สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 107 ข้าเบียดเจ้าหรือไม่
บทที่ 107 ข้าเบียดเจ้าหรือไม่?
บทที่ 107 ข้าเบียดเจ้าหรือไม่?
ในตอนที่ลู่อี้กลับเข้ามาให้ห้อง มู่ซืออวี่ก็หลับไปแล้ว
ใบหน้าที่หลับใหลอย่างเงียบสงบแต้มสีเลือดฝาดดูนุ่มละมุน ริมฝีปากแดงเรื่อพึมพำบางอย่างเบา ๆ ไม่รู้ว่ากำลังเอ่ยสิ่งใด ริมฝีปากนั้นราวกับกลีบดอกไม้ ประหนึ่งปกคลุมด้วยน้ำค้างในตอนเช้าตรู่ เปล่งประกายงามพริ้มเพรา
จู่ ๆ เขาพลันรู้สึกร้อนวูบวาบ
เขาดับเทียบไข นอนลงหันหลังให้นาง
แต่แล้วก็มีมือข้างหนึ่งเอื้อมมาวางแหมะลงบนเอว ทำเอาชายหนุ่มชะงักงัน
จากนั้นร่างนุ่ม ๆ ก็ซุกเข้ามาใกล้ ร่างกายเขาแข็งทื่อราวกับไม้กระดานขึ้นมาทันที
ขณะที่เข้าเฝ้ารอการเคลื่อนไหวขั้นต่อไป นางก็ไม่ขยับตัวแล้ว แค่พลิกตัวกลับไปแล้วหลับสนิทดังเดิม
ลู่อี้ “…”
เขามองแสงพระจันทร์นอกหน้าต่าง สูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง แล้วข่มตาหลับ
มู่ซืออวี่กำลังฝันดี ในฝันนางกำลังกอดตุ๊กตาตัวใหญ่ตัวหนึ่งไว้ ตุ๊กตาตัวนั้นสวยมาก นางทั้งกอดจูบมัน ทั้งขบงับซุกไซ้ ไม่อาจวางมันลง แต่ทันใดนั้นตุ๊กตาตัวนั้นก็พลันหนีไป นางไล่ตามมันไม่หยุด หลังจากไล่ตามอยู่นานก็ยังตามไม่ทัน สุดท้ายก็ตื่นขึ้นมาด้วยความโมโห
นางหาวออกมาแล้วเอ่ยทักทาย “อรุณสวัสดิ์”
ลู่อี้ที่นอนอยู่ข้าง ๆ เห็นนางเหยียดยืดตัว สายตาของเขาตกลงบนร่างอวบอิ่มของนาง
ใส่เพียงเสื้อตัวในอย่างเดียวก็ไม่เห็นอะไรหรอก แต่พอบิดตัวเช่นนี้ เรือนร่างอันงดงามก็ย่อมเผยออกมาสู่ครรลองสายตาจนได้
มู่ซืออวี่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจากอีกฝ่ายจึงมองหาลู่อี้ ลู่อี้มองนางด้วยใบหน้าแดงก่ำ เมื่อมองตามสายตาของเขา ใบหน้านางพลันแดงเถือกขึ้นมาทันที นางรั้งเสื้อผ้าเข้าหากันราวกับอยากจะปิดบังไว้
หลังจากออกกำลังกายมาได้สักพัก ส่วนที่ควรผอมลงก็ผอมบางลง ส่วนที่ไม่ควรลดลงกลับไม่ได้ลดลง อย่างเช่นบางแห่งที่นางภูมิใจเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่จะไม่ลดลงเท่านั้น ทว่ากลับอวบอิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
ลู่อี้ปิดเปลือกตาลง ลุกขึ้นนั่งอย่างไร้ชีวิตชีวา
เขาไม่ได้หลับทั้งคืน ถึงจะเคยมีประสบการณ์อดหลับอดนอนทั้งคืนตอนออกไปล่าสัตว์บนภูเขา แต่ตอนนั้นก็ไม่มีปีศาจสาวยั่วตบะคอยทรมานเขาอยู่ข้าง ๆ
ทั้งขบกัดทั้งจูบเขา ทำราวกับว่าเขาเป็นขาหมู ถ้าแค่เท่านี้ก็ช่างเถอะ แต่มือของนางกลับอยู่ไม่สุข ทำให้ร่างกายเขาลุกเป็นไฟ แทบจะแผดเผาจนมอดไหม้ หากไม่เป็นเพราะเห็นนางหลับลึก ยังคิดว่านางจงใจเสียอีก
“เจ้านอนไม่หลับหรือ?” มู่ซืออวี่พบว่าลู่อี้ดูไม่ค่อยปกติ
ลู่อี้กล่าวเสียงเข้ม “ข้าเอาแต่คิดเรื่องคดี พอจดจ่อมาก ๆ เข้าก็นอนไม่หลับ”
“เป็นเพราะข้าเบียดเจ้าหรือเปล่า?” มู่ซืออวี่ลองหยั่งเชิง “เตียงหลังนี้เล็กไปหน่อย ไม่เช่นนั้นข้า…”
ลู่อี้ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง
“เป็นอะไรไป?” มู่ซืออวี่เกร็งขึ้นมาทันที
“เมื่อคืนนี้ข้าพบคนร้ายคนหนึ่ง เห็น ๆ อยู่ว่าหลักฐานทั้งหมดชี้ไปที่เขา เขาปฏิเสธไม่ได้ จึงคิดจะจับท่านจู่ปู้*[2] เป็นตัวประกัน แต่ข้าขวางไว้แทน เขาเลยถูกคนผู้นั้นเอาค้อนทุบ”
“เหตุใดเมื่อคืนเจ้าไม่พูด? พวกเจ้าเป็นเสมียนไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงยังต้องเจอเรื่องอันตรายเช่นนี้” มู่ซืออวี่คลานลงจากเตียง “ข้าจำได้ว่าที่บ้านยังมียาทา เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่”
ลู่อี้มองนางสวมรองเท้ารีบร้อนออกไป ตอนนี้ฟ้ายังไม่สาง อีกทั้งยังไม่ได้จุดตะเกียงไว้ เขาคิดจะบอกให้นางช้าลงสักหน่อย แต่นางวิ่งออกไปเสียแล้ว
เขาลุกขึ้นจากเตียงไปจุดตะเกียง
มู่ซืออวี่กลับมาพร้อมกับยาทา
“เปลื้องผ้าออก”
ลู่อี้ลังเลไปชั่วขณะ ก่อนที่จะคลายเสื้อผ้าออก
“รอยบวมช้ำใหญ่เพียงนี้ เจ้ายังจะอดทนไม่พูดไม่จาอยู่อีก”
มู่ซืออวี่มองรอยฟกช้ำบนหลังของเขา ปากก็พร่ำบ่น
ลู่อี้ฟังเสียงบ่นเจื้อยแจ้วของนาง ถึงจะเหมือนเสียงของเหล่าสตรีออกเรือนแล้วในหมู่บ้าน แต่เสียงบ่นนี้กลับฟังรื่นหูที่สุดสำหรับเขา
“อึก…” เขาสูดปาก
“เจ็บหรือ? เข้าจะเบาแรงลง” มู่ซืออวี่ได้ยินเสียงร้องของเขาจึงผ่อนแรงลง
เขามองภาพที่สะท้อนในสายตาของนาง
เขานั่งอยู่ที่ขอบเตียง ส่วนนางคุกเข่าอยู่บนเตียง ปล่อยผมยาวสยาย มือของนางค่อย ๆ ทายาลงไปบนหลังของเขาพลางถูวนเบา ๆ เพื่อให้ยาซึมลงไปได้ดีขึ้น
ยานี้ทำให้แผ่นหลังของเขาร้อนผ่าว แต่สิ่งที่นางไม่รู้คือใจของเขากลับร้อนระอุกว่ามาก ราวกับเปลวไฟถูกจุดขึ้นมา ทำให้หัวใจของเขาคันยุบยิบ
“เสร็จแล้ว”
“อย่าบอกน้องเซวียนกับเด็ก ๆ ล่ะ”
“ข้าไม่โง่ขนาดนั้น” มู่ซืออวี่เอ่ยว่า “เรื่องแบบนี้บอกพวกเขาไปจะมีประโยชน์อะไร? มีแต่จะทำให้พวกเขาเสียใจ เป็นกังวลเอาเปล่า ๆ”
ลู่อี้สวมเสื้อผ้าพลางมองดูมู่ซืออวี่ที่กำลังเก็บของ ก่อนจะถามขึ้นมาว่า “เช่นนั้นเจ้าเล่า?”
มู่ซืออวี่เงยหน้าขึ้นมาอย่างฉงน “อะไรหรือ?”
“เจ้าเจ็บปวดด้วยหรือไม่?” สายตาของลู่อี้เผยความเร่าร้อนขึ้นมา
แก้มของมู่ซืออวี่แดงระเรื่อ “แน่…แน่นอน ข้าจะไปทำอาหารเช้าแล้ว”
ลู่อี้มองนางวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นในแววตา
ลู่จื่ออวิ๋นขยี้ตาเดินออกมา “ท่านพ่อ ท่านแม่…”
ลู่อี้กำลังกินข้าวเช้า เมื่อเห็นลู่จื่ออวิ๋นเดินเข้ามา เขาก็วางถ้วยในมือลงพลางกวักมือเรียกนาง
“เหตุใดไม่นอนอีกหน่อยล่ะ?”
“ข้าอยากไปห้องน้ำ” ลู่จื่ออวิ๋นพูดอย่างไร้เดียงสา “ได้ยินพวกท่านคุยกันจึงออกมาดู”
“เมื่อคืนข้ากลับมาบ้าน พวกเจ้าก็หลับไปแล้ว ข้าเลยไม่ได้ไปถามไถ่พวกเจ้า”
“ข้ากับท่านพี่สบายดี ถ้าไม่เชื่อท่านไปถามแม่ แต่ว่าท่านพ่อ ท่านไม่สบายหรือ? ทำไมหน้าของท่านมีรอยกัด? ถูกท่านแม่กัดมาหรือเจ้าคะ?”
ลู่จื่ออวิ๋นตาดีเป็นพิเศษ มู่ซืออวี่ไม่กล้ามองลู่อี้จึงไม่ได้พบ ‘หลักฐาน’ ของการก่อเหตุ ส่วนลู่จื่ออวิ๋นมองเห็นในปราดเดียว
มู่ซืออวี่ตกตะลึง “รอยกัด?”
“ใช่แล้ว อยู่นี่ ยังมีนี่ มีอีกเยอะเลย…” ลู่จื่ออวิ๋นชี้ไปที่ใบหน้าของลู่อี้
“อะแฮ่ม” ลู่อี้ดึงมือลู่จื่ออวิ่นไว้ “เจ้ามองผิดแล้ว”
“จะมองผิดได้อย่างไร?”
“รอยจากเตียงน่ะ” ลู่อี้ลุกขึ้นยืนอย่างลุกลี้ลุกลน “ข้าจะไปศาลาว่าการแล้ว”
มู่ซืออวี่มองแผ่นหลังของลู่อี้ที่จากไปอย่างกินปูนร้อนท้องพลางพึมพำกับตัวเอง “หรือว่าเขาจะมีคนอื่นอยู่ข้างนอก?”
หรือนี่เป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานนางก็ต้องหย่าแล้ว?
นางรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาทันใด
ทะลุมิติมาเป็นหญิงแต่งงานและมีลูกแล้วแบบนี้ นางที่เป็นหญิงดอกเบญจมาศ*[1] คนหนึ่งราวกับถูกฟ้าผ่า แต่เมื่อคิดว่าตอนนี้หมูที่ตนเลี้ยงมาจะไปกินผักกาดขาวบ้านคนอื่น ในใจก็ยังคงรู้สึกไม่พอใจอยู่เล็กน้อย
“ท่านแม่ ท่านไม่มีความสุขหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นดึงแขนเสื้อของมู่ซืออวี่ไว้
มู่ซืออวี่มองลู่จื่ออวิ๋นด้วยสีหน้าซับซ้อน
หากลู่อี้หย่าแล้วไปแต่งงานใหม่ เด็กสองคนนี้จะเป็นอย่างไร?
ลู่ฉาวอวี่ เด็กน้อยไร้มโนธรรมนั่นอาจจะติดตามพ่อของเขาไป เช่นนั้นอวิ๋นเอ๋อร์เล่า?
“ไม่ได้ไม่มีความสุข แค่กำลังคิดจะทำของอร่อยให้อวิ๋นเอ๋อร์กิน” มู่ซืออวี่ลูบผมของลู่จื่ออวิ๋น “อวิ๋นเอ๋อร์อยากกินอะไร?”
ใครจะสนเล่า! ตามน้ำไปก่อนก็แล้วกัน เหตุใดต้องกังวลกับเรื่องที่ยังไม่เกิด? หากวันนั้นมาถึงจริง ๆ จะต้องมีทางออกอย่างแน่นอน
ณ ศาลาว่าการ ลู่อี้ทำงานอย่างขันแข็งท่ามกลางสายตาล้อเลียนของเหล่าสหายร่วมงาน เขายังทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ
ชายหนุ่มจดบันทึกคดีแล้วรวบรวมไว้ในหอบันทึกคดีความ
“สหายลู่ ต่อไปก็บอกภรรยาเจ้าว่าอย่ากัดบนใบหน้า กัดที่อื่นเถอะ คนจะได้ไม่เห็น” นักการเกาตบบ่าชายหนุ่มก่อนจะหัวเราะฮ่าฮ่า
คนอื่นล้วนแอบหัวเราะเขามาทั้งเช้า เพียงแต่ไม่โจ่งแจ้งเท่านักการเกาเท่านั้น พอนักการเกาโผล่หัวผ่านหน้าต่างกระดาษเข้ามา คนอื่น ๆ จึงไม่ข่มกลั้นอีกต่อไป
“ฮ่าฮ่า พูดได้แค่ว่าสหายลู่กับฮูหยินรักกันดูดดื่ม แต่ฮูหยินดุเดือดเกินไปแล้ว คงมีแต่เพียงสหายลู่เท่านั้นที่ทนไหว…”
[1] หญิงดอกเบญจมาศ หมายถึง หญิงสาวที่ยังบริสุทธิ์
[2] จู่ปู้ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ดูแลเอกสารและตราประทับในหน่วยงานต่าง ๆ