่านไปสักระยะ จะต้องกลายเป็นฮ่องเต้ที่ปราดเปรื่องกว่าเสด็จพ่อของท่านอย่างแน่นอน”
ผ้าม่านของรถม้าถูกยกขึ้น ฟ่านหยวนซีมองลู่อี้ด้วยสายตาไม่ปรานี “ข้าเข้าใจว่าท่านกำลังยุยงให้เขาแย่งชิงบัลลังก์ได้หรือไม่”
“ท่านมีบุตรชายเพียงผู้เดียว ช้าเร็วก็ต้องส่งต่อราชบัลลังก์ให้เขา ถึงแม้ว่าเขาจะอยากเป็นฮ่องเต้จริง ๆ ท่านจะไม่สละบัลลังก์หรือ?” ลู่อี้ไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย เปิดโปงความคิดของฟ่านหยวนซีออกมาตามตรง “อีกอย่าง ท่านไม่ได้อยากท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้ามานานแล้วรึ? เกรงว่าหากเขามีเจตนาจะแย่งชิงบัลลังก์ ท่านคงเป็นคนแรกที่ยกธงขาวร้องไชโยออกมา”
ฟ่านหยวนซียิ้มน้อย ๆ “ท่านรู้มากเกินไปแล้ว ระวังอายุจะไม่ยืนยาว”
“ถึงผู้อื่นจะตะโกนว่าท่านอายุยืนหมื่นปี แต่ท่านคิดว่าตนจะอยู่ถึงหมื่นปีจริง ๆ หรือ?”
ฟ่านหยวนซี “…”
ดังคาด เพราะให้ท้ายลู่อี้เกินไป บัดนี้นับวันอีกฝ่ายยิ่งไม่เห็นเขาฮ่องเต้ผู้นี้เป็นจริงจังแล้ว ตอนนั้นที่เขาเป็นจงอ๋อง ก็ไม่เห็นดีใจจนหลงระเริงเช่นนี้
ลู่อี้เดินเข้าไปใกล้ ๆ รถม้าแล้วเอ่ยว่า “เหตุการณ์ในคืนนี้เตือนเราว่า มีคนนั่งไม่ติดจึงคิดจะพลิกสถานการณ์ วันคืนอันสงบสุขของเราสิ้นสุดลงแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดียิ่ง” ฟ่านหยวนซีกล่าว “หลายปีมานี้ข้าเบื่อเกินไปแล้ว แม้กระทั่งมีดยังแทบขึ้นสนิม”
“อย่าได้อวดดีนัก” ลู่อี้เอ่ย “ท่านมีลูกชายผู้นี้เพียงคนเดียว หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา ท่านคิดว่าจะเป็นอย่างไร?”
ฟ่านหยวนซีหันกลับไปมองฟ่านซวี่ที่อยู่ไม่ไกล
เขามีลูกชายผู้นี้เพียงคนเดียว
ฮองเฮามีบุตรยาก อีกทั้งเขายังไม่อยากให้นางต้องทุกข์ทนจากความเจ็บปวดของการคลอดบุตรอีกต่อไป
ส่วนการรับสนมเข้ามานั้น ฟ่านหยวนซีไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้
เขาเกลียดสตรีเหล่านั้นที่มักจะส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ยิ่งรังเกียจที่ต้องเผชิญกับการแย่งชิงความโปรดปรานของพวกนาง ฮองเฮานิสัยรักสงบทั้งยังเป็นคนเรียบง่าย เขาคิดว่ากำลังดี หากเปลี่ยนเป็นสตรีอื่น เขาไม่อาจรับรองได้ว่านิสัยที่ชอบเข่นฆ่าของเขาจะไม่ปรากฏขึ้นมาอีก
“องค์รัชทายาทเรียกท่านว่าพ่อบุญธรรม เรื่องนี้ต้องมอบให้ท่านแล้ว ข้ามีท่านกับฉีเซียวจึงวางใจเป็นอย่างยิ่ง”
“ฝ่าบาทไม่เห็นข้าเป็นคนนอกจริง ๆ” ลู่อี้เอ่ย “คงไม่ใช่ข้าแปดสิบปีแล้ว ท่านยังจะทรมานข้าหนักเพียงนี้อยู่อีกกระมัง?”
“ขอเพียงท่านยังลุกจากเตียงได้ ท่านก็เป็นขุนนางที่ข้าพึ่งพาได้มากที่สุด”
“ท่านไม่ได้ยินคนข้างนอกพูดกันหรือ? จวนท่านอ๋องลู่อำนาจล้นเหลือ แม้กระทั่งคำพูดของฝ่าบาทยังไม่เป็นผลเท่ากับคำพูดของท่านอ๋องลู่ ข้าอยู่ในราชสำนักพูดหนึ่งไม่เป็นสอง ฮูหยินของข้าในใจของราษฎรแล้วก็พูดหนึ่งไม่เป็นสอง ช้าเร็วสักวันหนึ่งแผ่นดินนี้คงแซ่ลู่”
ฟ่านหยวนซีถามฟ่านซวี่ที่อยู่ข้าง ๆ “ซวี่เอ๋อร์ ได้ยินพ่อบุญธรรมของเจ้าพูดหรือไม่? หากพ่อบุญธรรมของเจ้าอยากเป็นฮ่องเต้ เจ้าจะให้หรือไม่?”
ฟ่านซวี่กล่าว “พ่อบุญธรรมยินดีจริง ๆ หรือ? เช่นนั้นท่านก็เอาไปเถอะ!”
ฟ่านหยวนซีหัวเราะเยาะ “ได้ยินแล้วกระมัง?”
ลู่อี้ “…”
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงคำพูดขบขัน ทว่ากลับมีความจริงใจหลายส่วนทีเดียว
เดิมทีฟ่านหยวนซีก็เป็นเป็ดถูกต้อนขึ้นคอน*[1] ให้นั่งในตำแหน่งนั้น หากเขาไม่นั่ง ผู้ที่จะสืบทอดราชบัลลังก์ในตอนนั้นย่อมไม่ปล่อยเขาไว้ เพื่อความอยู่รอด เขาจึงจำต้องรับตำแหน่งฮ่องเต้มา
ตอนนี้กลับแตกต่างออกไปแล้ว หากลู่อี้นั่งตำแหน่งนั้น ฟ่านหยวนซีสามารถพาภรรยากับลูกออกท่องเที่ยวได้ บัลลังก์จะมีความหมายอะไร เขานึกเสียใจนานแล้วที่ต้องขึ้นนั่งตำแหน่งนั้น
ในทำนองเดียวกัน ฟ่านหยวนซีก็รู้ดีว่าลู่อี้ไม่มีทางต้องการตำแหน่งที่ว่า ตอนนี้เขาไม่ใช่ฮ่องเต้ แต่อำนาจไม่ได้แตกต่างไปจากฮ่องเต้ เหตุใดต้องทำเรื่องเกินความจำเป็นเล่า?
อย่างไรก็ตาม มีเรื่องหนึ่งที่แน่นอน นั่นคือมีคนคิดใช้อุบาย สร้างความร้าวฉานระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางจริง ๆ ฟ่านซวี่ตกเป็นเป้าได้ง่ายโดยแท้
[1] เป็ดถูกต้อนขึ้นคอน หมายถึง ถูกบังคับให้ทำ