สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1031 ถูกฟ่านซู่ชวนไป
บทที่ 1031 ถูกฟ่านซู่ชวนไป
ซ่งหานจือหยิบกระบอกขนาดเล็กที่ขานกพิราบออกมา ก่อนจะส่งนกพิราบให้ผู้ติดตามที่อยู่ด้านข้าง เขาเปิดกระบอกเล็ก ๆ ออก แล้วหยิบกระดาษแผ่นน้อยออกมาจากข้างใน
หลังจากอ่านข้อความในบันทึกแล้ว แววตาของซ่งหานจือพลันฉายแววกังวล
“ท่านประมุข เป็นอะไรไปหรือ?”
“ตำหนักเซิ่งหัวสังหารหมู่หอคอยย่ำหิมะแล้ว” ซ่งหานจือกล่าว “เกรงว่าความสัมพันธ์ในอดีตและความแค้นเก่า ๆ ทั้งหมดเป็นเพียงฉากบังหน้า สิ่งที่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังตำหนักเซิ่งหัวต้องการคือความวุ่นวายในยุทธภพ ผู้ที่ไม่ยอมจำนนจะถูกฆ่า”
“ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?
“หลังจากผ่านอะไรมามากมาย ข้าพอเห็นเงื่อนงำบางอย่างแล้ว เกรงว่าเรื่องที่ข้าถูกพิษจนต้องเข้าสู่ยุทธภพจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีใครบางคนรู้ความสัมพันธ์ของข้ากับสกุลลู่ อย่างน้อยก็รู้ความสัมพันธ์ของข้ากับชิงเอ๋อร์จึงคิดจะใช้ข้าเข้าสู่ยุทธภพ ดึงข้าเข้าไปเกี่ยวข้องก็เท่ากับดึงราชสำนักเข้าไปเกี่ยวข้อง คิดจะใช้ข้าจัดการกับความวุ่นวายในยุทธภพ”
“นายท่านหมายความว่า ท่านเป็นดาบในมือพวกเขา พวกเขาให้ท่านรู้จักยุทธภพเพื่อระงับความวุ่นวาย พวกเขาวางยาพิษท่านเพียงเพื่อให้ท่านเข้าไปในยุทธภพเพื่อตรวจสอบ หากเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงเวลา ผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็ต้องมอบยาถอนพิษให้ท่าน มิเช่นนั้นหากเกิดบางอย่างเกิดขึ้นกับท่านจริง ๆ พวกเขาจะไม่ใช่ศัตรูของราชสำนักหรือ?”
“เสี่ยวชิงเอ๋อร์เล่า?” ซ่งหานจือเอ่ยถาม
“นี่…” บ่าวรับใช้เอ่ยอย่างระมัดระวัง “เมื่อครู่ข้าน้อยเพิ่งกลับมาจากด้านนอก เห็นคุณหนูรองขึ้นรถม้า และในรถม้านั้นมี… ท่านอ๋องอี้”
ท่านอ๋องอี้ หรือก็คือฟ่านซู่
บัดนี้ฮ่องเต้แต่งตั้งให้เขาเป็นอ๋องแล้ว ทว่าเนื่องจากใกล้จะถึงวันครบรอบการจากไปของอี้อ๋อง เขาจึงยังไม่ได้ไปที่ศักดินา หากแต่ยังรั้งอยู่ในเมืองหลวงเพื่อเซ่นไหว้ให้เสร็จสิ้นแล้วค่อยออกเดินทาง
ซ่งหานจือขมวดคิ้ว “คุณชายจี้เล่า?”
“คุณชายจี้ไม่อยู่ ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใดขอรับ”
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะคิดถึงข้าเพียงนี้” จี้ซ่งเฉิงเดินเข้ามาจากข้างนอก “ข้าสงสัยว่าความชื่นชมที่เจ้ามีต่อเสี่ยวชิงเอ๋อร์นั้นเป็นของปลอม แต่ความชื่นชมของเจ้าที่มีต่อข้านั้นเป็นของจริง มิเช่นนั้น ไยเจ้าถึงได้คิดถึงข้าตลอดเวลาเล่า? เพียงแต่ข้าต้องบอกเจ้าว่า คิดถึงข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้ายังชอบแม่นางน้อยที่หวานหยาดเยิ้มอยู่นะ”
“เช่นนั้น ไยท่านจึงพยายามแย่งคนจากคุณชายของเราเล่า? คุณหนูรองไม่เหมาะกับคำว่าหวานหยาดเยิ้ม” ผู้ติดตามข้าง ๆ บ่น
“เจ้าถอยออกไปก่อน” ซ่งหานจือเอ่ยกับผู้ติดตาม
ผู้ติดตามถอยออกไป จนกระทั่งไม่ได้ยินทั้งสองคุยกันแล้วจึงหยุดฝีเท้า
จี้ซ่งเฉิงเอ่ย “ข้าตรวจสอบพบบางอย่าง พิษในร่างกายเจ้ามีหวังว่าจะรักษาหายขาดแล้ว เพียงแต่เราต้องจากไปประเดี๋ยวนี้ เจ้าอยากจะเชื่อข้าสักครั้งหรือไม่?”
“ได้!” ซ่งหานจือเอ่ย
“เจ้าเชื่อใจข้าเพียงนี้เชียวหรือ?” จี้ซ่งเฉิงหัวเราะ
“ตลอดทางที่ผ่านมา หากท่านอยากทำร้ายข้า คงทำไปนานแล้ว ไม่รอจนถึงตอนนี้ นอกจากนี้ท่านมาที่นี่เพียงเพื่อความสนุกสนาน แม้กระทั่งกับเสี่ยวชิงเอ๋อร์ก็เปิดใจกว้างเป็นอย่างยิ่ง ไม่คิดจะบังคับ หากจะกล่าวว่าท่านโปรดปรานการเย้ยยุทธจักร ไม่สู้บอกว่าท่านเล่นสนุกกับชีวิตจะดีกว่า เหตุใดข้าจะไม่เชื่อท่านเล่า?”
“ผู้ใดกล่าว ต่อเสี่ยวชิงเอ๋อร์ข้าจริงจังเป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้ใจกว้างถึงเพียงนั้น เจ้าไม่อยากให้ข้าแย่งชิงคน จึงจงใจเมินความรู้สึกของข้า” จี้ซ่งเฉิงปฏิเสธที่จะยอมรับ “จริงสิ เมื่อครู่ข้าเห็นรถม้า เสี่ยวชิงเอ๋อร์กับอี้อ๋องกำลังพูดคุยสรวลเสเฮฮาอยู่ข้างใน ดูเหมือนทั้งสองเข้ากันได้ดีทีเดียว หากกล่าวว่าพวกเจ้าเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ อี้อ๋องซื่อจื่อก็รู้จักเสี่ยวชิงเอ๋อร์มาตั้งแต่ยังเล็กเช่นกัน”
“อืม” ซ่งหานจือขมวดคิ้ว “พวกเราไปตอนนี้เถิด อย่าให้ชิงเอ๋อร์ตามทัน”
“เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”
“ได้ยินแล้ว”
“ได้ยินแบบนี้แล้วยังกล้าปล่อยให้พวกเขาอยู่กันตามลำพังหรือ?” จี้ซ่งเฉิงมองซ่งหานจือด้วยสายตาเหลือเชื่อ “ไม่กลัวว่าตอนที่เจ้ากลับมา คนจะกลายเป็นครอบครัวผู้อื่นไปแล้วรึ? ”
ซ่งหานจือมองอีกฝ่ายด้วยหางตา “เสี่ยวชิงเอ๋อร์ไม่ได้ใจโลเลเช่นนั้น”
“ข้าเห็นว่าฟ่านซู่ผู้นั้นเอาอกเอาใจสตรีเก่งทีเดียว” จี้ซ่งเฉิงกล่าว “หากจากไปโดยไม่กล่าวลา เสี่ยวชิงเอ๋อร์จะต้องโกรธเป็นแน่ ความโกรธนี้จะทำให้นางยอมรับบุรุษอื่นได้ ในบทละครก็มักเขียนเช่นนี้”
ซ่งหานจือไม่อยากได้ยินถ้อยคำกวนใจ
ตอนนี้ยุทธภพไม่สงบ พิษในร่างกายสามารถฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ ไม่มีสิ่งใดรับรองได้ว่าพรุ่งนี้เขาจะยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่กล้าปล่อยให้ลู่จื่อชิงติดตามมา เพราะกลัวสักวันหนึ่งจะตายลงต่อหน้านาง
“จะไปหรือไม่?” เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าก็ตัดสินใจไม่พาลู่จื่อชิงไปด้วย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่านางจะต้องโกรธอย่างแน่นอนเมื่อกลับมา “ท่านรอข้าอยู่ที่นี่ประเดี๋ยว”
การจากไปโดยไม่บอกลาย่อมไม่ดี จะต้องเตรียมบางอย่างไว้เกลี้ยกล่อมนาง มิเช่นนั้น หากนางโดนฟ่านซู่แย่งชิงไปจริง ๆ ถึงแม้เขาจะถอนพิษได้ก็คงบ้าตายแทน
อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว ลู่จื่อชิงกำลังนั่งอยู่ในรถม้า นางรู้สึกได้ถึงลมหนาวที่พัดเข้ามาด้านใน จึงอดไม่ได้ที่จะเปิดม่านมองออกไปข้างนอก
“มีอะไรหรือ?” ฟ่านซู่ถาม
ลู่จื่อชิงกล่าว “ข้าอยากลงที่นี่ ท่านให้บ่าวของท่านจอดรถประเดี๋ยวเถอะ”
“ตรงนี้ยังห่างจากจวนลู่อีกเค่อหนึ่งไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องหยุดที่นี่? เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ?”
“ทางนั้นเป็นเรือนกรุ่นฝัน ท่านยังกังวลว่าจะไม่มีผู้ใดส่งข้ากลับอยู่อีกหรือ?” ลู่จื่อชิงกล่าว “ขอเพียงข้ายินยอม ย่อมมีคนส่งข้ากลับไป ดังนั้นไม่รบกวนให้ท่านเป็นกังวลแล้ว”
ฟ่านซู่สั่งให้คนของเขาหยุดรถม้า
ลู่จื่อชิงลงจากรถม้าไปแล้วโบกมือให้ฟ่านซู่พลางกล่าว “วันนี้ขอบคุณที่รับรองข้าเป็นอย่างดี ข้าจะเตรียมงานเลี้ยงให้ท่านวันหลัง เชิญท่านมาดื่มสุรา”
“เชิญข้าเพียงคนเดียวหรือ?” ฟ่านซู่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นจะไม่น่าเบื่อเกินไปรึ? ถึงเวลานั้นข้าจะชวนพี่ชายข้ากับพี่หานจือมาร่วมงานเลี้ยง ยังมีจี้ซ่งเฉิงผู้นั้นอีก อย่างไรเสียเขาก็ชอบร่วมความครึกครื้น คนยิ่งมากยิ่งน่าสนุก ข้าไปก่อน” ลู่จื่อชิงโบกมือให้
ฟ่านซู่เฝ้ามองเงาร่างของนางหายไป
“ซื่อจื่อ คุณหนูรองลู่ผู้นี้ไม่เข้าใจจริง ๆ หรือแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจขอรับ?” ผู้ติดตามที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น
ฟ่านซู่มองตามหลังลู่จื่อชิง แววตาซับซ้อนปรากฏผ่านดวงตา “นางเข้าใจ ดังนั้นจึงปฏิเสธข้าแล้ว”
“นางกล่าวอะไรหรือขอรับ?”
“นางไม่ได้กล่าวชัด ยังนับว่าไว้หน้าข้า แต่กลับทำให้ข้ารู้ว่าข้าต้องถอย” ฟ่านซู่กลับขึ้นรถม้าไป “บางทีข้าอาจไม่คู่ควรกับนางจริง ๆ กระมัง”
“ท่านเป็นซื่อจื่อ มีที่ศักดินา จะไม่คู่ควรกับคุณหนูรองลู่ได้อย่างไร? คุณหนูรองลู่ นอกจากสถานะของนางแล้วคู่ควรกับท่านตรงไหนกัน?” ผู้ติดตามเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“กลับกันเถอะ!” ฟ่านซู่เอ่ย “ใกล้จะครบรอบวันตายของท่านพ่อแล้ว พวกเรายังต้องยุ่งกับเรื่องพิธีเซ่นไหว้”
ลู่จื่อชิงถือถุงเนื้อย่างกลับไปสองสามถุง ทว่าแทนที่จะกลับไปที่จวนลู่อ๋อง นางกลับเดินไปที่จวนซ่งฝั่งตรงข้าม
“คุณชายพวกเจ้าเล่า?”
“คุณหนูรอง คุณชายออกเดินทางแล้ว” พ่อบ้านมองนางอย่างกังวล “คุณชายฝากจดหมายถึงท่าน ยังมีนี่…”
พ่อบ้านเหลือบมองข้าง ๆ
บ่าวรับใช้ถือกระถางดอกไม้ที่เต็มไปด้วยดินออกมา
“นายน้อยบอกว่าทุกสิ่งที่เขาต้องการจะเอ่ยอยู่ในจดหมาย คุณหนูอ่านแล้วก็จะเข้าใจขอรับ”
ลู่จื่อชิงปัดจดหมายทิ้งด้วยความโกรธ ไม่แม้แต่จะเหลียวมอง
พ่อบ้านเอ่ยอย่างกระวนกระวาย “คุณหนูรอง ท่านอ่านจดหมายคุณชายของเราหน่อยเถิด บางทีเขาอาจมีเรื่องในใจที่กล่าวออกมาได้ยาก คุณหนูรองได้โปรดสงบใจ อย่าได้ตำหนิคุณชายเลยนะขอรับ”