สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1021 เมินคนที่ไม่อยากสนใจเหล่านั้นเสีย
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 1021 เมินคนที่ไม่อยากสนใจเหล่านั้นเสีย
บทที่ 1021 เมินคนที่ไม่อยากสนใจเหล่านั้นเสีย
“ใต้เท้า อันที่จริงแล้วข้าจัดการนางได้” สิงเจียซือเอ่ย “นับตั้งแต่ข้าจากสกุลสิงมา ข้าก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาอีกแล้ว แม้นจะพบคนสกุลสิง ข้าก็สามารถจัดการได้”
ลู่ฉาวอวี่รับคำ
“ใต้เท้า ข้าไม่ได้ตำหนิท่านว่าเข้ามายุ่งเรื่องของข้า…”
“ที่นี่ไม่มีคน เจ้าจึงไม่เรียกข้าว่าท่านพี่แล้วหรือ?” จู่ ๆ ลู่ฉาวอวี่พลันอยากแกล้งนางขึ้นมา
เมื่อครู่นี้อยู่ต่อหน้ามารดา นางเรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’ ได้ค่อนข้างเป็นธรรมชาติทีเดียว มายามนี้เขากลับนึกขึ้นได้ว่า สาวน้อยผู้นี้แสดงได้ไม่เลว ถึงขนาดปิดบังมารดาเขาได้
“ใต้เท้า…” สิงเจียซือเหลียวมองไปรอบ ๆ เหลือบมองจางอี้กับหยางจงเซิงแวบหนึ่ง
จางอี้กับหยางจงเซิงทำทีมองนกมองฟ้า ประหนึ่งไม่รู้เห็นไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น
“เจ้ามีที่ที่อยากไปหรือไม่?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยถาม
“ไม่มีเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็กลับจวนกันเถอะ” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยอีกครั้ง “เมื่อครู่บอกแล้วว่าอยากปรับปรุงเรือน เราต้องทำให้สมกับที่โกหกไป มิเช่นนั้นจะไม่กลายเป็นว่าคำพูดของข้าเชื่อถือไม่ได้หรอกหรือ?”
“เรือนดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
“ก่อนหน้านี้ข้าอาศัยอยู่เพียงลำพัง เรือนล้วนมีบ่าวรับใช้คอยดูแล ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เจ้าก็เป็นนายหญิงของที่นั่น แน่นอนว่าหน้าที่นี้ข้ามอบให้เจ้าจัดการ”
สิงเจียซือมองตามเงาร่างของลู่ฉาวอวี่
นางเข้าใจ เขาคงกังวลว่านางจะไม่คุ้นชินจึงให้ความเคารพและให้อิสระแก่นางอย่างเพียงพอ
เพียงแต่ จวนท่านอ๋องลู่ขยับขยายไปไม่น้อย ดูเหมือนนางจะไม่คุ้นเคยกับทั้งจวนเพียงนั้น นอกจากนี้ ที่นั่นยังมีกลไกวางอยู่มากมาย นางจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับที่นี่ให้มากขึ้นจริง ๆ
ไม่ถูกนี่!
ไยเขายังไม่ปล่อยมือนางอีก?
ลู่ฉาวอวี่ไม่ได้เอ่ยอะไร นางเองก็ขัดเขินเกินกว่าจะถอนมือกลับมา
บางทีเขาคงลืมไปแล้ว หากนางถอนมือออกมายามนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคงกระอักกระอ่วนไม่น้อย
อีกประเดี๋ยวตอนเขาปล่อย นางค่อย ๆ ถอนมือกลับคืนมาก็เป็นอันใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกคนตะขิดตะขวงใจ
ลู่ฉาวอวี่กุมมือสิงเจียซือเดินไปตามท้องถนน ผู้คนที่ผ่านไปมาเมียงมองมาที่ทั้งสองด้วยความประหลาดใจ ลู่ฉาวอวี่ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า ทว่าสิงเจียซือกลับรู้สึกเขินอายมากขึ้นเรื่อย ๆ
แท้จริงแล้วหนังหน้าของนางยังไม่หนาพอ
ลู่ฉาวอวี่จูงสิงเจียซือกลับมาถึงจวนท่านอ๋องลู่
เมื่อเข้ามาจวนท่านอ๋องลู่แล้ว ฝ่ามือของลู่ฉาวอวี่ก็คลายออกเล็กน้อย สิงเจียซือจึงสบโอกาสค่อย ๆ ดึงมือกลับคืน ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อที่ชุ่มชื้นไปทั่วทั้งฝ่ามือ
ฟู่ว! นางถอนหายใจออกเบา ๆ
ฝ่ามือนางมีเหงื่อเยอะถึงเพียงนี้ เหตุใดใต้เท้าลู่น้อยไม่สังเกตเห็นกันนะ?
“คุณชาย ท่านอ๋องรอท่านอยู่ที่ห้องตำราขอรับ”
“ข้าทราบแล้ว” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “พ่อบ้าน ฮูหยินจะปรับปรุงเรือนเสียหน่อย ท่านติดตามฮูหยินไปจัดการตามที่นางต้องการ”
“ขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยกับสิงเจียซือ “ฮูหยิน ท่านต้องการสิ่งใดเพียงแค่กำชับบ่าวมาก็พอ”
สิงเจียซือเอ่ย “รบกวนท่านแล้ว”
“นี่เป็นสิ่งที่บ่าวควรทำขอรับ”
ลู่ฉาวอวี่เข้าไปในห้องตำราแล้วจึงเห็นว่าภายในห้องตำราไม่ได้มีเพียงลู่อี้เท่านั้น หากแต่ยังมีซ่งหานจืออยู่ด้วย
ซ่งหานจือลุกขึ้นคำนับ
ลู่ฉาวอวี่มองซ่งหานจือแล้วเอ่ย “ไม่ได้พบเสียหลายปี เหตุใดร่างกายถึงได้อ่อนแอเพียงนี้?”
“เขาถูกพิษ” ลู่อี้กล่าว “เพียงแต่ที่เรียกเจ้ามายามนี้ไม่ใช่เพราะพิษในร่างกายเขา พิษในร่างกายเขามียาถอน ยังทำการหลอมอยู่ ก่อนที่จะทำการหลอมยาเสร็จ เขาก็ไม่อาจเกียจคร้านได้ ยังต้องกลับไปยุทธภพเพื่อคอยจับตาดูท่าทีของสำนักต่าง ๆ ต่อไป นอกจากนี้ คนวางยาพิษพยายามชักนำเขาให้ทำบางอย่าง ต้องมีการวางแผนมาแล้วเป็นแน่”
“บอกมาเถิด ข้าทำอะไรให้เจ้าได้บ้าง?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยถามซ่งหานจือ
ซ่งหานจือเล่าสถานการณ์ในตอนนี้ให้ฟัง จากนั้นจึงอธิบายการคาดเดาของตน
“ได้ยินมาว่า พวกเจ้ามีคนคอยจับตามองมาตลอดทาง ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าล้วนอยู่ในสายตาของผู้อื่น นั่นไม่ได้หมายความว่าการที่ชิงเอ๋อร์ติดตามเจ้าอันตรายเป็นอย่างมากหรือ?” ลู่ฉาวอวี่ไม่พอใจเท่าใดนัก
“กลับมาครั้งนี้ ข้าก็อยากหาวิธีให้ชิงเอ๋อร์รั้งอยู่ที่จวนอ๋องเช่นกัน” ซ่งหานจือเอ่ย “เพียงแต่หากเป็นเช่นนั้น ชิงเอ๋อร์จะต้องตำหนิข้าเป็นแน่”
“เจ้าคิดจะให้เรารับบทคนชั่วแทนหรือ?” ลู่ฉาวอวี่เลิกคิ้ว “ดีดลูกคิดได้ไม่เลว เจ้าคิดจะโยนเรื่องนี้ใส่หัวพวกเราแล้ว”
ซ่งหานจือยิ้มบาง ๆ “พวกท่านเป็นครอบครัวของชิงเอ๋อร์ ไม่ว่าพวกท่านจะทำอันใด นางล้วนไม่มีทางโกรธเคืองจริง ๆ แต่ข้าทำไม่ได้ นางจะโกรธข้าอย่างแน่นอน”
“ชิงเอ๋อร์คิดจะติดตามเจ้า เจ้าก็แค่ให้นางตามเจ้าไป บางทีนางอาจช่วยเจ้าได้” ลู่อี้เอ่ย “ลูกหลานสกุลลู่ของข้าไม่ใช่เต่าที่เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดอง หากมีปัญหาอะไรแล้วข้าขังนางไว้ที่บ้าน ปล่อยให้นางเป็นดอกฝอยทอง เมื่อพระชายารู้เข้า เกรงว่านางจะฆ่าข้าเสียก่อน คนชั่วนี้ข้าขอไม่เป็น”
“ท่านพ่อ ท่านกลัวภรรยาเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วหล้า แต่ยอมรับต่อหน้าพวกเราผู้เยาว์สองคนเช่นนี้ จะไม่ขายหน้าเกินไปหน่อยหรือ?”
“เจ้าเพิ่งแต่งงาน ยังไม่ได้รู้ซึ้งจริง ๆ ผ่านไประยะหนึ่ง ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะเอ่ยด้วยท่าทีหยิ่งยโสเช่นนี้ได้หรือไม่” ลู่อี้ชายตามองบุตรชาย “กลับเข้าเรื่อง มากล่าวเรื่องเมื่อครู่กันต่อ ยามนี้ขุนนางในราชสำนักดูผิวเผินแล้วเชื่อฟัง หวาดกลัวต่ออำนาจของสกุลลู่ แต่แท้จริงแล้ว กลับมีคนคิดจะลงมือกับสกุลลู่อย่างลับ ๆ”
“อำนาจนั้นดึงดูดใจคน สกุลลู่เรียกฝนได้ฝนเรียกลมได้ลม แน่นอนว่าย่อมมีคนอยากแย่งชิงอำนาจนี้ไป เพียงแต่ไม่อาจทำอย่างเปิดเผยจึงทำได้เพียงซุ่มบ่อนทำลาย หมู่นี้ถึงได้เกิดเหตุลอบสังหารหลายต่อหลายครั้ง องค์รัชทายาททางนั้นจำต้องระมัดระวัง เรามีองค์ชายเพียงพระองค์เดียว หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เกรงว่า…”
“อันที่จริงข้าแจ้งเรื่องนี้กับฝ่าบาทแล้ว” ลู่อี้กล่าว “เกรงว่าการจัดการกับสกุลลู่จะเป็นเพียงการเรียกน้ำย่อย จากนี้ต่อไปน่าจะเกิดความเคลื่อนไหวมากกว่าเดิม”
“พวกเราอยู่ในราชสำนักไม่สะดวกตรวจสอบ ในเมื่อยุทธภพเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับราชสำนัก เช่นนั้นต้องรบกวนสหายซ่งตรวจสอบเรื่องนี้ในยุทธภพแล้ว”
ทั้งสามคนหารือกันอยู่ในห้องตำราเป็นเวลานาน
เรื่องที่เกิดขึ้นในยุทธภพระยะนี้ ซ่งหานจือไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อย เขาอธิบายรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนชัดเจน
แน่นอนว่า ในช่วงเวลาระหว่างที่ลู่จื่อจิงติดตามผจญภัยกับเขา เขาเล่าสั้น ๆ กระชับเพียงไม่กี่ประโยค แต่ก็ยังได้รับสายตาที่มองมาของบุรุษทั้งสองจากสกุลลู่
ซ่งหานจือเห็นว่าทั้งสองไม่เอ่ยถึงเรื่องที่จะรั้งลู่จื่อชิงไว้ในเมืองหลวงก็อดผิดหวังไม่ได้
แน่นอนว่าเขาไม่อาจตัดใจแยกจากลู่จื่อชิง ทว่าเขาไม่ยินดีให้นางเผชิญอันตรายไปพร้อมกับตนเองยิ่งกว่า นอกจากนี้ พิษในร่างกายของเขาแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว หากหลอมยาถอนพิษออกมาไม่ทัน อาการของเขาคงแย่ลง เช่นนั้นลู่จื่อชิงจะทนได้อย่างไร?
ซ่งหานจือเดินออกจากจวนลู่
เขาค้ำมือลงกับสิงโตหินที่อยู่ข้าง ๆ สูดหายใจเข้าด้วยความเจ็บปวด
พิษนั้นแพร่กระจายยิ่งกว่าเดิมแล้ว
“เป็นอะไรไป?” จี้ซ่งเฉิงยืนอยู่ข้างหลัง “พิษโจมตีอีกแล้วหรือ?”
“อย่าบอกชิงเอ๋อร์”
“พวกเราต้องรีบไปแล้ว มิเช่นนั้นเจ้าจะตายอยู่ในเมืองหลวง” จี้ซ่งเฉิงกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
“หากข้าตายก็ไม่มีคนแย่งชิงเอ๋อร์กับท่านแล้ว ท่านควรดีใจไม่ใช่หรือ?” ซ่งหานจือจงใจกล่าวให้ขบขัน
“พูดได้ถูก” จี้ซ่งเฉิงเอ่ย “รอเจ้าตายแล้ว ข้าจะพาชิงเอ๋อร์ไปอาณาจักรข้า จากนี้ไปนางก็จะลืมเจ้า แม้กระทั่งวันครบรอบวันตายของเจ้าก็จำไม่ได้ นับประสาอะไรกับจะเหลียวแลเจ้า คิดเช่นนี้แล้ว เจ้าอย่าถอนพิษจะดีกว่า ตายแล้วเรื่องใหญ่สิ้นสุด เรื่องอื่นก็พลอยสิ้นสุดไปด้วย จะได้ทำให้ข้ากับชิงเอ๋อร์มีความสุขพอดี”
“ท่านคิดจะรับชิงเอ๋อร์เป็นสนมหรือ?” ซ่งหานจือมองจี้ซ่งเฉิงด้วยแววตาประหลาดใจ “ชิงเอ๋อร์มีสถานะเช่นนี้ ไม่คู่ควรเป็นฮองเฮาของท่านรึ? ข้ายังคิดว่าท่านจริงใจต่อนาง ที่แท้กลับเป็นคนไร้ใจถึงเพียงนี้”
จี้ซ่งเฉิง “…”
เขามีลางสังหรณ์ขึ้นมาว่าครานี้ไม่ควรหันหลังกลับไปมอง