สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1075 เรื่องนี้ง่ายมาก
บทที่ 1075 เรื่องนี้ง่ายมาก
“ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ! สามีของข้ายุ่งกับหน้าที่ราชการ เกรงว่าเขาจะไม่มีเวลามาฟังเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้” สิงเจียซือวางตะเกียบลงแล้วมองฮูหยินผู้เฒ่าสิงอย่างเย็นชา
ฮูหยินผู้เฒ่าสิงมองสิงเจียซือด้วยสีหน้าซับซ้อน “เจ้าห้า วันนี้เป็นมื้อเย็นของครอบครัว ครอบครัวนั่งกินข้าวด้วยกันและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่บ้าน เหตุใดเจ้าใจร้อนเพียงนี้?”
“ท่านบอกว่าข้าชอบอาหารจานนี้ ข้าก็ชอบจริง ๆ แต่นั่นเป็นตอนที่ข้ายังเด็ก หลายปีผ่านไป รสที่ถูกปากย่อมเปลี่ยนตาม ข้าไม่ชอบอาหารจานนี้อีกต่อไปแล้ว” สิงเจียซือเอ่ยนิ่ง ๆ “หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีเรื่องใดแล้ว ข้ากับท่านพี่ต้องกลับก่อน สกุลลู่มีกฎของสกุล จะต้องกลับบ้านก่อนยามสอง”
ลู่ฉาวอวี่วางมือลงบนมือของสิงเจียซือ เขาออกแรงลูบเบา ๆ แล้วเงยหน้ามองฮูหยินผู้เฒ่าสิง “วันนี้ข้าพบใต้เท้าเฝิงกรมกลาโหม เขายื่นกระดาษเขียนคำร้องมา คร่าว ๆ คือมีคนทำบุตรชายของเขาหัวแตก บุตรชายของเขาหมดสติไป นั่นเป็นบุตรชายที่เขาได้มาตอนแก่ นับได้ว่าเป็นก้อนทองคำทีเดียว เรื่องนี้เขาให้ข้าตัดสินใจ ข้ารับผิดชอบสำนักตรวจการ รับผิดชอบคดีร้ายแรง ไม่มีความสนใจในเรื่องทะเลาะเบาะแว้งของคุณชายเสเพลเช่นนี้ ข้าจึงให้ใต้เท้าเฝิงเขียนหนังสือถึงเขตจิงเจ้า หากเขตจิงเจ้าไม่สนใจก็ไปกรมอาญาหรือศาลต้าหลี่ ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านคิดว่าการจัดการของข้าเหมาะสมหรือไม่?”
“ท่านเขยห้า ใต้เท้าเฝิงต้องการฟ้องอิงเอ๋อร์บ้านรองเรานะ!” ฮูหยินรองสิงร้อนใจขึ้นมา “หากท่านไม่สนใจ อิงเอ๋อร์ต้องถูกใต้เท้าเฝิงตีตายเป็นแน่”
“เขาสมควรได้รับ” สิงเจียซือกล่าวอย่างเย็นชา “พวกท่านพยายามวางแผนให้เขาอย่างดีที่สุด เขาไม่เพียงแต่ไม่ก้าวหน้าเท่านั้น แต่ยังก่อปัญหาไปทั่ว ในเมื่อเขากล้าก่อปัญหาก็ควรจัดการด้วยตนเอง อย่าให้ผู้อื่นมาคอยเช็ดก้นให้”
“เจ้าห้า เจ้าใจร้ายเพียงนี้ได้อย่างไร? นั่นเป็นพี่ชายของเจ้านะ” ฮูหยินรองสิงโมโหขึ้นมาแล้ว “แม้ตนเองได้ดิบได้ดีแล้ว เจาก็ไม่อาจไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเราได้”
สิงเจียซือเอ่ยกับลู่ฉาวอวี่ “ท่านพี่ พวกเรากลับกันเถอะ ท่านพ่อไม่ได้บอกว่ามีเรื่องจะหารือกับท่าน ให้ท่านกลับไปเร็ว ๆ หรือ? หากล่าช้าแล้ว โดนท่านพ่อทางนั้นตำหนิจะไม่เหมาะสมนะเจ้าคะ”
ลู่ฉาวอวี่มองฮูหยินผู้เฒ่าสิง “คนของจวนท่านบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าคิดถึงคุณหนูห้า อยากเชิญคุณหนูห้ากลับจวนมาพบกัน ข้าจึงพาฮูหยินกลับมาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่า บัดนี้ดูแล้ว ย่าคิดถึงหลานสาวเป็นความเท็จ ทว่าเรื่องที่อยากช่วยหลานชายเป็นความจริง ฮูหยินผู้เฒ่า หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกไม่ต้องไปที่จวนลู่เพื่อหาคนแล้ว ข้าและฮูหยินไม่สนใจเรื่องน่าอายเหล่านี้ในจวนท่าน นับประสาอะไรกับจะเสียเวลาช่วยพวกท่าน”
ลู่ฉาวอวี่จูงมือสิงเจียซือเดินไปไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาเอ่ย “อันที่จริงเรื่องนี้ง่ายมาก นายน้อยอิงจวนท่านตีหัวอีกฝ่ายแตกอย่างไร ท่านก็ตีหัวเขาคืนให้อย่างนั้น หากอีกฝ่ายยังไม่พอใจ เช่นนั้นท่านก็โยนตัวปัญหาให้ใต้เท้าเฝิงจัดการเสีย ไม่ว่าอย่างไร ใต้เท้าเฝิงก็เป็นขุนนางในราชสำนัก ย่อมไม่อาจฆ่าคนตายต่อหน้าคนทั้งเมืองหลวงได้”
“ท่านแม่…”
ทันทีที่ลู่ฉาวอวี่จากไป ฮูหยินรองสิงก็เริ่มกังวล
“ท่านแม่ ท่านอย่าไปฟังเขานะเจ้าคะ”
“สุดท้ายก็ยังไม่เห็นพวกเราเป็นบ้านดอง” นายท่านรองสิงเบ้ปาก “ตอนนั้นคุณหนูรองสกุลลู่ผู้นั้นทำให้คนหัวแตก สกุลลู่ก็ไม่ได้จัดการแล้วหรือ? ด้วยอำนาจของสกุลลู่ เพียงกล่าวประโยคเดียว เจ้าคนแซ่เฝิงจะกล้ากล่าวอะไรได้?”
นายท่านสามสิงโวยวาย “เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เมื่อครู่เขาไม่ได้เอ่ยหรือว่าใต้เท้าเฝิงเขียนคำร้องให้เขา นั่นก็เพื่อทดสอบท่าทีของเขา ดูว่าจะออกหน้าให้สกุลเราหรือไม่ แต่เขากลับให้ใต้เท้าเฝิงส่งคำร้องไปที่กรมอาญากับศาลต้าหลี่ ชัดเจนว่าไม่สนใจเรื่องนี้ เจ้าคนแซ่เฝิงเป็นจิ้งจอกเฒ่า เมื่อรู้ท่าทีของสกุลลู่แล้วจะปล่อยอิงเอ๋อร์ไปได้อย่างไร? ท่านแม่ หากเจ้าห้าแต่งให้สกุลหัวย่อมไม่เป็นเช่นนี้”
“ที่น่ารังเกียจที่สุดคือเจ้าห้า ท่าทีของนางก็คือท่าทีของใต้เท้าลู่ เมื่อครู่หากนางพูดแทนอิงเอ๋อร์ของพวกเราสักสองสามคำ ใต้เท้าลู่คงไม่ใจจืดใจดำเพียงนั้น ข้าว่าเจ้าห้าจงใจ นางเกลียดพวกเรา!”
“พอแล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่าสิงเอ่ยด้วยโทสะ “พวกเจ้าโทษนั่นโทษนี่ เหตุใดไม่โทษสิงซื่ออิงบ้าง? หากเขาทำเรื่องที่สมควรต่อหน้าธารกำนัล พวกเราคงไม่ต้องอ้อนวอนใต้เท้าลู่น้อยเช่นนี้”
มีเสียงดังมาจากข้างนอก จากนั้นแม่นมเฉียนก็เดินเข้ามาแล้วเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าสิง “ฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูสี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
“เวยเวยกลับมาแล้วหรือ?” ฮูหยินรองสิงลุกขึ้นโดยพลัน “ใช่แล้ว เหตุใดเราจึงลืมเวยเวยเล่า เวยเวยแต่งเข้าจวนฉีนี่”
ฮูหยินผู้เฒ่าสิงรู้สึกหงุดหงิด “แต่งหรือ? นางเป็นเพียงอนุ นั่นนับว่าแต่งที่ใด?”
ฮูหยินรองสิงแย้ง “ท่านแม่ ท่านอย่าดูถูกเวยเวย ไม่ว่าอย่างไร นางก็กำลังตั้งท้องเลือดเนื้อของใต้เท้าฉี นี่เป็นบุตรชายที่เกิดยามใต้เท้าฉีย่างเข้าวัยกลางคน ย่อมหายากราวกับไข่มุก อิงเกอเอ๋อร์เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเวยเวย เทียบกับสามีเจ้าห้า คนไร้หัวใจผู้นั้น เขาจะต้องใส่ใจกว่ากระมัง?”
“รักษาม้าตายดั่งม้าเป็น คงทำได้เพียงลองดูแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าสิงกล่าว “เตรียมถ้วยกับตะเกียบเพิ่ม”
สิงเจียเวยได้ยินว่าสิงเจียซือกลับไปจวน นางบังเอิญผ่านมาใกล้ ๆ จึงอุ้มท้องโต ๆ ตามกลับไปด้วย
ท้องของนางยื่นออกมา คิ้วตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
สิงเจียซือแต่งงานมานานแล้วแต่กลับไม่มีวี่แววมีทายาท ดูนางสิ ภายในระยะเวลาสั้น ๆ นางก็ตั้งท้องเลือดเนื้อของสกุลฉีแล้ว อย่างน้อยในด้านนี้ นางก็ยังดีกว่าสิงเจียซือมาก
ไม่ผิด สิงเจียเวยมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาให้สิงเจียซือ
“ได้ยินว่าน้องห้ากลับมา เหตุใดไม่เห็นนางเล่า?” สิงเจียเวยทักทายผู้อาวุโส จากนั้นก็มอบของขวัญแล้วจึงนั่งลง
คนของบ้านสี่ต่างก็ได้รับของขวัญ แม้กระทั่งนายท่านสี่สิงและฮูหยินสี่สิงที่ไม่ชอบนักก็ยังได้รับของขวัญจากนั้นคนละชิ้นเช่นกัน
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เปิดดูว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ทว่านายท่านสี่สิงและฮูหยินสี่สิงก็ยังประหลาดใจที่ได้รับความสำคัญ
นังหนูสี่บ้านรองมักจะเชิดหน้าชูคอ เมื่อไหร่ที่นางเห็นพวกเขา นายท่านสี่สิงบุตรนอกสมรสและภรรยาอยู่ในสายตากัน?
จริงสิ บัดนี้สิงเจียเวยเป็นอนุ สถานะยังไม่สู้พวกเขา ไม่แปลกที่จะเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เช่นนี้
“นางไปแล้ว” ฮูหยินรองสิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปร่ง ๆ “คนธรรมดาทั่วไปอย่างจวนเราจะคู่ควรกับผู้สูงศักดิ์อย่างคนของจวนลู่ได้อย่างไร?”
สิงเจียเวยมองอาหาร แววตาดูถูกเหยียดหยามปรากฏขึ้น “มิน่าเล่า เหตุใดน้องห้าถึงไม่ชอบกิน ทั้งหมดนี้คืออะไร!”
ฮูหยินรองสิงมีสีหน้าไม่น่าดูชม
ฮูหยินผู้เฒ่าสิงไม่เปลี่ยนสีหน้า สุดท้ายแล้วลูกหลานแต่ละคนของนางมีนิสัยอย่างไร นางล้วนรู้ดีกว่าใคร ๆ
“เจ้ากลับมาทำอะไร?” ฮูหยินผู้เฒ่าสิงเอ่ยถาม
สิงเจียเวยมีสีหน้ากลัดกลุ้ม “ลูกในท้องข้าจุกจิก กินอะไรก็ไม่ได้ เดิมทีข้าพาบ่าวรับใช้ออกมาหาของกิน พอเดินผ่านจวน ข้าคิดว่าไม่ได้กลับมานานแล้วจึงอยากมาเยี่ยมท่านย่ากับท่านพ่อท่านแม่”
“จะกลับเมื่อใดล้วนกลับมาได้ ไม่ได้ไกลอะไร” ฮูหยินรองสิงกล่าว
นายท่านรองสิงเปิดปากขึ้น “เจ้าอย่าได้เลียนแบบเจ้าห้า นับตั้งแต่แต่งงานไป คนในครอบครัวเราล้วนไม่อยู่ในสายตานาง แม้อยากจะขอความช่วยเหลือจากนางกลับโดนอ้างนู่นอ้างนี่”
“อ้างนู่นอ้างนี่ก็แล้วไปเถิด แต่ยังกระแทกกระทั้นเสียดแทงเรากลับอีก” ฮูหยินรองสิงเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง “เราเป็นผู้อาวุโสของพวกเขา ไม่ว่าสกุลลู่จะมีอำนาจเพียงใดก็ไม่อาจอกตัญญู! หมาป่าตาขาว เป็นหมาป่าตาขาวจริง ๆ”
ฮูหยินสามสิงเอ่ยกับสิงเจียเวย “ได้ยินว่านายหญิงของจวนฉีเป็นคนอ่อนโยน เจ้าใช้ชีวิตอยู่ภายใต้นางคงไม่ลำบากอะไรกระมัง? ผิดต่อเจ้าสี่ของเราแล้วจริง ๆ เป็นบุตรสาวภรรยาเอก จู่ ๆ ก็ต้องกลายเป็นอนุ”
“เจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเจ้าเป็นใบ้” นายท่านสามสิงกล่าวตำหนิ “เจ้าสี่สภาพนี้ไม่ดีที่ใดกัน เจ้าดูสิว่านางเป็นที่โปรดปรานเพียงใด! ดูจี้หยกนี้สิ คุณภาพดีเช่นนี้ จะต้องมีราคาไม่น้อยทีเดียว”
สิงเจียเวยเงยหน้าขึ้น “แน่นอนว่าใต้เท้าต้องรักข้า ข้ามีทายาทสกุลฉีอยู่ในท้อง”
“ในเมื่อเจ้ารุ่งเรืองเช่นนี้ เช่นนั้นเรื่องพี่ชายเจ้าคงต้องฝากเจ้าแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าสิงกล่าว “พอดีใต้เท้าฉีรับผิดชอบกรมกลาโหม ใต้เท้าเฝิงนับว่ารู้จักเขา”
“เกิดอะไรขึ้น?” สิงเจียเวยเอ่ยถาม
ฮูหยินผู้เฒ่าสิงมองฮูหยินรองสิง “เจ้าบอกสิ”
ฮูหยินรองสิงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังโดยละเอียด
“พี่ชายข้าก็จริง ๆ เลย ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ไม่อาจตีคนได้ ทั้งยังตีจนคนเขาหัวแตก”
สิงเจียเวยบ่นสองสามคำแล้วจึงเอ่ยถามว่าสิงซื่ออิงอยู่ที่ใด
“ตอนนี้เขาอยู่ที่เรือนบนเขา จะกลับมาหลังจากเรื่องนี้ผ่านพ้นไปแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าสิงกล่าว
“เดิมทีข้าบอกกับใต้เท้าแล้ว เตรียมจะหางานให้ท่านพี่ที่กรมกลาโหม ตอนนี้ดีนัก เกรงว่าจะล่มแล้ว” สิงเจียเวยเม้มปาก “พี่ชายข้าเป็นโคลนที่ฉาบผนังไม่ติด*[1] จริง ๆ”
“ลูกรัก เจ้าช่วยพูดถึงสิ่งดี ๆ แทนพี่ชายเจ้าอีกครั้งเถิด ดูว่าสามารถหางานให้เขาทำได้หรือไม่” ฮูหยินรองสิงกระวนกระวายใจ “เจ้าก็เห็นแล้ว ตอนนี้สกุลสิงขึ้นอยู่กับเขา”
สิงเจียเวยไม่ได้อยู่นานนัก ในเมื่อไม่พบสิงเจียซือ นางก็ไม่สนใจที่จะรั้งอยู่สกุลสิง บัดนี้นางออกจากจวนสิงมาแล้ว ครั้นหันกลับมาดูครอบครัวนี้ก็มักจะรู้สึกว่าทุกคนล้วนกำลังลำบาก ไม่สู้อยู่ที่จวนฉีเพลิดเพลินไปกับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งของนางดีกว่า
หากรู้ตั้งแต่เนิ่น ๆ นางคงไม่กลับมาแล้ว
นางต้องการมาอวดสิงเจียซือ
บัดนี้ดีนัก แทนที่จะได้อวดกลับถูกสกุลสิงดึงไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยากแทน
ขณะที่สิงเจียเวยกำลังจะกลับ ฮูหยินรองสิงก็ไปส่งนางหน้าประตูด้วยตนเอง ขณะเดินผ่านสวน ฮูหยินรองสิงก็ดึงนางไปพูดคุยอยู่นานสองนาน
“ลูกรัก นั่นเป็นพี่ชายของเจ้า เจ้าเห็นใจเขาเถอะ!” ฮูหยินรองสิงกล่าว “หากพี่ชายเจ้ามีงาน เขาก็ช่วยสนับสนุนเจ้าได้ ดูสิ นายหญิงจวนสิงผู้นั้นไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว แต่เจ้ายังเด็ก! หากเกิดอะไรขึ้นกับนาง ตำแหน่งนั้นจะเป็นของเจ้าใช่หรือไม่? อย่างไรเจ้าก็เป็นคุณหนูจวนสิง คงไม่เป็นอนุไปตลอดชีวิตกระมัง?”
สิงเจียเวยเม้มปาก “ท่านแม่ หากพี่ชายข้าพึ่งพาได้จริง ๆ คงไม่ใช้ชีวิตเช่นนี้ ท่านบอกข้ามาตามตรงเถิด เหตุใดเขาถึงไปทุบหัวคุณชายเฝิง? วันนี้ข้าพบใต้เท้า หากต้องพูดเรื่องดี ๆ ให้พี่ชาย ท่านก็ต้องบอกความจริงข้าสักเรื่องกระมัง!”
“เมื่อครู่ไม่ได้บอกแล้วหรือ? พวกเขาเพียงแค่ความเห็นไม่ลงรอยกัน”
“เพียงแค่ขัดแย้งครั้งหนึ่ง ยังทำให้คนหมดสติ พี่ชายข้าแข็งแรงเพียงใด ถึงจะทำเรื่องนั้นได้ด้วยหมัดเดียว” เห็นได้ชัดว่าสิงเจียเวยไม่เชื่อ
“คุณชายเฝิงผู้นั้นนิสัยเอาแต่ใจเหมือนเด็กผู้หญิง เขายืนไม่มั่นคงจึงตกบันไดโรงงิ้วไป นี่จะโทษพี่ชายเจ้าได้อย่างไร?” ฮูหยินรองสิงเอ่ย “ลูกรัก ท่านย่าเจ้าโกรธที่เจ้าห้าไม่ยินดีช่วยเหลือ หากเจ้าทำได้ คนในจวนจะรู้ว่าเจ้ามีประโยชน์กว่าสิงเจียซือมาก สิงเจียซือแต่งงานเข้าสกุลลู่แล้วอย่างไร ความสามารถอะไรล้วนไม่มี แม้กระทั่งบุรุษยังเกลี้ยกล่อมไม่ได้”
ประโยคนี้สั่นคลอนจิตใจของสิงเจียเวย
นางต้องดีกว่าสิงเจียซือ หากนางทำเรื่องที่สิงเจียซือทำไม่ได้ เช่นนั้นก็จะช่วยเติมเต็มความต้องการของนางได้มากที่สุด
[1] หมายถึง คนไร้ความสามารถ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ