สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1033 เดินทางไปเมืองซานหลิน
บทที่ 1033 เดินทางไปเมืองซานหลิน
“เช่นนั้นเจ้าระวังตัว” มู่ซืออวี่เอ่ย “นำป้ายประจำสกุลลู่ติดไปด้วยจะได้ป้องกันตนเองในช่วงเวลาคับขัน”
“ข้าเข้าใจแล้ว” ลู่ฉาวอวี่ค้อมคำนับ “ท่านแม่ ข้ากับเจียซือต้องกลับไปเตรียมตัวก่อน”
“อืม”
มู่ซืออวี่มองเงาร่างของลู่ฉาวอวี่กับสิงเจียซือกลายเป็นจุดสีดำเล็ก ๆ ก่อนจะหายไป
“เจ๋อหลาน ชิงไต้”
“เพคะพระชายา”
“พวกเจ้าว่าข้าแก่แล้วใช่หรือไม่?”
“พระชายาจะแก่ได้อย่างไร? มีผู้ใดไม่กล่าวว่าพระชายายังดูเหมือนตอนยังเยาว์วัยอย่างไรอย่างนั้นบ้าง แม้กระทั่งริ้วรอยยังไม่มีเลย!”
“แก่แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยเจอเรื่องหนักหนามาก่อน บัดนี้ใต้หล้าเป็นของเด็ก ๆ ลมฝนก็ต้องให้เด็ก ๆ แบกรับเอาไว้ ข้าเป็นเพียงคนว่างงาน หลบซ่อนตัวอยู่ภายใต้ปีกของพวกเขา”
“พระชายา ท่านลำบากมาหลายปี บัดนี้ถึงเวลาพักผ่อนแล้ว คนหนุ่มสาวยังอายุน้อย เป็นช่วงที่เลือดกำลังพลุ่งพล่าน แน่นอนว่าควรให้พวกเขาได้สัมผัสกับลมฝนเสียบ้าง เช่นนี้จึงจะเติบใหญ่มาเป็นเสาหลักได้”
เสียงจากข้างนอกแว่วมาถึงข้างใน ดูเหมือนหลี่กู่หยวนจะมาแล้ว
เป็นดังคาด หลี่กู่หยวนเดินถือเนื้อกวางชิ้นหนึ่งเข้ามา
“นี่อะไร?” มู่ซืออวี่หัวเราะ “เลือดยังไหลอยู่เลย แต่เจ้ากลับกล้านำเข้ามาที่นี่”
“อาจารย์ กวางตัวนี้ศิษย์ล่ามาเอง ส่วนอื่น ๆ นำไปไว้ที่ครัวแล้ว ชิ้นเล็ก ๆ นี้เพียงนำมาให้อาจารย์ดูโดยเฉพาะ ไม่เช่นนั้นอาจารย์จะรู้เพียงว่าศิษย์ส่งเนื้อกวางมาถ้าไม่เห็นมัน”
มู่ซืออวี่ประหลาดใจ “เหตุใดต้องให้ข้าเห็นด้วยตาตนเองเล่า?”
“อาจารย์มีสถานะสูงศักดิ์ ของขวัญดีพิเศษเพียงใดล้วนเคยได้รับ ทว่าของที่ศิษย์มอบให้นั้นเป็นเพียงของเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่มีค่าเท่ากับของผู้อื่น มีเพียงอาจารย์ได้เห็นด้วยตาตนเอง ถึงจะเข้าใจความกตัญญูของศิษย์นะขอรับ!”
มู่ซืออวี่ส่ายหน้า “มิน่าเล่าผู้อื่นถึงได้เรียกเจ้าว่าจิ้งจอกน้อย”
“คนอื่นล้วนบอกว่าข้าเป็นจิ้งจอกน้อยที่อาจารย์สอนสั่ง เห็นได้ว่าข้าจิ้งจอกน้อยตัวนี้ตื้นเขินเกินไป ยังคงเป็นอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าที่พิเศษยิ่งกว่า”
“ว่ามาเถอะ เจ้ามีเรื่องอะไร?”
“ไม่มีสิ่งใดปิดบังอาจารย์ได้จริง ๆ” หลี่กู่หยวนเอ่ย “วันนี้มีข่าวมาจากที่ต่าง ๆ กล่าวว่ากิจการของเราได้รับผลกระทบในทุกพื้นที่ มีอำนาจลับกำลังทำลายกิจการของเรา แม้กระทั่งเรือสินค้าก็ไม่เว้น เนื่องจากเรือขนสินค้าแล่นไปตามแม่น้ำจึงไม่สามารถส่งข่าวกลับมาได้ทัน ข่าวที่ส่งกลับมายามนี้จึงเป็นข่าวเมื่อเจ็ดวันก่อน”
“ข่าวอะไร?” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว
“เรือสินค้าสี่ลำจมไปแล้ว คนเรือเสียชีวิตไปสามคน ยังมีแขกอีกห้าคน สินค้าที่ได้รับความเสียหายยังไม่อาจประเมินได้ อาจมีมูลค่าถึงห้าหมื่นตำลึงเงิน”
มู่ซืออวี่ลุกพรวดขึ้นมา
นางสูดลมหายใจเข้าลึก ควบคุมอารมณ์ของตนให้สงบลง
“อาจารย์ ศิษย์จัดการกิจการได้ไม่ดี ศิษย์มีความผิด”
“เจ้ากล่าวว่าอีกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่เรา จะโทษเจ้าได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่เอ่ย “เจ้าก็เพิ่งได้ข่าวหรือ?”
“ขอรับ”
“สถานการณ์ที่แน่ชัดไม่ทราบหรือ?”
“หลังจากศิษย์ทราบข่าวก็มารายงานทันที ยังไม่ทราบสถานการณ์ที่แน่ชัด ศิษย์อยากตรวจสอบบริเวณที่เรือสินค้าจมเสียก่อน แต่ต้องได้รับอนุญาตจากอาจารย์”
“ข้าจะไป” มู่ซืออวี่เอ่ย “หลายปีมานี้แล่นเรือไปตามลม คมดาบล้วนขึ้นสนิมแล้ว ไม่แปลกหากจะไม่มีผู้ใดเห็นข้าอยู่ในสายตา”
“ในเมื่ออาจารย์จะไป เช่นนั้นศิษย์ควรเตรียมการอย่างไร?”
“เจ้ารั้งอยู่ดูแลกิจการในเมืองหลวง หากเจ้าไป หลังจากข้าไปแล้ว เกรงว่าเมืองหลวงจะวุ่นวาย” มู่ซืออวี่กล่าว “เรื่องทางนั้นข้าจะจัดการเอง”
มู่ซืออวี่ต้องไปเมืองซานหลินก่อน จากนั้นค่อยนั่งเรือไปยังจุดที่เรือสินค้าจม
เรือสินค้าจมสี่ลำ แต่ละลำล้วนอยู่คนละแห่ง ไม่รู้ว่าผลการตรวจสอบจะออกมาเมื่อใด เย็นวันนั้นนางจึงตั้งใจรอจนลู่อี้กลับมา ก่อนจะเล่าเหตุการณ์นี้ให้เขาฟัง
“ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”
“ไม่ต้อง ท่านไม่อาจวอกแวกเป็นอันขาด”
“ราชสำนักไม่มั่นคง กิจการของเจ้าก็เกิดเรื่อง นี่เห็นได้ชัดว่าพุ่งเป้ามาที่ทั้งสกุลลู่เรา”
“ฉาวอวี่ต้องไปเยือนแดนทุ่งหญ้า ครานี้ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใด เขาจากไปหนึ่งคน ท่านก็มีคนที่ไว้ใจได้น้อยลงหนึ่งคน เรื่องในมือท่านมีให้ยุ่งมากมายแล้ว เรื่องของข้าไยต้องให้ท่านมากังวลอีก?”
“ข้าไม่วางใจ”
“ช่วงนี้ลูกเขยของข้ากำลังทำอะไร?”
“ในเมื่อเขามาแล้ว แน่นอนว่าข้าย่อมมีเรื่องให้เขาทำ ไม่เช่นนั้นในฐานะฮ่องเต้อาณาจักรเฟิ่งหลิน เขาจะไม่ว่างเกินไปหน่อยหรือ? ข้ามีเรื่องให้เขาจัดการ”
“ท่านไม่เห็นผู้อื่นเป็นคนไกลแม้แต่น้อย ที่ควรใช้ก็ใช้ ลูกเขยกลับมายังต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายของท่าน ท่านยั้งมือหน่อยเถิด”
“วางใจเถอะ ข้าคิดคำนวณแล้ว” ลู่อี้กล่าว “เพียงแต่หากเจ้าจะจากไป เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์จะทำอย่างไร?”
“คราวนี้อันตรายยิ่ง ข้าไม่อยากพานางไปเสี่ยง ข้าเพียงแค่ลังเลอยู่เล็กน้อยที่จะทิ้งนางไว้ที่บ้าน”
“พานางไปด้วยเถิด!” ลู่อี้เอ่ย “เด็กคนนั้นเฉลียวฉลาด อาจช่วยเจ้าได้ ส่วนอันตรายนั้น ข้าจะจัดเตรียมคนให้มากสักหน่อย ให้นางพาผู้คุ้มกันลับไปด้วย เช่นนี้จะได้ป้องกันได้มากขึ้น”
วันต่อมา ลู่จื่ออวิ๋นก็ได้ยินเรื่องที่มู่ซืออวี่กำลังจะทำ จึงยืนกรานที่จะติดตามมารดาไป
หลังจากเซี่ยเฉิงจิ่นรู้เรื่องนี้ก็ตระเตรียมหน่วยกล้าตายสิบคนให้ติดตามนางไปด้วย
อย่าได้ประเมินหน่วยกล้าตายทั้งสิบคนนี้ต่ำเกินไป เพราะแต่ละคนมีล้วนมีความสามารถหนึ่งต้านร้อย แม้จะเป็นมือสังหารก็อย่าได้หวังว่าจะชิงคนไปจากพวกเขาได้
“ส่วนลูกทั้งสอง…” ลู่จื่ออวิ๋นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเอ่ย “พ่อของพวกเขายังอยู่ในเมืองหลวง เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพาออกไป ถึงตอนนั้นค่อยรบกวนอาสะใภ้รองให้ช่วยดูแล คิดว่าคงไม่มีปัญหา”
“เฉิงอี๋ก็มอบให้ใต้เท้าฉีช่วยดูแลเถิด!” มู่ซืออวี่เอ่ย “เขาสอนชิงเอ๋อร์ได้ดีเพียงนั้น ให้เขาสอนลูกศิษย์เพิ่มขึ้นอีกคน คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร”
ลู่จื่ออวิ๋นหัวเราะเบา ๆ “ท่านดูท่าทางเฉิงอี๋เถิด คิดดูก็รู้ว่าท่านอาฉีจะเข้มงวดเพียงใด”
เซี่ยเฉิงอี๋มีความสง่างามขององค์ชายตั้งแต่อายุยังน้อย ปกติแล้วเขาดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อย ทว่าบัดนี้ฟังจากคำพูดของมู่ซืออวี่แล้วจึงรู้สึกเป็นทุกข์อย่างไม่ปิดบัง
“ระยะนี้ท่านอาฉีของเจ้าก็ยุ่งไม่น้อย ไม่มีเวลาช่วยดูแลลูกให้เจ้า” ลู่อี้เอ่ย “แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้เขาเกียจคร้านเช่นกัน ข้าจะจัดเตรียมคนสองสามคนผลัดกันสอนวรยุทธ์ให้เฉิงอี๋ ในฐานะผู้ปกครองอาณาจักร ภายหน้าย่อมต้องเผชิญกับอันตรายอีกมากมาย แทนที่จะฝากความหวังในการเอาชีวิตรอดไว้กับผู้อื่น การมีความสามารถในการปกป้องตนเองย่อมดีกว่า”
“ท่านตา อี๋เอ๋อร์เข้าใจแล้ว” เซี่ยเฉิงอี๋คำนับ
หลังจากหารือกันเรียบร้อย แต่ละคนในสกุลลู่ล้วนยุ่งกับเรื่องของตนเอง
ลู่จื่ออวิ๋นนั่งอยู่ในรถม้า มองเซี่ยเฉิงจิ่นแล้วโบกมือเบา ๆ “ไม่ต้องกังวล หลังจากตรวจสอบแน่ชัดแล้วเราจะกลับมา ในแวดวงการค้า นอกจากผลประโยชน์ก็ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น ไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน”
เซี่ยเฉิงจิ่นรู้ว่านางกำลังปลอบใจ
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ของสกุลลู่ยามนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่เพียงเรื่องในแวดวงการค้า หากแต่มีคนจงใจทำลายสกุลลู่ ต้นไม้เขย่าเงินต้นนี้ให้สูญเสียทรัพย์
รถม้าออกจากเมืองหลวง มุ่งหน้าไปยังเมืองซานหลิน
การเดินทางเที่ยวนี้ราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีปัญหาใด
หลังจากมาถึงเมืองซานหลิน มู่ซืออวี่ก็ไม่ได้รีบร้อนไปจัดการโรงต่อเรือ
นางพักอยู่ที่เรือนอีกแห่งได้สองวันแล้ว พาลู่จื่ออวิ๋นเดินเล่นในเมืองซานหลินเป็นเวลาสองวัน ทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
“ท่านแม่ บรรยากาศเมืองซานหลินไม่ถูกต้องนัก” ลู่จื่อวิ๋นเอ่ย “รู้สึกราวกับว่ามีคนคอยจ้องมองเราอยู่ตลอด”
“เหตุใดพวกเราถึงได้มาที่เมืองซานหลิน มือที่อยู่เบื้องหลังฉากนี้ย่อมรู้ดี บัดนี้เรากลับไม่รีบร้อนตรวจสอบเรื่องเรือจม หากแต่เดินเล่นไปตามถนน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องจับจ้องเรา ด้วยกลัวว่าจู่ ๆ ข้าจะใช้วิธีการบางอย่างทำลายหมากกระดานนี้”