สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1029 แก้ปัญหาได้อย่างราบรื่น
บทที่ 1029 แก้ปัญหาได้อย่างราบรื่น
รถม้าของสกุลลู่ไปที่สกุลหลี่ก่อน ลู่จื่ออวิ๋นไปถามไถ่เรื่องหยางเซียงจวินเป็นพิเศษ เพื่อให้แน่ใจว่าการผ่าตัดของนางเป็นไปด้วยดี ไม่มีอะไรร้ายแรง
“องค์หญิง ช้าก่อนเพคะ” ฮูหยินหลี่ร้องเรียกลู่จื่ออวิ๋น “องค์หญิง ท่านไม่ได้บอกแต่แรกว่าต้องโกนผมเพื่อทำการผ่าตัด! บัดนี้ผมของหยางเซียงจวินไม่เหลือแล้ว อีกทั้งศีรษะของนางยังถูกผ่า ดูเหมือนตอนนี้นางจะไม่เป็นอะไร ทว่าหากนางไม่ตื่นขึ้นมาหนึ่งวัน ก็ไม่มีผู้ใดรับรองได้ว่านางจะไม่เป็นอะไรจริง ๆ นะเพคะ”
“ข้าไม่ได้จัดให้หมอยาสองคนอยู่ที่นี่คอยดูแลนางแล้วหรือ? หมอยาเหล่านั้นอยู่กับข้ามาหลายปี รู้วิธีการรักษาของข้าเป็นอย่างดี” หมิงจือเหยียนเอ่ย “ท่านต้องการให้ข้ารั้งอยู่ด้วยตนเอง หรือว่าต้องการให้ฮองเฮาของเรารั้งอยู่ด้วยหรือ? ฮองเฮาน่ะรั้งอยู่ได้ เพียงแต่แม่นางแซ่หยางผู้นั้นจะรับโชคใหญ่หลวงนี้ได้หรือ?”
“ไม่ใช่ เพียงแต่อย่างน้อยก็ควรรอจนกว่านางจะฟื้น” ฮูหยินหลี่กล่าว “นอกจากนี้ พวกท่านช่วยออกหน้าอธิบายหน่อยได้หรือไม่ว่าหยางเซียงจวินต้องโกนผมเช่นนี้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของนาง?”
“เมื่อครู่พวกเราเพิ่งเข้าวังไป ฝ่าบาททรงตัดสินด้วยพระองค์เอง พิสูจน์ว่าเรื่องนี้หาได้เกี่ยวอะไรกับน้องสาวข้าไม่ น้องสาวของข้าไม่ผิด ในเมื่อสกุลลู่เราไม่ผิด เหตุใดจึงต้องเก็บกวาดความยุ่งเหยิงวุ่นวายนี้ด้วยเล่า? นอกจากนั้น ผมของนางถูกโกน นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ใดกัน? ชีวิตนางรักษาเอาไว้ได้แล้ว ชีวิตนางไม่ถูกพรากไปและเพียงแค่เสียผมไปสักหน่อย มีอะไรสำคัญกัน?”
“ร่างกาย เส้นผม ผิวพรรณ ล้วนเป็นบิดามารดาให้มา สตรีผู้หนึ่งโกนผม เช่นนั้นจะเงยหน้าขึ้นพบปะผู้คนในชีวิตนี้ได้อีกหรือ? เกรงว่าหากนางแต่งงานไปในภายหน้า นี่จะกลายเป็นเหตุผลให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะไปทั้งชีวิต”
“ฮูหยินหลี่ช่างเห็นอกเห็นใจหยางเซียงจวินเสียจริง คนอื่นไม่รู้คงคิดว่านางเป็นลูกสาวท่าน!” ลู่จื่อชิงกล่าว “เรื่องเหล่านี้เกี่ยวอะไรกับเราหรือ? พวกเรายินดีจัดหาการรักษาที่ดีเช่นนี้มาให้ นั่นเมตตาและยุติธรรมแล้ว หากไม่มีเรื่องอื่น โปรดอย่าได้ขวางทาง พี่สาวข้าเหนื่อยมาทั้งคืน หากนางไม่กลับไป เกรงว่าพี่เขยข้าจะมาตามหานางแล้ว”
“องค์หญิง คุณหนูรองลู่….” ฮูหยินหลี่เรียกทั้งสองคนเอาไว้ “สกุลหยางไม่อาจล่วงเกินได้…”
เมื่อได้ยินเสียงที่ดังขึ้นข้างหลัง ลู่จื่อชิงก็เอ่ยอย่างเย็นชา “สกุลหยางไม่อาจล่วงเกินได้ แล้วพวกเราสกุลลู่ล่วงเกินได้หรือ? หลังจากเหตุการณ์นี้ ถ้าหลี่เยียนหรานคิดจะคอยชมงิ้วอยู่ข้าง ๆ ก็ฝันไปเสียเถอะ”
ฮูหยินหลี่เห็นทั้งสองคนไปแล้วจึงตบฉาดเข้าที่ใบหน้าหลี่เยียนหรานทันที
หลี่เยียนหรานกุมใบหน้าที่ถูกตบ น้ำตาไหลอาบสองแก้ม
“ข้าบอกเจ้าตั้งนานแล้วว่าอย่าล่วงเกินคนสกุลลู่ เหตุใดเจ้าต้องคอยมีปัญหากับลู่จื่อชิงอยู่เรื่อย? นางขวางทางเจ้าหรือ? สร้างปัญหาให้กับเจ้าหรือ? ทุกครั้งล้วนเป็นเจ้าที่ก่อเรื่องเอง”
“ท่านแม่ ตอนนี้จะทำอย่างไรดี? สกุลหยางจะต้องโกรธมากเป็นแน่ เราทำให้สกุลหยางขุ่นเคืองแล้ว”
“เจ้าก็รู้จักกลัวเป็นด้วยหรือ?”
“หากหยางเซียงจวินฟื้นขึ้นมา เกรงว่า….”
“เจ้าอย่าได้เหลวไหล” ฮูหยินหลี่จิตใจอยู่ไม่สุข “เจ้าเป็นแม่นางน้อยผู้หนึ่ง เหตุใดจิตใจโหดเหี้ยมเช่นนี้? นั่นเป็นชีวิตคนผู้หนึ่งนะ”
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้มีความหมายอื่น ข้าไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งนั้น!”
“เจ้าคิดว่าหมอยาเหล่านั้นเป็นเพียงหมอยาจริง ๆ หรือ?” ฮูหยินหลี่เอ่ย “หากเจ้าทำอะไร เชื่อหรือไม่ว่าสกุลหลี่จะต้องจบสิ้นเป็นแน่?”
หยางเซียงจวินฟื้นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น
เมื่อนางฟื้นขึ้นมา ยาแก้ปวดเพิ่งหมดฤทธิ์ ความเจ็บปวดบริเวณบาดแผลทำให้นางแทบเป็นบ้า
“หัวของข้า… หัวของข้าเป็นอะไรไป?” หยางเซียงจวินอยากจะแตะศีรษะตน ทว่าถูกหมอยาข้าง ๆ ห้ามเอาไว้
“ยาหมดฤทธิ์แล้ว เช่นนี้ไม่ได้ นางจะเกาไปทั่ว ไม่สู้มัดนางไว้เถอะ!” หมอยาหน้ากลมกล่าว
“ได้” หมอยาหน้าคมมองหยางเซียงจวินด้วยสายตาเฉียบคม “ดูท่านางเปราะบางเสียเพียงนั้น หากเราไม่มัดนางเอาไว้ นางคงรับไม่ได้”
อย่าได้ถามว่าเหตุใดไม่ขอให้หมิงจือเหยียนปรุงยาให้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของนางต่อไป แน่นอนว่าเป็นเพราะ…
ยาบรรเทาปวดล้ำค่าเกินไป ควรใช้กับผู้ที่ควรใช้จริง ๆ ไม่ใช่กับสตรีชั่วร้ายผู้นี้
จากสิ่งที่คุณหนูหยางทำ เพียงแค่ทำให้นางเจ็บปวดนิด ๆ หน่อย ๆ นับว่าเล็กน้อย หากนางไม่ได้รับบาดเจ็บสักครั้ง ชั่วชีวิตนี้ย่อมไม่มีทางรู้ว่าจะได้รับผลกรรมอย่างไร
“ข้าปวดหัว…” หยางเซียงจวินตะโกนลั่น “พวกเจ้าเป็นผู้ใด? ไยต้องมัดข้าไว้ ผู้ใดก็ได้ ๆ ที่นี่ที่ไหน? ผู้ใดก็ได้เข้ามาที!”
หลี่เยียนหรานจ้ำอ้าวเข้ามา “เซียงจวิน”
“เยียนหราน เจ้ามาพอดี รีบจับกุมบ่าวรับใช้เหล่านี้เร็วเข้า พวกเขากล้าดีอย่างไรมามัดข้า”
หลี่เยียนหรานเอ่ย “ผู้ใดอนุญาตให้มัดเซียงจวิน?”
“ตอนนี้นางกำลังเจ็บปวด หากไม่มัดนาง นางจะขยับตัวจนแผลปริและตายอยู่ที่นี่ ท่านจะรับผิดชอบหรือ?” หมอยาหน้ากลมเอ่ย “ศีรษะของนางถูกเย็บ หากนางขยับโดยไม่ระมัดระวัง เกรงว่าน้ำในสมองจะกระเซ็นออกมา พวกท่านอยากเห็นอย่างนั้นหรือ?”
“หัวของข้าเป็นอะไรไป?” หยางเซียงจวินตกตะลึงแล้ว
เย็บคืออะไร?
นางปวดหัวมาก เพราะมีคนผ่าศีรษะนางเปิดออกหรือ?
หลี่เยียนหรานหน้าซีดเผือด “เซียงจวิน ท่านอย่าเพิ่งตระหนกไป”
“เหตุใดหัวข้าเย็นเช่นนี้?” หยางเซียงจวินเอ่ยต่อ “ข้าอยากได้กระจก เอากระจกมาให้ข้า”
สกุลหลี่ทางนี้กำลังตื่นตระหนก ทางฝั่งสกุลลู่กลับมีสายรุ้งหลังพายุฝน
สิงเจียซือฟังหมิงจือเหยียนเล่าว่าหยางเซียงจวินไม่มีผมแล้ว ขนมในปากของนางแทบสำลักออกมา
“ไว้ผมยาวอีกไม่ได้เลยหรือ?” สิงเจียซือเอ่ยถามอีกครั้ง “นี่ทำได้อย่างไร?”
“อันที่จริงแล้วง่ายมาก” หมิงจือเหยียนเอ่ย “ตอนที่ทำการผ่าตัดนางต้องโกนศีรษะ จากนั้นข้าก็ใช้ยาบางอย่างบนหัวนาง”
“ง่ายดายเพียงนั้นเชียวหรือ?” มู่ซืออวี่ถาม “คงไม่ง่ายกระมัง!”
“สำหรับเราที่คุ้นชินในการใช้ยา เรื่องนี้ง่ายมาก”
“ท่านในฐานะหมอ ทำอย่างนี้กับคนไข้ ไม่อึดอัดใจหรือ?” ลู่จื่อชิงเอ่ยถาม “พี่หญิงหมิงอย่าได้เข้าใจข้าผิด ข้าเพียงแค่สงสัยว่าท่านคิดอย่างไร พวกเราเคยพบคนอื่น ๆ ที่อยู่ในหุบเขาเทพโอสถมาก่อน แต่ละคนดีทีเดียว แม้จะหัวโบราณไปบ้าง ไม่รู้จักปรับตัวเล็กน้อยก็เถอะ”
“ตอนนี้เจ้าคงรู้แล้วกระมังว่าเหตุใดข้าจึงเป็นลูกศิษย์เทพโอสถ ทว่าไม่ได้เรียนวิชาการรักษาเท่าศิษย์น้องหญิง นั่นเป็นเพราะข้ามีทั้งเจตนาดีร้ายเป็นของตนมาตลอด ไม่ได้ฝึกฝนการรักษาด้วยใจเมตตาอย่างศิษย์น้องหญิง ท่านอาจารย์กังวลว่าข้าจะทำลายสัญลักษณ์ของหุบเขาเทพโอสถ ทักษะการรักษาเฉพาะบางอย่างจึงไม่ได้สอนข้า การผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะนี้ข้าลอบศึกษามา”
“เจ้าลอบเรียนมาหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “เพราะเหตุใด?”
“การผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะมีความเสี่ยงอย่างยิ่ง ทั้งยังถือเป็นการทดสอบทักษะการแพทย์และทักษะด้านยาของตนเอง อาจารย์ไม่ได้กังวลเรื่องทักษะการแพทย์ของข้า ทว่าเขากังวลเรื่องการใช้ยาของข้ามากเป็นพิเศษ”
ลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นมา “พวกเรารู้จักกันมาหลายปีแล้ว ข้าไม่รู้สึกว่าการใช้ยาของท่านมีอะไรผิดปกติ หากกล่าวถึงนิสัยใจคอแล้วก็ค่อนข้างดี ข้าชอบสหายที่มีนิสัยใจคอเช่นนี้”
ลู่จื่อชิงกำลังกินของหวานที่มู่ซืออวี่ทำ เมื่อนึกภาพหยางเซียงจวินในภายหน้า นางก็เริ่มหัวเราะขึ้นมา
“ไม่ได้การ ภาพนั้นสวยงามเกินไปแล้ว ข้าไม่กล้าจินตนาการแม้แต่น้อย”
หลังจากหยางเซียงจวินตื่นขึ้นมา คนในสกุลหยางย่อมต้องการพานางกลับไป อย่างไรก็ตาม หมอยาทั้งสองกล่าวว่าบาดแผลยังไม่หาย ไม่อาจกลับจวนหยางได้ ต้องรอจนกว่าแผลจะหายดีถึงจะไปได้ หยางเซียงจวินจึงต้องรั้งอยู่ที่สกุลหลี่ต่อ
—————————————————-