สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 106 เจ้าก็ต้องจำไว้เช่นกันว่าอย่าได้หุนหันพลันแล่น
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 106 เจ้าก็ต้องจำไว้เช่นกันว่าอย่าได้หุนหันพลันแล่น
บทที่ 106 เจ้าก็ต้องจำไว้เช่นกันว่าอย่าได้หุนหันพลันแล่น
บทที่ 106 เจ้าก็ต้องจำไว้เช่นกันว่าอย่าได้หุนหันพลันแล่น
หลังจากที่ออกมาจากศาลาว่าการ มู่ซืออวี่ก็ตกอยู่ในภวังค์
ผู้จัดการร้านเล่าว่าหวังซานคนนั้น เถ้าแก่เป็นคนฝากฝังมา บอกว่าเป็นญาติของเถ้าแก่ ตั้งแต่หวังซานมาที่นั่น เรื่องภายในร้านก็ถูกชี้ไม้ชี้มือสั่งไม่หยุดหย่อน แม้แต่ผู้จัดการร้านก็ทำอะไรเขาไม่ได้
ฟังดูราวกับเป็นสงครามกลางเมืองแย่งชิงชื่อเสียงลาภยศ นางรู้สึกอยู่ตลอดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับนาง
มูซืออวี่เองก็ไม่แน่ใจ แต่พอปฏิเสธข้อเสนอจากภัตตาคารหมายเลขหนึ่งไป ภัตตาคารเจียงซื่อก็ดันเกิดปัญหาขึ้นมา ทั้งหมดนี้ค่อย ๆ เผยออกมาอย่างแยบคาย ราวกับมีคนจงใจวางแผนอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านอย่ากังวลใจไป นายอำเภอฉินเป็นคนดี เขาจะต้องสืบให้กระจ่างแน่นอน”
“ใช่แล้ว”
มู่ซืออวี่ยิ้มน้อย ๆ “ขออภัย วันนี้ข้ารบกวนเวลาพวกท่านมากแล้ว”
“ไม่เลย ไม่เลย อย่าเอ่ยเช่นนั้นสิ”
“ข้ายังต้องไปซื้อสุรา…”
หลังจากซื้อสุราจำนวนหนึ่งมาแล้ว นางจึงซื้อของใช้จิปาถะมาด้วยไม่น้อยเพราะมีเกวียนวัวมา ตอนที่กำลังกลับบ้านนั้น ข้างหลังเกวียนวัวก็เต็มไปด้วยข้าวของมากมายหลายชนิด ทำให้มู่ต้าหนิวอิจฉายิ่งนัก
เมื่อมาถึงหมู่บ้านก็ค่ำมืดดึกดื่นแล้ว นางจ่ายเงินให้มู่ต้าหนิวและเอ้อร์หนิวคนละ 20 อีแปะ
“ไม่ใช่ตกลงกันไว้ที่ 10 อีแปะหรือ? เหตุใดจึงให้มากเช่นนี้?”
“วันนี้ทั้งวันใช้เวลานานไปสักหน่อย” มู่ซืออวี่พูดขึ้น “รบกวนทั้งสองแล้ว”
“อย่าได้เกรงใจเช่นนั้น ภายหน้าถ้ามีเรื่องอะไรก็เรียกพวกเราได้”
ข้าวของบนเกวียนวัวถูกยกลงมา
มู่ซืออวี่ไหว้วานให้มู่ต้าหนิวขับเกวียนวัวไปส่งที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน รอกระทั่งนางจัดแจงของเหล่านั้นเสร็จแล้ว จึงจะเอาสุราสักไหไปขอบคุณหัวหน้าหมู่บ้าน
“เจ้าซื้อสิ่งใดมามากมายกัน” ลู่เซวียนพึมพำอยู่ที่หน้าต่าง “เตียงหลังนั้นเจ้าขายออกไปแล้วหรือ?”
“ขายออกไปแล้ว” มู่ซืออวี่พูดอย่างลึกลับ “อยากรู้หรือไม่ว่าขายได้เงินเท่าไหร่?”
“ใครจะไปอยากรู้” ลู่เซวียนปิดหน้าต่างดังฉับ
“ปากแข็ง” มู่ซืออวี่ไม่สนใจเขาอีก นางหันมาจัดของต่อไป
ลู่ฉาวอวี่ออกมาจากห้อง แล้วช่วยยกของเหล่านั้นเข้าไปในบ้าน
“ท่านพี่กินข้าวหรือยัง?” ลู่จื่ออวิ๋นถามลู่ฉาวอวี่ “ถ้ายัง นี่เป็นขนมเปี๊ยะหน้างา ข้าซื้อมาฝากท่าน”
“ข้ากินแล้ว” ลู่ฉาวอวี่กล่าว “เจ้าเอาไปไว้ในครัว ตอนเย็นค่อยกิน”
มู่ซืออวี่จัดเก็บข้าวของทั้งหมดให้เข้าที่เข้าทาง จากนั้นจึงเก็บเงินที่ได้รับมาในวันนี้
เสียงเงินที่อยู่ในกล่องทำให้นางรู้สึกปลอดภัยเสมอ
“เสื้อผ้าของข้าเล่า?” มู่ซืออวี่เพิ่งสังเกตเห็นว่าห้องเปลี่ยนแปลงไป
“ย้ายไปไว้ที่ห้องนอนท่านพ่อแล้ว” ลู่ฉาวอวี่ยืนอยู่ที่ประตู “ตอนนี้ห้องนี้เป็นห้องของน้องสาวข้าเพียงคนเดียว”
มู่ซืออวี่ “….”
นางนึกถึงคำพูดของลู่อี้ในตอนเช้าขึ้นมาได้
หรือว่านางต้อง ‘อยู่ด้วยกัน’ กับเขาจริง ๆ?
“ท่านไม่ยินยอมหรือ?” ลู่ฉาวอวี่สงสัยขึ้นมา
“ไม่…” มู่ซืออวี่หัวเราะเจื่อน ๆ “นี่ไม่ใช่…ข้าเป็นห่วงว่าพ่อเจ้าจะไม่ชิน”
“เขารับปากแล้ว”
มู่ซืออวี่จึงไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
หากไม่ใช่เพราะบ้านหลังเล็กเกินไป นางอยากจะทำเตียงหลังใหญ่จริง ๆ จะได้วาดเส้นแม่น้ำแบ่งแยกฉู่ฮั่น*[1] เอาไว้ตรงกลาง ถึงจะนอนอยู่บนเตียงหลังเดียวกันก็ไม่นับว่าเป็นอุปสรรคใด ๆ
“จริงสิ เมื่อครู่นี้ป้าเฉินบ้านข้าง ๆ มาหา แต่ท่านไม่อยู่ ข้าบอกให้นางค่อยมาอีกที”
“รู้แล้ว”
ในตอนที่มู่ซืออวี่กลับมาจากบ้านหัวหน้าหมู่บ้าน ก็พบกับเฉินซื่อและลู่เจินเจินเข้าพอดิบพอดี
ทั้งสองมีใบหน้าเปื้อนยิ้ม เมื่อเห็นมู่ซืออวี่เดินมาก็ยิ่งกระตือรือร้นยิ่งกว่าเดิม
“แม่ฉาวอวี่นี่เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภของพวกเราจริง ๆ” เฉินซื่อเอ่ยอย่างมีความสุข
“ดูเหมือนจะขายดีใช่หรือไม่”
ทั้งสองจึงรีบสาธยายว่ากิจการดีมากเพียงใด ช่วนช่วนเสียบไม้เหล่านั้นขายดีแค่ไหน อีกทั้งยังขอให้เพิ่มจำนวนช่วนช่วนเสียบไม้ขึ้นอีกเท่าตัวในวันพรุ่งนี้
กล่าวจบก็จัดแจงแบ่งเงินที่ได้มาในวันนี้ หลังจากขอบคุณถึงสามครั้งสามคราจึงได้กลับบ้านไป
มู่ซืออวี่มองดูเงินร้อยอีแปะบนโต๊ะ แต่เมื่อคิดถึงปัญหาที่ภัตตาคารเจียงซื่อ อารมณ์ยินดีก็พลันมลายหายไป
ค่ำมืดดึกสงัด มู่ซืออวี่นั่งอยู่กลางลานบ้าน ฟังเสียงท่วงทำนองดนตรีเสนาะหูจากธรรมชาติ สมองของนางโปร่งโล่ง คิดถึงเพียงแบบร่างห้องของคุณหนูหลี่
คิดไปคิดมาก็ผล็อยหลับไปบนเก้าอี้
ลู่ฉาวอวี่อยู่ในห้อง บอกเล่าบันทึกการเดินทางของเขาให้ลู่จื่ออวิ๋นฟัง
ลู่จื่ออวิ๋นฟังด้วยความสนอกสนใจ
“ท่านพี่ เรื่องเล่าที่ท่านแม่เล่าให้ฟังเรื่องนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เขียนใกล้จะจบแล้ว พรุ่งนี้คงเขียนถึงตอนที่นางเล่าถึงพอดี”
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็จะได้ฟังเรื่องใหม่แล้วใช่หรือไม่”
ลู่เซวียนยังคงนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่หน้าต่างดังเดิม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา บ่งบอกว่าเขาสะเทือนอารมณ์มากเพียงใด
โฮ่ง โฮ่ง! สุนัขในหมู่บ้านเห่าเสียงดังขึ้นมา
เงาดำร่างหนึ่งเดินเข้ามาในหมู่บ้าน
ลู่อี้ผลักประตูบ้านออก อาศัยแสงสว่างจากดวงจันทร์จนมองเห็นหญิงนางหนึ่งนอนฟุบหลับอยู่บนเก้าอี้
เขาวางห่อผ้าลง อุ้มนางขึ้นมาจากเก้าอี้
มู่ซืออวี่กำลังฝันถึงชีวิตก่อนของนาง ทันใดนั้นร่างกายพลันลอยขึ้นกลางอากาศ ราวกับกำลังโลดแล่นอยู่บนที่สูงเหมือนนั่งรถไฟเหาะ กลัวเสียจนต้องกอด ‘สิ่ง’ ที่อยู่ข้างหน้าเอาไว้
นางชนเข้ากับหน้าผากของลู่อี้
“อ๊ะ!”
การชนครั้งนี้ทำให้ตื่นเต็มตาขึ้นมาทันที
ลู่อี้ก็ถูกนางชนจนเจ็บหน้าผากเช่นกัน
“เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” มู่ซืออวี่ข่มความเจ็บถามออกมา
“เพิ่งกลับมา เหตุใดเจ้าจึงนอนหลับอยู่ที่นี่?” ลู่อี้อุ้มนางเข้าไปในบ้าน
มู่ซืออวี่มัวแต่อดทนต่อความเจ็บ ไม่ทันได้ขัดขืนดิ้นรนลงจากอ้อมแขนของเขา ถูกเขาอุ้มเข้ามาในห้องนอนเหมือนเด็กเล็กเช่นนี้ นับว่าเป็นครั้งแรกที่นางได้รับการปฏิบัติราวกับเจ้าหญิง หน้าจึงแดงเรื่อขึ้นมา โชคดีที่ยังมีแสงจันทร์สลัว ลู่อี้จึงมองไม่เห็น
“ตอนแรกข้ากำลังคิดบางอย่างอยู่ ไม่ทันระวังจนเผลอหลับไป”
“ยังมีของกินอยู่หรือไม่?”
“มี ๆ” ครั้นมู่ซืออวี่เพิ่งลุกขึ้นยืน ลู่อี้ก็กดนางให้ลงไปอีกรอบ
“ข้าไปเอง”
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงในห้องครัว มู่ซืออวี่ไม่รู้จะเผชิญกับเขาอย่างไร แต่เพื่อคนของภัตตาคารเจียงซื่อ นางจึงอดทนต่อความอับอาย รอคอยให้เขากลับเข้ามา
“เจ้ามีเรื่องจะพูดใช่หรือไม่?” หลังจากอาบน้ำ ลู่อี้ก็กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาเห็นนางยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมพักผ่อน
“เจ้าก็รู้ว่าข้าค้าขายกับภัตตาคารเจียงซื่อ” มู่ซืออวี่กล่าวต่อไปว่า “วันนี้พี่เฟิงเจิงไม่ได้มา พอดีกับที่ข้าอยากจะขายเตียงใหญ่หลังนั้น ข้าจึงยืมเกวียนวัวจากหัวหน้าหมู่บ้าน จ้างต้าหนิวกับเอ้อร์หนิวให้ช่วยพาข้าไปหนึ่งวัน หลังจากข้าขายเตียงแล้ว ข้าก็ไปภัตตาคารเจียงซื่อ…”
นางอธิบายเหตุการณ์อย่างกระชับ
“วันนี้ข้าไม่ได้กลับไปศาลาว่าการ พรุ่งนี้ข้าจะไปศาลาว่าการเพื่อสอบถามข่าวให้ อย่าเป็นกังวลไป ขอแค่เพียงพวกเขาบริสุทธิ์ นายอำเภอฉินจะไม่ปรักปรำพวกเขาแน่นอน แต่หวังซานคนนี้… ข้าจะให้พวกเขาคอยจับตาดูเป็นพิเศษ”
“ขอบคุณ” มู่ซืออวี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ทั้งผู้จัดการร้านและเฟิงเจิงล้วนเป็นคนดี หากมีคนตายเพราะข้า ข้าคงไม่ให้อภัยตัวเอง”
“ถึงจะเป็นการกระทำของภัตตาคารหมายเลขหนึ่งจริง ๆ เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า คนเลวย่อมหนีการลงโทษไม่พ้น ตราบใดที่พวกเขาเป็นคนทำ วันหนึ่งก็ต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน”
“ถูก” มู่ซืออวี่พยักหน้า “หากมีใครมายั่วยุเจ้า เจ้าก็ต้องจำไว้เช่นกันว่าอย่าได้หุนหันพลันแล่น”
ลู่อี้ “…”
นี่มีอะไรเกี่ยวกับเขา?
ไม่ใช่พวกเขาคุยกันเรื่องคดีภัตตาคารเจียงซื่ออยู่หรือ?
“เจ้าจะไปอาบน้ำใช่ไหม? เช่นนั้นข้านอนก่อนแล้ว” มู่ซืออวี่กล่าวจบก็กลับไปนอนลงบนเตียง
ลู่อี้แสร้งทำเป็นไม่เห็นความตื่นตระหนกของนาง เขาเปลี่ยนไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า
“เอ่อ….”
มู่ซืออวี่เงยหน้าขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “เจ้าตระเวนไปมาทั้งวัน ไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่ได้อย่างไร? วันนี้ข้าซื้อมาให้เจ้าเพิ่มสามชุด วางใจเถอะ คนอื่นก็ได้เช่นกัน”
เพียงแต่นางไม่ได้ซื้อมามากเท่าซื้อให้ลู่อี้
[1] เส้นแม่น้ำแบ่งแยกฉู่ฮั่น เป็นเส้นแบ่งแยกระหว่างที่มั่นของศัตรู