สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1019 ความผิดปกติของหอนงคราญ
บทที่ 1019 ความผิดปกติของหอนงคราญ
“หอนงคราญเป็นร้านขายเสื้อผ้าสตรี เขาเป็นบุรุษผู้หนึ่งออกมาจากข้างใน น่าสงสัยอยู่บ้างจริง ๆ ไม่ว่าอย่างไร ตรวจสอบก่อนไว้ค่อยว่ากัน” ลู่จื่อชิงเอ่ย “เพียงแต่หากต้องการยืนยัน ก็ต้องจัดเตรียมคนผู้หนึ่งเข้าไปตรวจสอบให้ถี่ถ้วน อยู่เพียงข้างนอกย่อมไม่พบเบาะแสใด ๆ พวกเรากลับไปหารือกันเสียหน่อย เลือกคนที่เหมาะสมสักคนเข้าไปดีกว่า”
“ได้” ซ่งหานจือเอ่ย “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ!”
“ที่บ้านเจ้าไม่มีคนอาศัยอยู่แล้ว หลายปีมานี้ก็ไม่ได้เหลือบ่าวรับใช้เอาไว้ เมื่อคืนเจ้าไปอยู่ที่ใด?”
“เรื่องเมื่อคืนค่อนข้างซับซ้อน ข้ากับสหายจี้ไปหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งพักชั่วคราว วันนี้ข้าซื้อบ่าวรับใช้มาแล้ว ตอนนี้คงกำลังจัดการปัดกวาด นับตั้งแต่วันนี้ไปอยู่ที่บ้านตนเองคงสะดวกสบายกว่ามาก”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้รู้ว่าจะไปหาเจ้าได้ที่ใด”
ซ่งหานจือกลายเป็นประมุขพันธมิตรยุทธภพ คลำเครือไปหาแตง พบว่ากองกำลังในยุทธภพมีความสัมพันธ์กับราชสำนักอย่างใกล้ชิด
ซ่งหานจือเขียนจดหมายลับไปแจ้งลู่อี้ คำตอบของลู่อี้คือให้เขาลอบตรวจสอบต่อไป ดูว่ากองกำลังจากยุทธภพคิดจะทำอะไร
ซ่งหานจือพาลู่จื่อชิงกลับไปยังจวนซ่ง
จวนซ่งไม่มีคนอาศัยอยู่เป็นเวลานานแล้ว สถานที่ต่าง ๆ ภายในค่อนข้างทรุดโทรมทีเดียว
ซ่งหานจือเพียงกลับมาพักชั่วคราวจึงไม่ได้ตั้งใจจะปรับปรุงอะไรใหญ่โต
อย่างไรก็ตามเขาทนได้ ทว่าจี้ซ่งเฉิงฮ่องเต้อาณาจักรโบราณผู้นี้กลับไม่ยินดีกล้ำกลืนฝืนทนเช่นนั้น
ด้วยเหตุนี้ เมื่อทั้งสองกลับมายังจวนซ่ง จี้ซ่งเฉิงแขกผู้นี้ก็ตัดสินโดยพลการ ชี้นิ้วสั่งการให้ช่างฝีมือปรับปรุงจวนซ่งยกใหญ่แล้ว
แน่นอน เขายังจดจำได้ว่าตนเป็นเพียงแขกจึงเพียงซ่อมแซมจวนซ่งให้มีรูปลักษณ์ตามเดิม ไม่กล้าต่อเติมแก้ไขส่วนอื่น
“เป็นอย่างไร?” จี้ซ่งเฉิงเอ่ยถาม
“พวกเราไม่ได้อยู่ที่นี่นานเพียงนั้น” ซ่งหานจือเอ่ย “เงินนี้ข้าไม่ออกนะ”
จี้ซ่งเฉิงหันกลับมา มองซ่งหานจือด้วยความตกตะลึง “เจ้าร้ายดีอย่างไรก็เป็นบุตรเอกขุนนาง ต่อหน้าสาวน้อยยังตระหนี่เพียงนี้ เจ้าไม่กลัวว่านางจะรังเกียจหรือ?”
“ไม่มีทาง” ซ่งหานจือมองลู่จื่อชิงด้วยรอยยิ้ม
ลู่จื่อชิงโบกสะบัดกระบี่ในมือไปมา กล่าวอย่างเป็นธรรมชาติ “เขาไม่ได้ตระหนี่กับข้า ไยข้าต้องรังเกียจเขา?”
“ได้ พวกเจ้าทั้งสองช่างประเสริฐจริง ๆ” จี้ซ่งเฉิงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ผู้ใดให้ข้าตามพวกเจ้ามาเล่า เงินนี้ข้าออกก็สิ้นเรื่องแล้ว”
สิ้นคำ เขาก็เริ่มบ่นขึ้นมาอีกครั้ง “ผู้ใดบอกว่าเจ้าไม่มีพรสวรรค์ในการทำการค้า ข้าว่าเจ้ากลับไม่เสียแรงที่เป็นแม่นางสกุลลู่ ฉลาดแกมโกงเสียจริง”
“กลับเข้าเรื่องเถอะ เมื่อครู่เราเพิ่งพบคนที่กำลังตามหา” ลู่จื่อชิงเอ่ย “คนผู้นั้นปรากฏตัวในหอนงคราญ เราต้องเลือกคนที่เหมาะสมลอบเข้าไป บ้านข้าไม่ขาดแคลนคน เพียงแต่ข้าคิดว่าเลือกคนจากเมืองหลวงไม่ปลอดภัยนัก จะดีที่สุดหากเลือกคนต่างถิ่นมา ผู้ที่มองแวบแรกก็รังแกได้ง่าย ๆ ผู้ที่ไม่มีคนหนุนหลัง หอนงคราญจึงจะกล้าใช้สอย”
“อีกทั้งยังต้องฉลาด มิเช่นนั้นหากมีปัญหาจะถูกเปิดโปงเอาได้ง่าย ๆ”
“เคยได้ยินเรื่องวิชาแปลงโฉมหรือไม่?” จี้ซ่งเฉิงเอ่ยถาม “ในมือข้ามีคนเช่นนั้นอยู่ผู้หนึ่ง เชี่ยวชาญด้านการแปลงโฉมเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังเข้าใจภาษาท้องถิ่นของที่ต่าง ๆ อีกด้วย”
พวกเขาทั้งสามหารือเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่นั่น จากนั้นก็มีคนผู้หนึ่งเดินเข้าประตูมา คนผู้นั้นคือพ่อบ้านจากฝั่งตรงข้าม
ลู่จื่อชิงเห็นพ่อบ้านโผล่มา จึงเอ่ยว่า “พ่อบ้าน แม่ข้าให้มาตามข้าหรือ?”
“ไม่ได้มาหาคุณหนู หากแต่เป็นคุณชายซ่งขอรับ อีกทั้งยังไม่ใช่พระชายา หากแต่เป็นท่านอ๋องที่ตามหา” พ่อบ้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณชายซ่ง ท่านอ๋องเชิญท่านไปทานมื้อเย็นขอรับ”
“นายท่านเชิญเขาไปทานมื้อเย็น เช่นนั้นข้าไปทานด้วยสักมื้อคงไม่เป็นไรกระมัง อย่างไรเสียข้าก็เป็นแขกเช่นกัน!” จี้ซ่งเฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หน้าหนาจริง ๆ” ลู่จื่อชิงบ่น “เพียงแต่ท่านเป็นแขกของข้า พ่อข้าไม่เชิญท่าน ข้าเชิญท่านเอง ไปเถอะ!”
ซ่งหานจือรู้ว่าที่ลู่อี้ตามหาเขาต้องเกี่ยวข้องกับจดหมายก่อนหน้านี้เป็นแน่
หลังจากเข้าไปในจวนท่านอ๋องลู่ เขาก็ตรงไปหาลู่อี้ในทันที
ลู่อี้กำลังรอเขาอยู่ที่ห้องตำรา
อีกด้านหนึ่ง ณ ชานเมือง ห่างออกไปจากเมืองหลวงไม่กี่ลี้ สตรีสวมหน้ากากผู้หนึ่งกำลังฟังรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาของนาง ดวงตามีน้ำตาเอ่อคลอ
แม่นมเฒ่าที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยอย่างปวดใจ “คุณหนู ตอนนี้พวกเรารักษาใบหน้าก่อนเถิด งานแต่งของใต้เท้าลู่น้อยสิ้นสุดแล้ว ท่านปล่อยวางเสีย อย่าได้ดึงดันอีกเลย”
“ข้าสู้สิงเจียซือไม่ได้หรือ?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร? คุณหนูรอบรู้ทั้งบู๊บุ๋น หากกล่าวอย่างไม่เกินจริง แม้นเทียบกับคุณหนูใหญ่สกุลลู่ หรือก็คือฮองเฮาอาณาจักรเฟิ่งหลิน ในยามนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน”
“เช่นนั้น เหตุใดเขาจึงแต่งกับหญิงกำพร้าพ่อกำพร้าแม่อย่างสิงเจียซือนั่นเล่า?”
“คุณหนู อาจเป็นเพราะพวกเขารู้จักกันมาก่อน”
“ท่านพ่อบอกว่าพวกเขาไม่มีทางได้แต่งงานกันแท้ ๆ” ฉีซืออี้เอ่ย “คำพูดเขาเชื่อไม่ได้”
“คุณหนู นายท่านก็พยายามเต็มที่แล้วนะเจ้าคะ” แม่นมเฒ่าเอ่ย “พวกเราไปเมืองถงหยางให้เทพโอสถรักษาใบหน้าก่อนเถิด! รูปโฉมของสตรีเป็นสิ่งสำคัญ หากล่าช้าไปกว่านี้ ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ เช่นนั้นจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตนะเจ้าคะ ท่านยังต้องรอดูชีวิตหลังการแต่งงานของพวกเขาอีก ตอนนี้ก็จวนจะได้เวลาแล้ว ต้องไปแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าพูดถูก ข้าไม่อาจปล่อยให้รูปโฉมตนเองเสียหาย” ฉีซืออี้มองไปทางเมืองหลวง “ข้าจะกลับมา”
แม่นมเฒ่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ขอเพียงคุณหนูยินดีรักษาใบหน้า เรื่องภายหลังรอนางกลับไปแล้วค่อยว่ากัน ถึงยามนั้นคงผ่านไปหลายเดือนแล้ว บางทีนางอาจได้พบกับคนที่เหมาะสมกับตนเองและลืมเลือนเรื่องใต้เท้าลู่น้อยผู้นั้นไป
บนถนน ลู่ฉาวอวี่ได้พบกับสหายร่วมงาน ทั้งสองจึงพูดคุยเรื่องคดีอยู่พักหนึ่ง
ลู่ฉาวอวี่มีวันลาแต่งงานครึ่งเดือน ระหว่างช่วงเวลาครึ่งเดือนนี้ เขาไม่ต้องเข้าไปที่สำนักตรวจการ สหายร่วมงานยากที่จะได้พบเขา แน่นอนว่าต้องสอบถามบางอย่างเพิ่มเติม
อันที่จริง นี่เป็นการลาแต่งงานที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมา ถึงแม้องค์รัชทายาทจะอภิเษกสมรสก็เกรงว่าจะได้พักผ่อนไม่ถึงครึ่งเดือน
สำนักตรวจการมีคดีกองเป็นภูเขา ถึงแม้ลู่ฉาวอวี่จะจัดการคดีได้ประหนึ่งเทพ ทว่าก็ไม่อาจต้านทานคดีทั่วทั้งอาณาจักรฮุ่ยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าวันหยุดครึ่งเดือนนี้เป็นสิ่งฟุ่มเฟือยอย่างแท้จริง
ลู่ฉาวอวี่ได้พักผ่อน คดีเหล่านั้นจึงส่งต่อให้กับสหายร่วมงาน ครานี้นับว่าพังพินาศโดยแท้
“สหายลู่ ในศพหญิงผู้นั้นมีเด็กอยู่ในท้อง โชคดีที่พบตั้งแต่เนิ่น ๆ เด็กผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ อู่จั้วได้รับความยินยอมจากเราจึงผ่าเขาออกมา บัดนี้ส่งตัวไปสถานเลี้ยงเด็กแล้ว”
“เขายังไม่ถึงคราวเคราะห์ ปล่อยให้อยู่ในความดูแลของสถานเลี้ยงเด็กดีที่สุด เพียงแค่แจ้งเกิดให้ถูกต้องก็พอ เพียงแต่สาเหตุการเสียชีวิตของผู้ตายเป็นเพียงอุบัติเหตุจริง ๆ หรือ?”
“จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ผู้ตายตั้งครรภ์ ท้องของนางหนักเล็กน้อย พอดีกับที่นางเพิ่งกระทบลมเย็นมา ไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรงจึงหกล้มกระแทกเข้ากับก้อนหินพอดี”
“จากที่ท่านอธิบายมา ปริมาณเลือดไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ผู้ตายในฐานะมารดา ตอนที่ล้มลงควรปกป้องท้องตนเองโดยสัญชาตญาณ แต่กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป อาจเป็นไปได้ว่านางตอบสนองช้า อย่างไรก็ตาม สถานที่เกิดเหตุดูยุ่งเหยิง ราวกับกำลังซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้…” ลู่ฉาวอวี่พูด สหายร่วมงานของเขาก็รับฟัง
ผู้ติดตามข้าง ๆ ยังถือพู่กันคอยจดบันทึกคำพูดของลู่ฉาวอวี่ด้วย
ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด กระทั่งหารือประเด็นน่าสงสัยของคดีนี้แทบหมดสิ้นแล้ว ลู่ฉาวอวี่ถึงนึกได้ว่าตนไม่ได้ออกมาข้างนอกเพียงผู้เดียว ข้างกายยังมีภรรยาที่เพิ่งแต่งหมาด ๆ ผู้หนึ่งด้วย
“ไม่ต้องหาแล้วขอรับ” จางอี้ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ฮูหยินเห็นพวกท่านหารือกันเรื่องคดี นางจึงไปร้านเต้าฮวยฝั่งตรงข้าม”
ลู่ฉาวอวี่มองไปทางร้านฝั่งตรงข้าม
สิงเจียซือกำลังพูดคุยบางอย่างกับเถ้าแก่
เถ้าแก่ส่งช้อนให้นาง
สิงเจียรับช้อนมา แล้วเติมของบางอย่างลงไป
“เจ้ากำลังทำอะไร?” ลู่ฉาวอวี่เดินเข้ามา
“ข้าเห็นพวกท่านกำลังหารือกันอย่างจริงจัง ไม่อยากรบกวนจึงมานั่งตรงนี้สักประเดี๋ยว เมื่อครู่ชิมเต้าฮวยที่เถ้าแก่ทำไปเล็กน้อย อร่อยดีทีเดียว ข้าจะปรุงให้ท่านสักถ้วย”