สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1070 หนึ่งคำทำให้ใจห่อเหี่ยว
บทที่ 1070 หนึ่งคำทำให้ใจห่อเหี่ยว
สิงเจียซือดูสมุดบัญชีแล้วกล่าว “ระยะนี้กิจการดีขึ้นไม่น้อย มีคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก ข้าอยากจะย้ำเตือนทุกคนว่า ต้องรักษาคุณภาพของสินค้าให้ดี”
ลี่จือถูกสิงเจียซือเรียกมาจากร้าน ปกตินางเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบเรื่องภายในร้าน ทุกวันจะมารายงานให้สิงเจียซือฟัง ที่จวนอ๋องมีที่พักของนาง ทว่านางไม่ได้อาศัยอยู่ที่จวนท่านอ๋องลู่ อย่างไรเสียนางก็ต้องไป ๆ มา ๆ เช่นเดียวกันกับลี่จือยังมีสาวใช้อีกผู้หนึ่งนามหงซู่ ทั้งสองคนเป็นแม่นางที่ได้รับการช่วยเหลือจากสิงเจียซือ พวกนางมีภูมิหลังไม่สู้ดี ต่อมาจึงกลายเป็นมือขวาของสิงเจียซือในที่สุด
“เจ้านายวางใจ พวกเราเข้าใจ” หงซู่กล่าว “เจ้านาย อาการไอของท่านยังไม่หาย ท่านได้กินยาที่ใต้เท้าให้สำนักหมอหลวงเตรียมให้ตรงเวลาหรือไม่?”
“ข้ากินแล้ว” สิงเจียซือเอ่ย “เริ่มแรกได้ผลดี ทว่าเริ่มกลับมากำเริบอีกในช่วงไม่กี่วันมานี้ ร่างกายข้าเหมือนกับกระดาษถูกเจาะรู หลังจากเดินทางอยู่ข้างนอกมาหลายปีและต้องลมเย็น ข้าก็ทนความลำบากไม่ได้มากนัก”
“แจ้งใต้เท้าให้สำนักหมอหลวงปรับยาขนานใหม่ให้เถิด ไม่แน่ว่ายาปัจจุบันอาจเข้ากันกับร่างกายท่านไม่ได้” ลี่จือส่งน้ำให้
สิงเจียซือส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ความเจ็บป่วยผ่านมาและผ่านไปเหมือนเส้นด้าย อยากหายก็ต้องใช้เวลา ไม่ใช่ยาวิเศษเสียหน่อย จะกินแล้วหายทันทีได้อย่างไร?”
แม่นมฟางเดินเข้ามาจากด้านนอกแล้วกล่าวว่า “คุณหนูรองมาเจ้าค่ะ อีกทั้งยังพาท่านน้าเล็กของนางมาด้วย บอกว่าคืนนี้จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเขา นายท่านก็กลับมาแล้วเช่นกัน เขากำลังมาที่นี่เจ้าค่ะ”
สิงเจียซือลุกขึ้น “เช่นนั้นต้องต้อนรับเขาให้ดี”
ลี่จือลดเสียงลงกล่าว “เจ้านาย ท่านกำลังคิดอย่างไรกันแน่? นายท่านดีมากเพียงนั้น ท่านเองก็ชอบเขามาก เหตุใดยังไม่ร่วมหอเล่าเจ้าคะ?”
สิงเจียซือหน้าแดงก่ำ ถลึงตามองลี่จือ “ข้าใจดีกับเจ้าเกินไปใช่หรือไม่ ไยคำพูดเช่นนี้ก็กล้ากล่าวออกมาแล้ว”
ลี่จือยิ้มเจ้าเล่ห์ “เจ้านายเก่งที่สุดในใต้หล้า นี่ไม่ใช่เพราะบ่าวห่วงท่านหรือเจ้าคะ บ่าวเพียงไม่อยากให้ท่านพลาดบุรุษที่ดีเพียงนี้ไป! ท่านเขยเป็นผู้ใด สตรีทั่วทั้งเมืองหลวงมากมายต่างก็จับจ้องตำแหน่งนี้เชียวนะเจ้าคะ!”
ร้านของสิงเจียซือมีคนมาสร้างปัญหาทุกวันอยู่ระยะหนึ่ง ทว่าภายหลังเริ่มน้อยลงแล้ว หากบอกว่าไม่ใช่ฝีมือของลู่ฉาวอวี่ แม้กระทั่งพวกนางที่เป็นสาวใช้ยังไม่เชื่อ
บุรุษดี ๆ เช่นนี้ หากพลาดไปคงไม่มีโอกาสแก้ตัวแล้ว ทว่าเจ้านายของพวกนางกลับไม่รีบร้อน ทั้งยังไม่คิดหาวิธีรักษาตำแหน่งฮูหยินน้อยลู่นี้ไว้ จะดีที่สุดหากนางคลอดคุณชายน้อยสักคน คิดดูว่านั่นจะทำให้เหล่าหญิงสาวเจ็บปวดเพียงใด
“ยาแก้เจ็บคอข้าเล่า?” สิงเจียซือเอ่ย “เอาออกมาให้ข้า”
สาวใช้หายาเพิ่มความชุ่มชื้นในลำคอให้ หลังจากทานยาไปได้ไม่นาน ลู่ฉาวอวี่และลู่จื่อชิงกับจูเฉินก็มาถึง
สิงเจียซือเข้าไปต้อนรับ “ท่านพี่”
ลู่ฉาวอวี่กล่าว “นี่คือท่านน้าเล็กของข้า เข้ามาคารวะสิ”
จูเฉินหน้าแดงรับการคารวะจากสิงเจียซือ
เขาอายุน้อยที่สุดแต่กลับสูงศักดิ์กว่า แม้เขาจะเตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว ก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ลู่จื่อชิงเดินเข้ามากอดแขนสิงเจียซือ “คืนนี้พวกเราทานหม้อไฟดีหรือไม่เจ้าคะ?”
สิงเจียซือเอ่ย “ดีสิ อยากกินรสแบบใดหรือ?”
“ข้าอยากกินเผ็ด ไม่เผ็ดไม่ชอบ พี่ชายข้ากินอาหารรสเบา ที่ถูกปากที่สุดเป็นน้ำซุปเห็ด ส่วนหานจือชอบน้ำซุปไก่…” ลู่จื่อชิงนวดแก้มตนเอง “เช่นนี้ พวกเราต้องเตรียมหม้อต้มหลายหม้อ ท่านแม่ข้าทำหม้อที่สามารถใส่น้ำซุปได้แปดอย่างพร้อม ๆ กัน พวกเราจะใช้มันคืนนี้”
“ดี” สิงเจียซือเอ่ยเบา ๆ
ลู่จื่อชิงถอนหายใจเบา ๆ “ข้าคิดถึงท่านแม่แล้ว”
ทุกคนเงียบไป
มู่ซืออวี่และลู่จื่ออวิ๋นอยู่ข้างนอกนานแล้ว
ความกังวลแวบขึ้นมาในแววตาของลู่ฉาวอวี่
ลู่จื่อชิงและคนอื่น ๆ ไม่รู้สถานการณ์ ทว่าเขารู้ การเดินทางครั้งนี้ของมารดาและน้องสาวคนโตไม่ราบรื่นนัก ข่าวที่ได้รับเมื่อครึ่งเดือนก่อนคือพวกนางถูกโจมตี ทว่ารอดพ้นอันตรายมาได้อย่างหวุดหวิด เช่นนั้น ตอนนี้เล่า? ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?
ลู่ฉาวอวี่ในฐานะผู้สืบทอดสกุลลู่ เรื่องของสกุลลู่ล้วนไม่ได้ปิดบังเขา อีกทั้งเขายังสามารถเรียกใช้คนของลู่อี้ได้ตามต้องการ
“จริงสิ ท่านอ๋องชอบน้ำซุปแบบใดหรือ?” เมื่อเห็นว่าบรรยากาศไม่ถูกต้องนัก สิงเจียสิงซือจึงเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่ต้องเตรียมให้ท่านพ่อ” ลู่จื่อชิงกล่าว “ท่านแม่ไม่อยู่ เขาจะไม่ทานข้าวโต๊ะเดียวกับเรา หนึ่งคือเขารู้สึกเบื่อ สองคือเขาไม่ต้องการให้พวกเราอึดอัด”
โดยเฉพาะสิงเจียซือลูกสะใภ้ผู้นี้ นางควรเป็นผู้ที่อึดอัดที่สุด ลู่จื่อชิงและคนอื่น ๆ นั้นอย่างไรก็ได้ เพราะอย่างไรเสียลู่อี้ก็เคร่งขรึมมาโดยตลอด พวกเขาคุ้นเคยกับมันมานานแล้ว
“ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงเตรียมเถิด ไม่มีเหตุผลที่พวกเราจะต้องกินดื่มโดยไม่เตรียมให้ผู้อาวุโส” สิงเจียซือกล่าว “ถึงเวลาก็เตรียมของที่ท่านอ๋องชอบทาน แล้วส่งไปให้เขาที่ห้องตำรา”
“เตรียมสองที่เถอะ” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “ท่านอารองจะมาหารือที่นี่ เขาทานของเบา ๆ”
“ได้” สิงเจียซือเอ่ย “เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมแล้ว ท่านน้าเล็ก เจียซือขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
จูเฉินเอ่ย “เชิญตามสบายเถิด”
ลู่จื่อชิงเอ่ยกับจูเฉิน “ไปเถอะ ข้าจะพาท่านไปเยี่ยมชมจวนซ่ง”
ลู่ฉาวอวี่ “…”
นางช่างไม่เห็นว่าตนเองเป็นคนนอกเลยจริง ๆ
“บ่าวรับใช้จวนซ่งกินใน ช่วยข้างนอก ขโมยของของเจ้านายไปขาย ตรวจสอบกระจ่างแล้วหรือ?”
ลู่จื่อชิงกล่าว “ท่านพี่ ท่านจับตาดูทั่วทั้งเมืองหลวงแล้วหรือไร เหตุใดแม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ก็ล้วนรู้ไปหมดเล่า?”
“เรื่องอื่นข้าไม่รู้ ทว่าเจ้าเทียวไปเทียวมาที่จวนซ่งอยู่ทุกวี่วัน แน่นอนว่าข้าย่อมต้องสอบถามให้ชัดเจน ตอนนี้เจ้ายังไม่ได้แต่งเข้าไป ยับยั้งชั่งใจหน่อยได้หรือไม่?” ลู่ฉาวอวี่กล่าว “หากเจ้าอยากแต่งงานกับซ่งหานจือจริง ๆ หมู่นี้ก็ไม่ต้องไปจวนซ่งแล้ว อยู่ที่บ้านตนเองอย่างว่าง่าย อย่าได้ขลุกอยู่ด้วยกันทั้งวันก่อนแต่งงาน เพื่อไม่ให้หลังแต่งไปแล้วจบลงด้วยการเบื่อหน้ากัน”
ลู่จื่อชิง “…”
นางหันกลับไปมองลู่ฉาวอวี่ “เช่นนั้นท่านกับพี่สะใภ้อยู่ด้วยกันทุกวี่วัน เบื่อแล้วหรือ?”
ลู่ฉาวอวี่ลูบผมลู่จื่อชิง “เจ้าเด็กโง่”
ลู่จื่อชิงไล่ตามไป “ท่านพี่เบื่อแล้วหรือเจ้าคะ?”
หากคนสองคนแต่งงานแล้วต้องเบื่อกัน เช่นนั้นก็อย่าแต่งจะดีเสียกว่า! พวกนางตัวติดกันหลายปีมานี้ไม่เคยเบื่อหน่าย หากเบื่อหน้ากันเพราะแต่งงาน เช่นนั้นจะมีความหมายอะไร? ยังไม่สู้เป็นสหายกันดีกว่า!
ซ่งหานจือตามบ่าวรับใช้ของจวนลู่เข้าไปในเรือนหลัง เมื่อเห็นลู่จื่อชิงนั่งอยู่บนชิงช้าก็ถอนหายใจ
เขาหยุดยืนอยู่ข้างหลังนางแล้วกล่าว “ต้องให้ข้าช่วยเจ้าไกวชิงช้าหรือไม่?”
ลู่จื่อชิงเอนกายอยู่บนชิงช้า “ไม่เช่นนั้นเอาอย่างนี้ เจ้าไม่ต้องมาสู่ขอข้าแต่งงาน เรายังคงเป็นสหายกันดีกว่า อย่างน้อยพวกเราก็ไม่ต้องเบื่ออีกฝ่าย”
ซ่งหานจือ “…”
นี่เกิดอะไรขึ้น?
เขาไม่รู้ว่าผู้ใดมาสั่นคลอนใจนาง?
“ไยต้องเบื่อกันเล่า?” ซ่งหานจือเอ่ยถาม
“หลังแต่งงานมีเรื่องหยุมหยิมมากมาย เวลาผ่านไป ความรู้สึกแต่เดิมก็เหือดหาย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเรารู้จักกันมานานเกินไป ไม่มีอะไรใหม่แม้แต่น้อย ได้ยินว่าบุรุษชอบความตื่นเต้น สตรีข้างนอกย่อมหอมกว่าสตรีที่บ้านเสมอ เจ้าเคยเห็นข้าตีคน เคยเห็นข้าไม่ล้างหน้า เคยเห็นข้าในสภาพกระเซอะกระเซิง ไม่รู้สึกว่าไม่มีความสดใหม่แม้แต่น้อยบ้างหรือ?”