สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1060 หนึ่งร้อยตำลึงหนึ่งบทกวี
บทที่ 1060 หนึ่งร้อยตำลึงหนึ่งบทกวี
“พี่ใหญ่ซือหม่า ตั๋วเงินเหล่านี้ท่านเก็บไว้เถิด”
ลู่จื่อชิงมอบตั๋วเงินปึกหนึ่งให้กับซือหม่าจี้อิง
ซือหม่าจี้อิงกำลังเขียนบทกลอน เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด เขาก็รับตั๋วเงินนั้นมาด้วยสายตาสับสน
“นี่อะไร?”
“ตั๋วเงิน”
“ข้ารู้ว่านี่คือตั๋วเงิน แต่เหตุใดท่านจึงให้ตั๋วเงินข้า?”
ลู่จื่อชิงนั่งจิบชาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงซุกซน “โทษข้าที่ไม่กล่าวให้ชัดเจน ตั๋วเงินเหล่านี้ข้าไม่ได้ให้ท่าน ท่านหาได้เอง นั่น ข้าขายบทกวีบนโต๊ะของท่าน หนึ่งบทกลอนหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ทั้งหมดสิบบทกลอนเท่ากับหนึ่งพันตำลึงเงิน ถึงแม้ท่านพ่อข้าจะบอกว่าการเล่าเรียนของพี่ใหญ่ซือหม่าล้วนเป็นความรับผิดชอบของสกุลลู่ ทว่ามีเงินติดตัวไว้สักหน่อยก็ดีเช่นกัน”
“บทกวีของข้าขายได้เงินมากเพียงนี้เลยหรือ?” ซือหม่าจี้อิงหัวเราะ “ท่านล้อข้าเล่นอีกแล้วใช่หรือไม่?”
สกุลลู่มีกฎเข้มงวด หากนางไม่อนุญาต บ่าวรับใช้จะกล้าขายบทกวีของซือหม่าจี้อิงได้อย่างไร?
ตอนที่บ่าวรับใช้บอก นางรู้ทันทีว่าการค้าครานี้คงไม่เสียเปล่า อย่างไรก็ตาม จี้ซ่งเฉิงเป็นผู้ครองอาณาจักร ไม่ขาดแคลนเงิน แน่นอนว่าต้องทุบเขาให้หนัก ๆ
“ท่านนี่นะ นับวันยิ่งชอบเล่นซุกซนขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว จริงสิ ท่านกับคุณชายซ่งเป็นอย่างไรบ้าง?” ซือหม่าจี้อิงถาม
“พวกเราไม่มีอะไรนี่!”
“คุณชายซ่งกำลังจะเข้าสอบขุนนางแล้ว ท่านทำอย่างนี้จะส่งผลต่อการแสดงความสามารถของเขา” ซือหม่าจี้อิงกล่าว “ข้าคิดว่าเขาอาจเข้าใจความสัมพันธ์ของท่านกับข้าผิด ไม่เช่นนั้น ข้าออกหน้าอธิบายเป็นอย่างไร?”
“ไม่จำเป็น” ลู่จื่อชิงกล่าว “ท่านเพียงแค่เตรียมตัวให้พร้อม เรื่องอื่นไม่ต้องกังวล จริงสิ ท่านอยากเขียนจดหมายให้ครอบครัวหรือไม่?”
“ไม่ต้องละ”
ไป๋กั่วสาวใช้ของลู่จื่อชิงเดินเข้ามา แล้วโน้มตัวลงมากระซิบสองสามคำข้างหูนาง
“มีเรื่องนี้จริง ๆ หรือ?”
“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
“พี่ใหญ่ซือหม่า ข้าต้องไปก่อนแล้ว” ลู่จื่อชิงกล่าว
“ไปเถอะ”
ลู่จื่อชิงเดินผ่านประตูสกุลลู่ไปที่ประตูจวนซ่ง
เมื่อบ่าวรับใช้ของจวนซ่งเห็นนางก็เปิดประตูออก เชิญนางเข้าไปในทันที
ลู่จื่อชิงยืนอยู่หน้าประตูพลางเอ่ยถาม “คุณชายของพวกเจ้าอยู่หรือไม่?”
“อยู่ขอรับ คุณหนูรอง ท่านรีบเข้ามาเถิด” บ่าวรับใช้แทบจะอุ้มนางเข้าไปข้างในแล้ว
นับตั้งแต่คุณหนูรองลู่ไม่มาที่จวนซ่งอีก คุณชายของพวกเขาก็กินข้าวไม่ลง อ่านตำราทั้งวัน ใกล้จะกลายเป็นหนอนหนังสือเข้าไปทุกทีแล้ว
“เช่นนั้นพวกเจ้าเข้าไปรายงานก่อนเถอะ”
“คุณหนูรอง โปรดอย่าทำให้บ่าวลำบากใจเลยขอรับ ท่านเป็นแขกพิเศษของจวนเรา คุณชายของเราหวังว่าท่านจะมาที่นี่แทบทุกวัน”
“พูดเหลวไหลอะไร?” ไป๋กั่วกล่าวเชิงตำหนิ
“ผู้น้อยพูดจาไม่ระมัดระวัง ผู้น้อยสมควรโดนตีขอรับ”
“เกิดอะไรขึ้น?” ซ่งหานจือสาวเท้าออกมา
“คุณชาย…”
บ่าวรับใช้ค้อมคำนับ
ลู่จื่อชิงเงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นก็เป็นต้องตกตะลึง
ซ่งหานจือสวมชุดคลุมสีน้ำเงิน ผมที่ปกติมัดไว้หลวม ๆ ถูกเกล้าขึ้นอย่างพิถีพิถัน ผมด้านล่างปล่อยสยายลงมา ดูหล่อเหลา ทั้งยังสง่างามขึ้นอีกหลายส่วน
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาคู่นั้นทั้งล้ำลึกและมืดมน ราวกับสระน้ำโบราณที่ไร้ก้นบึ้ง งดงาม ลึกลับ อ่อนโยนและอบอุ่น
ลู่จื่อชิงรู้ว่าซ่งหานจือหน้าตาดี ท้ายที่สุดแล้วก็มีกุลสตรีสูงศักดิ์หลายคนในสำนักศึกษาหลวงสนใจในตัวเขา แต่กลับไม่รู้มาก่อนว่าเขาจะดูดีได้ถึงเพียงนี้
“เจ้าจะออกไปข้างนอกหรือ?”
อย่างไรเสียดูจากการแต่งกายแล้วก็ไม่เหมือนว่าเขากำลังดื่มชาและอ่านตำราอยู่ที่บ้านเลย
“ไม่ใช่” ซ่งหานจือกล่าวเบา ๆ “ได้ยินว่าเจ้ามา ข้าจึงออกมาต้อนรับโดยเฉพาะ”
“ข้ามีเรื่องมาหาเจ้า” ลู่จื่อชิงกล่าว “ไม่ได้รบกวนเจ้าอ่านตำรากระมัง?”
“แน่นอนว่าไม่ ข้าใช้เวลาอ่านตำรามามากพอแล้ว ไม่ต่ำกว่าชั่วยามครึ่ง ฟังจากที่บ่าวรับใช้ยอมรับผิด พวกเขาล่วงเกินเจ้าหรือไม่?”
“ไม่ พวกเราเข้าไปคุยกันเถอะ!”
ลู่จื่อชิงไม่ชอบสถานที่น่าเบื่ออย่างห้องตำราจึงเลือกศาลาหลังหนึ่งแล้วนั่งลง
ซ่งหานจือสั่งให้บ่าวรับใช้นำน้ำชาและของว่างมาให้ จากนั้นจึงให้พวกเขาถอยออกไป
“ลองชิมขนมนี้ดูสิ ข้าลองให้แม่ครัวปรับปรุงสูตร”
“อย่าได้กังวลเรื่องขนม ข้าได้ยินบ่าวรับใช้ในจวนกล่าวว่าเห็นบ่าวรับใช้จวนซ่งทำลับ ๆ ล่อ ๆ แอบเอาของของเจ้านายไปขาย” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ข้าจึงมาถามเจ้าดู เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่?”
ซ่งหานจือผลักขนมไปวางตรงหน้านางแล้วกล่าว “มองผิดไปหรือไม่ ที่บ้านข้ามีบ่าวรับใช้ไม่มากนัก ล้วนแต่เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยง ค่อนข้างจงรักภักดีต่อครอบครัวข้าทีเดียว”
“มองผิดหรือ?” ลู่จื่อชิงกล่าว “เป็นไปไม่ได้ ลู่ซ่ง ทั้งสองจวนเป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปี ในจวนพวกเจ้ามีบ่าวรับใช้ไม่มากนัก คิดว่าพวกเขาย่อมรู้จักทั้งหมด”
“เช่นนั้นจำได้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใด?”
ลู่จื่อชิงหันกลับไปมองไป๋กั่ว
ไป๋กั่วเอ่ย “บ่าวก็ได้ยินผู้อื่นพูดมาเช่นกันเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้น เจ้าไปหาคนผู้นั้นมา บอกให้เขามาระบุตัว” ลู่จื่อชิงกล่าว “บ่าวกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาเช่นนี้ไม่อาจทนได้”
“เช่นนั้นบ่าวไปแล้ว คุณหนูอยู่ผู้เดียว…”
“ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้ารีบไปเสีย!” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ว่ากันว่าเป็นลมก่อนเป็นไฟ เจ้าควรคิดก่อนจะมาที่นี่ หากเป็นแค่เพียงข่าวลือจะทำอย่างไร?”
“หากเป็นเพียงข่าวลือก็ไม่เป็นไร ชิงเอ๋อร์ยังเป็นห่วงเรื่องต่าง ๆ ในจวนข้า เห็นได้ว่าเจ้าไม่ได้เมินข้าอย่างสิ้นเชิง” ซ่งหานจือหยิบขนมชิ้นหนึ่งแล้วยื่นไปที่ปากนาง “เจ้ายังไม่ได้ชิมสักคำเลย ชิมดูสิ เมื่อก่อนเจ้าไม่ได้ชอบรสชาติเช่นนี้ที่สุดหรือ? หรือจะกล่าวว่า ตอนนี้แม้แต่ขนมที่ข้าให้ เจ้ายังไม่เต็มใจกินมันแล้ว”
“ไม่ใช่” ลู่จื่อชิงเอื้อมมือไปรับมา “เจ้าอย่ายืนใกล้ข้านัก ข้าร้อนเล็กน้อย”
ซ่งหานจือนั่งลงข้าง ๆ นางโดยมีโต๊ะหินกั้นกลาง
ไม่ไกลจากที่นั่นมีต้นหอมหมื่นลี้ ช่วงนี้เป็นฤดูกาลของหอมหมื่นลี้ กลีบดอกไม้ลอยปลิดปลิว อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอบอวล
“คราวที่แล้วเจ้าบอกว่าอยากทำสุราหอมหมื่นลี้ ยามนี้ดอกหอมหมื่นลี้บานสะพรั่งแล้ว ชิงเอ๋อร์กลับไม่เอ่ยถึงสุราหอมหมื่นลี้อีก ดูเหมือนเจ้าคิดจะคืนคำ”
“ท่านอย่าได้เปลี่ยนเรื่อง นั่นมันเรื่องตั้งแต่เมื่อใดแล้ว?” ลู่จื่อชิงกล่าว “อ่านตำราให้ดีเถิด ถึงตอนนั้นอย่าให้พี่ใหญ่ซือหม่าชนะเอาได้”
“สหายซือหม่าเยี่ยมยอดจริง ๆ ทว่าข้าก็ไม่ย่ำแย่เช่นกัน ข้าจะไม่ยอมแพ้” ซ่งหานจือเอ่ย “ถึงเวลาสอบขุนนางจะแสดงความสามารถให้ได้เห็น”
“ต้องอย่างนี้สิ” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ส่วนสุราหอมหมื่นลี้ รอเจ้าสอบขุนนางได้แล้วค่อยดื่ม ถือเสียว่าเป็นการเฉลิมฉลอง”
“เช่นนั้นต้องรออีกนานแล้ว”
“สุราดีไม่กลัวรอนาน นอกจากนี้ ยิ่งเก็บสุราไว้นานก็ยิ่งรสเลิศ”
ไป๋กั่วกลับมาพร้อมกับบ่าวรับใช้
บ่าวรับใช้คุกเข่าลงต่อหน้าซ่งหานจือและลู่จื่อชิง
“เจ้าเล่าสถานการณ์ให้ฟังที” ลู่จื่อชิงกล่าว
จากนั้นบ่าวรับใช้จึงเล่าเรื่องที่พบกับบ่าวรับใช้จวนซ่งในตลาดมืด
“เจ้าไปทำอะไรที่ตลาดมืด?” ไป๋กั่วเอ่ยถาม
“เรียนคุณหนู ผู้น้อยกำลังมองหาตัวยาบางอย่าง ตัวยานั้นหายากเป็นพิเศษ ได้ยินมาว่ามีเพียงในตลาดมืด ดังนั้นข้าจึงไปหามัน ผู้น้อยไปที่นั่นในนามของนายท่าน”
“เช่นนั้นเจ้าเห็นรูปร่างหน้าตาของคนผู้นั้นหรือไม่?” ลู่จื่อชิงเอ่ย “หากให้เจ้าระบุตัวเขา เจ้าระบุออกมาได้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใดในจวนซ่ง?”