สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1072 วันธรรมดาแสนพิเศษ
บทที่ 1072 วันธรรมดาแสนพิเศษ
เมื่อลู่จื่อชิงเปิดออกก็เห็นว่าข้างในมีภาพวาด ในภาพวาดเป็นฉากที่นางและฟ่านซู่พบกันครั้งแรก
นอกจากนี้ในภาพยังมีบทกวีบทหนึ่ง ความหมายของกวีบทนั้นคงเป็นการบอกลานาง การพานพบกันเป็นสิ่งล้ำค่า นางหวนนึกถึงอดีตในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเล็กน้อย
ซ่งหานจือนำภาพวาดนั้นไปแล้วเอ่ยว่า “ผู้ใดต่างบอกว่าอี้อ๋องไอสังหารแกร่ง ไม่ต้องแขวนภาพวาดนี้ไว้ในห้องแล้ว เอาไปทิ้งเถอะ!”
ลู่จื่อชิงกล่าว “เหตุใดเจ้าจึงเชื่อคำพูดหลอกลวงพรรค์นี้ไปกับเขาด้วยเล่า?”
“หากเป็นผู้อื่นข้าไม่เชื่อ ทว่าเขา…” ซ่งหานจือโบกพัดอยู่ข้าง ๆ “เขาแทบจะชิงคนของข้าไปแล้ว แน่นอนว่าข้าต้องใส่ร้ายเขาสักสองสามคำ”
ลู่จื่อชิงขมวดคิ้ว “ได้ยินมาว่ามารดาของอี้อ๋องเสียชีวิตไปเมื่อครึ่งปีก่อน บัดนี้เขาอยู่คนเดียวจริง ๆ ไม่มีญาติสนิทมิตรสหาย ท้ายที่สุดพอเขาไปสู่ขอแต่งงานก็มีข่าวลือเรื่องดวงพิฆาตคนออกมา บัดนี้ดีนัก กลายเป็นคนถือศีลกินเจไปแล้ว เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าไม่มีผู้ใดในโลกนี้น่าเวทนากว่าเขาเลยเล่า?”
“เขายังมีที่ศักดินา รอเขาไปถึงที่ศักดินา ที่นั่นย่อมไม่มีผู้ใดรู้เรื่องของเขา อี้อ๋องคงไม่ได้เสียใจอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้”
“ก็ถูก” ลู่จื่อชิงกล่าว
“เจ้าจำที่อาจารย์ให้เจ้าท่องได้แล้วหรือ?” ซ่งหานจือถาม “อาจารย์ท่านนี้เข้มงวดมาก หากท่องไม่ได้ เขาคงบีบหัวใจเจ้าให้แหลกคามือจริง ๆ”
ลู่จื่อชิง “…”
นางนอนร้องไห้อยู่ตรงนั้น
เพราะอยู่ที่บ้าน นางจึงสวมชุดใส่ภายในบ้าน เรือนผมยาวสยายลงมา ใบหน้าเนียนละเอียดของนางไม่ได้เติมแต่ง ทว่าก็แดงก่ำราวกับกลีบกุหลาบ เพราะความเศร้าใบหน้าจึงดูหมองหม่น มองแล้วทำให้รู้สึกสงสารยิ่งนัก
ซ่งหานจือเดินไปหยิบตำราจากโต๊ะแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะแนะนำเจ้าเอง เจ้าเพียงแค่จำมันก็พอ!”
“ข้าจำไม่ได้แล้ว” ลู่จื่อชิงเอ่ย “เจ้ารู้หรือไม่ หากให้ใช้วิทยายุทธ์ ข้าอ่านเพียงปราดเดียวก็จะสลักลึกลงไป…”
คำในตำราดูเหมือนอักษรโบราณที่ซับซ้อนในสายตานาง จะอย่างไรก็ไม่มีทางจดจำได้ขึ้นใจจริง ๆ
ซ่งหานจือนั่งลงข้าง ๆ “ข้าได้เคล็ดวิชาลับมาใหม่เล่มหนึ่ง เกี่ยวกับวิชากระบี่ของสตรี หากเจ้าท่องได้สามประโยค ข้าจะสอนเจ้าหนึ่งกระบวนท่า”
“จริงหรือ?”
ลู่จื่อชิงหยิบตำราไปจากมือ “สอนวรยุทธ์ให้ข้าหนึ่งถ้วยชา”
ซ่งหานจือหัวเราะอยู่ข้าง ๆ
เขาหยิบตำราเล่มอื่นขึ้นมา
ตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ชั้นเรียนเดียวกันแล้ว เขาต้องเตรียมตัวสอบขุนนาง ส่วนลู่จื่อชิงเป็นสตรี ไม่จำเป็นต้องสอบขุนนาง สิ่งที่นางเรียนจึงไม่เหมือนกับเขา
ซ่งหานจือจดจ่ออยู่กับการอ่านตำรา
ผ่านไปครู่หนึ่ง อ่านไปได้เพียงไม่กี่หน้า เขาก็เงยหน้าขึ้นมองลู่จื่อชิง
ลู่จื่อชิงนอนอยู่บนโต๊ะ เอ่ยพึมพำบางอย่าง นางหลับตาพริ้ม นอนหลับอย่างสงบทีเดียว
ซ่งหานจือหัวเราะ “ดูเหมือนนางจะเกลียดการท่องจำตำราจริง ๆ”
พระอาทิตย์ค่อย ๆ เคลื่อนคล้อยลงจากท้องฟ้า ขณะที่ดวงอัสดงกำลังจะตกลงไปในหุบเขา ในที่สุดลู่จื่อชิงก็นอนหลับเต็มอิ่ม
ซ่งหานจือวางศอกลงข้างตัว ก่อนจะใช้มืออีกข้างพลิกตำราอย่างเกียจคร้าน
“ดูเหมือนแม้กระทั่งเคล็ดวิชาลับก็ยังใช้ไม่ได้ผล”
“หานจือ…” ลู่จื่อชิงโน้มตัวเข้าหาเขา “พี่หานจือ นั่นเป็นเคล็ดวิชาลับอะไรหรือ?”
ถึงแม้ซ่งหานจือจะกลับมาแล้ว ทว่าการเป็นประมุขพันธมิตรยุทธภพตอนนั้นก็ไม่สูญเปล่า เขายังคงมีอำนาจอยู่ในยุทธภพ
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องกระบี่สะบั้นรักหรือไม่?”
“นั่นคืออะไรน่ะ?”
“ตามตำนาน…” ซ่งหานจือปิดตำรา แล้วเริ่มอธิบายเรื่องกระบี่สะบั้นรักที่ว่าให้ลู่จื่อชิงฟัง
กระบี่สะบั้นรักเป็นมือกระบี่ผู้หนึ่ง เพื่อที่จะฝึกฝนกระบี่ที่ทรงพลังที่สุดในใต้หล้าแล้ว เขาไม่ลังเลที่จะฆ่าภรรยาและลูก ๆ แม้แต่น้อย ทำให้ตนเองกลายเป็นคนไร้ความปรานี
เขาทำได้สำเร็จและกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานในใต้หล้าอยู่อย่างน้อยห้าปี
อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งเขาตกอยู่ในมือของสตรีที่ฝึกฝนกระบี่เปี่ยมรัก
เปี่ยมรักที่ว่าไม่เพียงแค่เพื่อคนรักเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงครอบครัวและมิตรภาพด้วย
กระบี่เปี่ยมรักที่ว่าเปรียบเสมือนกระบี่ที่ออกแบบมาเพื่อยับยั้งกระบี่สะบั้นรักโดยเฉพาะ ท้ายที่สุดมือกระบี่ผู้นั้นก็เสียชีวิตด้วยน้ำมือของกระบี่เปี่ยมรัก
“เจ้ามีเคล็ดกระบี่นี้จริง ๆ หรือ?”
“มีน่ะมี แต่ข้าไม่คิดว่าชิงเอ๋อร์จะสนใจ ท้ายที่สุดแล้ว ข้าไม่เห็นความกระตือรือร้นของเจ้า” ซ่งหานจือเขี่ยจมูกนางเบา ๆ
ลู่จื่อชิงโน้มตัวเข้าไปจับแขนเขาแล้วเขย่าเบา ๆ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ซ่งหานจือ เจ้าไม่อาจรังแกข้า ข้าไม่ชอบท่องตำรา ข้าชอบเพียงฝึกกระบี่”
“ชิงเอ๋อร์ ท่านอ๋องสั่งให้เจ้าทำการบ้านของสำนักศึกษาหลวงให้เรียบร้อย อาจารย์คนปัจจุบันเข้มงวดกับเจ้ามาก หากจำไม่ได้ ฝ่ามือเจ้าคงต้องบวม หากข้ารับการตีนี้แทนเจ้าได้ ข้าก็ยินดี ในเมื่อเจ้าไม่อยากท่องก็ไม่ต้องท่อง ทว่าข้าทำเช่นนั้นไม่ได้ เจ้าต้องรับโทษด้วยตนเอง เช่นนั้น ข้าย่อมทนไม่ได้! เจ้าต้องเรียนรู้และท่องจำบทเรียนนี้ให้ได้”
ซ่งหานจือเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนเจือไปด้วยความรัก แม้ลู่จื่อชิงคิดจะบิดพลิ้วก็ต้องลำบากใจแล้ว
“ข้าโง่น่ะสิ ข้าจำไม่ได้”
“เจ้าไม่ต้องกังวล มาเถอะ ข้าจะสอนเจ้า”
ซ่งหานจือสอนนางประโยคต่อประโยค ทั้งยังอธิบายประกอบให้
ลู่จื่อชิงไม่ชอบท่องสิ่งเหล่านี้เลยจริง ๆ มันท่องจำได้ยากยิ่งนัก อย่างไรก็ตาม ซ่งหานจือแต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนอดทนจึงไม่ได้รีบร้อน
“ดูสิ ไม่ใช่ว่าจำได้สามประโยคแล้วหรือ?” ซ่งหานจือยิ้มแล้วจูบลงบนปลายจมูกนาง “ชิงเอ๋อร์ของเราฉลาดที่สุด”
ลู่จื่อชิงชะงัก ถอยไปสองสามก้าว แล้วเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เจ้าเอาเปรียบข้า”
ซ่งหานจือหัวเราะ “ชิงเอ๋อร์ หากกล่าวเรื่องเอาเปรียบ เจ้าคงเป็นคนที่เอาเปรียบข้าก่อน ข้าจำได้ว่า…”
“เงียบนะ” ลู่จื่อชิงใช้มือปิดปากเขา “ตอนนั้นเจ้าหมดสติไปแล้วไม่ใช่หรือ?”
ซ่งหานจือกะพริบตาปริบ ๆ “หมดสติอะไร? ชิงเอ๋อร์พูดถึงอะไรน่ะ?”
เท่านั้นเองลู่จื่อชิงถึงได้รู้ว่าโดนซ่งหานจือหลอกเข้าแล้ว
เขาจงใจพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เพียงเพื่อกระเซ้าเย้าแหย่นาง
ซ่งหานจือโน้มตัวเขาไปกระซิบข้างหูลู่จื่อชิง “ตอนนั้นข้าหมดสติไปแล้วจริง ๆ แต่ว่าชิงเอ๋อร์ พอข้าตื่นขึ้นมา ริมฝีปากก็บวมเจ่อ ทั้งยังเจ็บเล็กน้อย เจ้าว่าเหตุใดเป็นเช่นนั้นเล่า?”
ลู่จื่อชิง “…”
หน้านางร้อน ประหนึ่งเป็นกุ้งที่ถูกต้มจนสุก
ก่อนหน้านี้ซ่งหานจือไม่กล้าแหย่นาง เขาปิดบังเรื่องนั้นไว้อย่างมิดชิดมาโดยตลอด ไม่กล้าเปิดเผยความจริงว่าตนรู้เรื่อง
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ซ่งหานจือรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลู่จื่อชิงมีบางอย่างขาดหายไป เขาไม่อาจเหมือนเมื่อก่อนที่สิ่งใดล้วนทำตามนางไปเสียทุกอย่างได้ ไม่เช่นนั้น นางจะไม่รู้จักความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ระหว่างพวกเขา
“กล่าวไว้ดิบดีว่าจำได้สามประโยคจะสอนให้ข้าหนึ่งกระบวนท่า” ลู่จื่อชิงเอ่ย “เจ้าอย่าบิดพลิ้ว”
นางหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องเมื่อครู่นี้อีก
ซ่งหานจือไม่กล้ารุกหนักจนเกินไป เขาทำได้เพียงลุกขึ้นมาสอนกระบวนท่าใหม่ให้นาง
เพลงกระบี่นั้นวิเศษมาก ดูเหมือนอ่อนแอ ทว่ากลับอันตรายถึงชีวิต ดูเหมือนอ่อนโยน แต่กลับกลายเป็นว่าสามารถทำให้ก้อนหินแตกกระจายได้
ลู่จื่อชิงได้ลิ้มรสผลประโยชน์จึงเร่งเร้าให้ซ่งหานจือสอนกระบวนกระท่าที่สองให้
ทว่าครั้งนี้ไม่ว่านางจะรบเร้าเพียงใด ซ่งหานจือก็ยังยืนกรานให้ใช้การท่องตำราเป็นการแลกเปลี่ยน ลู่จื่อชิงไม่พอใจ แต่ก็รู้ดีว่าหากซ่งหานจือยืนกรานแล้วจะไม่เปลี่ยนใจ นางจึงเริ่มท่องตำราอย่างจริงจัง