สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1037 จะเป็นผู้ใด?
บทที่ 1037 จะเป็นผู้ใด?
ฟ่านหยวนซีเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ
“หากมองดูทั่วทั้งราชสำนักแล้ว เจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด?”
ใบหน้าไร้เดียงสาตามแบบฉบับเด็กน้อยของฟ่านซวี่เต็มไปด้วยความลังเล
“เป็นฮ่องเต้ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือความลังเลใจ”
ฟ่านซวี่นั่งอยู่บนโต๊ะยกมือขึ้นประกบ “ท้ายที่สุดแล้วลูกยังขาดความมีไหวพริบอยู่บ้าง ไม่สามารถเลือกขุนนางในราชสำนักในตอนนี้ที่จะมารับช่วงตำแหน่งต่อจากท่านอ๋องลู่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“มีสิ” ฟ่านหยวนซียิ้มบาง ๆ “ฉีเจินเป็นอย่างไร?”
“ใต้เท้าฉีเดิมทีเป็นแม่ทัพประจำชายแดนผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ในหมู่แม่ทัพด้วยกันก็ค่อนข้างมีชื่อ บัดนี้เขารับราชการเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม หากรับตำแหน่งขุนนางพลเรือน คงมีสีสันไม่น้อยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ได้ยินมาว่าเขาเป็นคนเถรตรง กระทำการหุนหันพลันแล่น อีกทั้งยังล่วงเกินเสนาบดีกรมพระคลังและเสนาบดีกรมขุนนางหลายต่อหลายครั้ง เสนาบดีกรมขุนนางตระเตรียมเจ้าหน้าที่เล็ก ๆ ให้เขา เขากลับไม่ยอมรับไว้ กล่าวว่ากรมกลาโหมไม่รับบัณฑิตโง่เขลาที่บ่าไม่อาจแบกมือไม่อาจยกของได้ เรื่องนี้สร้างความวุ่นวายโกลาหลใหญ่โตทีเดียว เสนาบดีกรมขุนนางจนถึงบัดนี้ยังคงไม่พอใจเขา”
“หากคนผู้หนึ่งสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ย่อมไม่มีผู้ใดกล่าวว่าคนผู้นี้ไม่มีข้อบกพร่อง หากแต่จะกล่าวว่าคนผู้นี้เก่งในการเสแสร้งแกล้งทำ เพราะไม่มีผู้ใดในโลกไร้ความผิดพลาด ฉีเจินเคยเป็นแม่ทัพ และยังรับบทบาทเป็นขุนนางพลเรือนได้ ในบรรดาขุนนางทั้งหลาย เขาเป็นผู้เดียวที่มีความสามารถในการเป็นผู้นำ หากอ๋องลู่ไม่กลับมา ฉีเจินคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะรับตำแหน่งต่อจากเขา” ฟ่านหยวนซีกล่าว
“หรือว่าใต้เท้าฉีมีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ?”
“ฉีเจินผู้นี้… แม้กระทั่งข้ายังมองเขาไม่ทะลุปรุโปร่ง เจ้ามองไม่ออกก็เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ ความปรารถนาของพวกเขา ท้ายที่สุดยังคิดคำนวณผิดไป ข้าไม่มีทางให้ผู้ใดเข้ามารับตำแหน่งแทนลู่อี้” ฟ่านหยวนซีเอ่ย
“เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าฎีกาในมือเสด็จพ่อจะตรวจทานไม่เสร็จนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไม่เป็นไร” ฟ่านหยวนซีกล่าวอย่างใจเย็น “ข้ายังมีเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ?”
ฟ่านซวี่ “…”
เสด็จพ่อ ข้ายังเล็กอยู่นะ!
เหตุใดองค์รัชทายาทราชวงศ์อื่นล่วงเข้าวัยสิบสี่สิบห้าแล้วยังไม่มีอำนาจยิ่งใหญ่ แต่เขารัชทายาทผู้นี้กลับเข้าว่าราชกิจในราชสำนักตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ อีกทั้งยังช่วยตรวจทานฎีกาตั้งแต่อายุแปดขวบเล่า?
องค์ชายราชวงศ์อื่นต่างแก่งแย่งชิงอำนาจ ส่วนรัชทายาทผู้นี้ไม่มีแม้กระทั่งพี่น้องคอยแย่งชิงอำนาจเสียด้วยซ้ำ
ช่าง…
เหงาอยู่บ้างจริง ๆ!
“เสด็จพ่อ ผู้คุ้มกันลับมารายงานว่า พระชายาลู่ถูกลอบสังหารขณะตรวจสอบคดีเรือล่ม ครั้นผู้คุ้มกันลับทราบข่าวก็ถูกลอบสังหารไปแล้วถึงห้าครั้ง เกรงว่าต่อไปรังแต่จะมีมากขึ้น เนื่องจากมีคนลอบสังหารนางอย่างไม่ว่างเว้น” ฟ่านซวี่กล่าว “พระชายาลู่อย่างไรก็เป็นสตรี อยู่ข้างนอกเช่นนี้ไม่ปลอดภัย ข้างกายนางยังมีพี่หญิงจื่ออวิ๋นด้วย หากเกิดเรื่องขึ้น นั่นจะบานปลายไปกันใหญ่ มิเช่นนั้น เรียกตัวนางกลับมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“จัดเตรียมคนจำนวนหนึ่งไปรับนางกลับมาทันที ก่อนหน้านี้นางบอกว่าต้องการตรวจสอบคดีเรือล่ม ข้าคิดว่าเป็นกิจการของนาง นางคุ้นเคยกว่าจึงปล่อยให้ไป นึกไม่ถึงว่าจะอันตรายถึงเพียงนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางตรวจสอบต่อไปไม่ได้ มอบให้กรมอาญาหรือศาลต้าหลี่ไปตรวจสอบ”
ณ เมืองเยว่หยาง ติดกับชายฝั่ง
หลังจากมู่ซืออวี่พบกับครอบครัวของผู้เคราะห์ร้ายกลุ่มสุดท้าย กล่าวขออภัยแก่พวกเขา พร้อมทั้งจ่ายค่าชดเชยแล้ว นางก็นั่งรถม้าเดินทางกลับที่พักอาศัยชั่วคราว
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ท่านแม่ มือสังหารเมื่อวานเป็นมือสังหารกลุ่มที่แปดแล้วเจ้าค่ะ”
“ที่ควรตรวจสอบก็ใกล้จะเสร็จแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “พวกเรากลับเมืองหลวงเถอะ”
“จากการตรวจสอบครั้งนี้ พวกเราแน่ใจได้สิ่งหนึ่ง นั่นคือมีคนตามเรามา ทว่าคนเหล่านั้นฆ่าตัวตายทุกครั้งที่การลอบสังหารล้มเหลว เดิมทีพวกเราก็ไม่อาจเก็บคนไว้ไต่สวนได้เลย”
“นักฆ่าทุกคนล้วนมีสัญลักษณ์บนร่างกายเหมือนกันเป็นรูปพระจันทร์ นั่นหมายความว่าพวกเขาเป็นคนกลุ่มเดียวกัน พวกเราสามารถตรวจสอบได้ว่ากลุ่มใดมีพระจันทร์เป็นสัญลักษณ์ นอกจากนี้ พวกเขายังยืนหยัดไม่ลดละ คิดว่าคงไม่ยอมแพ้จนกว่าจะฆ่าข้าได้ พวกเราย่อมมีโอกาสอื่นในการคลำเครือไปหาแตง”
วันถัดมา มู่ซืออวี่จึงพาลู่จื่ออวิ๋นมุ่งหน้ากลับเมืองหลวง
ขบวนรถม้ารุดกลับไปอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร
ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ รถม้าก็หยุดลง
“เกิดอะไรขึ้น?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม
“คุณหนู รถม้าข้างหน้าติดหล่มขึ้นไม่ได้จึงปิดเส้นทางขอรับ” คนขับรถม้ากล่าว “บ่าวมองแวบหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นกองคาราวาน บนรถม้ามีสัญลักษณ์เป็นคำว่า ‘ฉิน’ คงเป็นกองคาราวานสกุลฉินขอรับ”
เดิมทีลู่จื่ออวิ๋นไม่ได้ตั้งใจเข้าไปยุ่งกับงานของผู้อื่น แต่เมื่อได้ยินว่าเป็นกองคาราวานสกุลฉินจึงกล่าวว่า “พวกเจ้าไปดูเถิดว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือหรือไม่”
คนขับรถม้าเข้าไปสอบถาม ผ่านไปครู่หนึ่งก็กลับมาบอก “คุณหนู นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาใช้เส้นทางนี้ พวกเขาไม่รู้ว่ามีหล่มอยู่ บัดนี้มีรถม้าสิบคันติดหล่มผ่านไปไม่ได้ ครั้นได้ยินว่าพวกเราเป็นขบวนของสกุลลู่ ก็ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง บอกว่าต้องการความช่วยเหลือจากเราขอรับ”
“ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็เข้าไปช่วยเถอะ!”
มู่ซืออวี่ที่เดิมทีดวงตาปิดสนิทเปิดปากขึ้น “ในเมื่อเป็นกองคาราวานสกุลฉิน เช่นนั้นก็ถามพวกเขาว่าพวกเขามาจากส่วนใด รับผิดชอบกิจการอะไร เดินทางมาจากที่ใดและกำลังจะไปที่ใด”
“ท่านแม่กล่าวได้ถูกต้อง ควรระวังไว้บ้างจริง ๆ กองคาราวานสกุลฉินค่อนข้างมีชื่อเสียง หากมีผู้ใดแอบอ้างว่าเป็นกองคาราวานสกุลฉินก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว
คนขับรถม้าจึงกลับไปถาม แล้วรายงานให้มู่ซืออวี่และลู่จื่อวิ๋นทราบตามความเป็นจริง
“ท่านแม่ ท่านกังวลหรือ?”
“ระวังหน่อยก็ไม่มีอะไรผิด เพียงแต่ดูจากการที่พวกเขาตอบได้ชัดเจน คงไม่มีปัญหาอะไร พวกเจ้าไปช่วยเถอะ จากที่นี่กลับไปผ่านเมืองฮู่เป่ยได้พอดี พวกเราไปดูสถานการณ์ทางเมืองฮู่เป่ยเสียหน่อย”
หนึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าของกองคาราวานสกุลฉินก็ขึ้นจากหล่มได้
ผู้ดูแลกองคาราวานเข้ามากล่าวขอบคุณ
“ฮูหยิน ข้าน้อยแซ่เฉียน ครานี้ต้องขอบคุณคนของฮูหยินที่ช่วยเหลือแล้ว รถม้าของพวกเราจึงขึ้นมาได้อย่างราบรื่น น้ำใจของฮูหยิน ข้าน้อยไม่รู้ว่าควรตอบแทนอย่างไร นี่ก็ใกล้มืดแล้ว ห่างจากที่นี่ไปสองลี้มีโรงเตี๊ยม ฮูหยินโปรดให้ข้าน้อยได้มีโอกาสตอบแทน ค่าค้างแรมของพวกท่านข้าน้อยจ่ายให้เป็นอย่างไร?”
“เรื่องค่าที่พักก็แล้วไปเถอะ อยู่ข้างนอกควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “หากรู้สึกติดค้างจริง ๆ ก็สามารถช่วยนำทางพวกเราได้”
“ดูท่านกล่าวเข้าสิ ที่นี่มีถนนเพียงเส้นเดียวเท่านั้น ถึงไม่มีกองคาราวาน ฮูหยินกับคุณหนูก็ยังหาโรงเตี๊ยมได้ ฮูหยินกับคุณหนูยินดีให้โอกาสข้าเป็นผู้นำทาง หากข้าน้อยปฏิเสธคงเป็นการล่วงเกินแล้ว”
ผู้จัดการเฉียนจากไปแล้ว
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “เมื่อครู่นี้คนขับรถม้าบอกว่าเป็นครั้งแรกที่พวกเขาใช้ถนนเส้นนี้ เหตุใดพวกเขาจึงรู้ว่ามีโรงเตี๊ยมอยู่ข้างหน้าอีกสองลี้เล่าเจ้าคะ?”
“พ่อค้าวาณิชเหล่านี้ล้วนมีแผนที่อยู่ในมือ แผนที่มีตั้งแต่ขนาดใหญ่อย่างแผนที่ทั้งอาณาจักรและแผนที่ขนาดเล็กของหมู่บ้าน อีกทั้งยังมีเครื่องหมายกำกับไว้โดยละเอียด” มู่ซืออวี่เอ่ย “โดยเฉพาะในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา แผนที่มีความละเอียดมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจะรู้ว่ามีโรงเตี๊ยมอยู่ข้างหน้าอีกสองลี้ก็ไม่แปลกอะไร ไม่เป็นไร ลองดูก่อนเถิด บางทีอาจเป็นกองคาราวานธรรมดาทั่วไปจริง ๆ”
ก่อนที่ฟ้าจะมืด คนทั้งหมดก็มาถึงโรงเตี๊ยม
“ขออภัย แขกทุกท่าน วันนี้โรงเตี๊ยมของเราเต็มแล้วขอรับ” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกล่าว
“ข้าจะจ่ายให้สิบเท่า” ผู้จัดการเฉียนเอ่ย “ท่านให้ทุกคนที่อยู่ข้างในย้ายออกไปให้หมดเถอะ”
“ดูแล้วท่านก็น่าจะเป็นผู้ทำการค้าเช่นกัน ท่านควรเข้าใจว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเอ่ยด้วยความลำบากใจ “ทุกคนล้วนเป็นแขก ข้าจะไล่แขกออกไปได้อย่างไรกัน?”