สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1081 ฝิ่น
บทที่ 1081 ฝิ่น
หลังจากเดินไปได้พักหนึ่ง หัวเฉิงอวิ๋นก็หันไปถามหัวเฉิงเจี๋ย “เมื่อครู่นี้ฮูหยินผู้นั้น…”
“ฮูหยินอะไรกัน แค่เพียงอนุเล็ก ๆ ผู้หนึ่ง” หัวเฉิงเจี๋ยกล่าวเยาะเย้ย “เจ้าไม่เคยพบนาง นางแซ่สิง คุณหนูสี่สิง”
“ท่านพี่ เป็นอะไรหรือ?” หวังอวี่เฉินมองหัวเฉิงอวิ๋น “นางมีปัญหาอะไรหรือเจ้าคะ?”
หัวเฉิงอวิ๋นส่ายหัว “ไม่มี”
เขาจับมือนางไว้แน่น “เมื่อครู่นี้ชนเจ้าหรือไม่?”
หัวเฉิงเจี๋ย “…”
สองคนนี้รักกันพอแล้วหรือไม่?
ก่อนหน้านี้ น้องชายฝาแฝดของเขาเป็นคนอมโรคผู้หนึ่ง คนทั้งคนดูมืดมน อยู่มาวันหนึ่งอาการป่วยกระเสาะกระแสะก็ดีขึ้น บุคลิกของเขาก็ดีขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขากลับมีปัญหาเล็กน้อยขึ้นมาแทน นั่นคือเขาพาภรรยาที่เพิ่งแต่งงานไปทุกที่ แม้ว่าหัวเฉิงเจี๋ยและทังซื่อจะแต่งงานกันเพราะความรัก ทว่าพวกเขาก็ไม่เคยเป็นเช่นนี้
หัวเฉิงเจี๋ยมองหวังอวี่เฉิน จากนั้นก็นึกภาพสิงเจียเวยแต่งเข้าสกุลหัวขึ้นมา เขาอดที่จะสั่นเทิ้มไปทั้งตัวไม่ได้
หัวเฉิงเจี๋ยตบไหล่หัวเฉิงอวิ๋นเบา ๆ “น้องรอง โชคดีที่คนที่เจ้าแต่งงานด้วยเป็นน้องสะใภ้ หากเป็นคนเมื่อครู่นี้…”
แค่คิดก็รู้สึกรังเกียจแล้ว
“ใช่แล้ว! โชคดีที่เป็นฮูหยิน” หัวเฉิงอวิ๋นมองหวังอวี่เฉินด้วยสายตาอ่อนโยน
ชาติที่แล้ว เขาแต่งงานกับสิงเจียเวย
สุดท้าย เขาก็ตายด้วยน้ำมือของนาง
สิงเจียเวยกลืนกินทรัพย์สินของสกุลหัวโดยอาศัยลูกชู้ที่นางหวงแหน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว
บางครั้งหัวเฉิงอวิ๋นก็สงสัยว่า ‘ชาติก่อน’ เป็นเพียงความฝันของเขาหรือไม่ เพราะชาติก่อนไม่มี ‘จวนอ๋องลู่’ เรื่องราวก็แตกต่างกัน ฮ่องเต้ก็ไม่ใช่คนเดียวกัน…
ทว่าเขาจำสิ่งหนึ่งได้ชัดเจน ชาติที่แล้วเขาถูกสิงเจียเวยลอบสังหาร ท้ายที่สุดเมื่อเขาหลบหนีไปภายใต้การคุ้มครองของบ่าวรับใช้ที่ภักดีก็ได้รับการช่วยเหลือจากหวังอวี่เฉินซึ่งถูกสามีทอดทิ้งช่วยเอาไว้ ทั้งสองผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปด้วยกัน เมื่อตกหลุมรักกัน ร่างกายของเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ในห้วงความทรงจำสุดท้าย หวังอวี่เฉินสวมผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวแต่งงานกับเขา จากนั้นนางก็ดื่มยาพิษ ตายตามเขาไป
ไม่ว่าจะเป็นความฝันหรือความจริง บางทีสวรรค์อาจกำลังเตือนเขาว่า เขาต้องปกป้องความสุขที่ได้รับมาอย่างยากลำบากนี้ไว้
“จริงสิ เจ้าตั้งใจจะกลับไปบ้านเก่าที่ทังโจวจริง ๆ หรือ?” หัวเฉิงเจี๋ยถาม
“อืม ข้ากับฮูหยินอยากตั้งรกรากอยู่ที่นั่น” หัวเฉิงอวิ๋นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่นั่นเหมาะแก่การพักผ่อน”
พายุนองเลือดในเมืองหลวงไม่เกี่ยวอะไรกับเขา หัวเฉิงอวิ๋นแค่อยากเป็นคนธรรมดาที่คอยปกป้องภรรยาของเขาเท่านั้น
“พี่ใหญ่ หากสกุลหัวอยากเจริญรุ่งเรืองต่อไป จะดีที่สุดหากพึ่งพาสกุลลู่”
แม้ว่าชาติก่อนจะไม่มีสกุลลู่ ทว่าเมื่อสกุลนี้พัฒนาขึ้นมากลางอากาศ แปลว่าจะต้องมีบางสิ่งที่พิเศษ นอกจากนั้น จากมุมมองในตอนนี้ การเกาะกลุ่มกับสกุลลู่นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
“เจ้าไม่เข้าใจ” หัวเฉิงเจี๋ยขมวดคิ้ว “บางครั้งไม่ใช่พวกเราอยากได้อย่างไรก็จะได้อย่างนั้น”
ณ จวนอ๋องลู่ ลู่อี้มองดูของในมือลู่เซวียน
“นี่อะไร?”
ลู่เซวียนเปิดกล่องแล้วผลักไปให้ลู่อี้
ลู่อี้รับมันมาดม กลิ่นอ่อน ๆ ลอยขึ้นเตะจมูกเขา
“มีฝิ่นอยู่ในนั้น”
ลู่อี้มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เขาจุ่มผ้าเช็ดหน้าในน้ำแล้วนำมาเช็ดจมูก
“มาจากที่ใด?”
บนถนน มีเจ้าหน้าที่ทางการจำนวนมากผ่านไป ดูจากความเคลื่อนไหวที่เร่งรีบของพวกเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น หอโคมเขียวที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงก็ถูกสั่งปิด
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ได้ยินว่าสถานที่แห่งนี้ฝ่าฝืนข้อต้องห้าม”
เมื่อเด็กหนุ่มจริตจะก้านอ้อนแอ้นกับหญิงสาวหน้าตาสะสวยเหล่านั้นถูกเจ้าหน้าที่ทางการพาตัวไป บุรุษทั้งสองฝั่งถนนเป็นต้องอกหักแล้ว
“สตรีผู้หนึ่งจะก่อเรื่องอะไรได้?”
ภายในคุก เสียงกรีดร้องอย่างน่าสังเวชดังมาจากข้างใน
สตรีเหล่านี้งดงามยิ่งกว่าบุปผา หากแต่ตกไปอยู่ในมือของสำนักตรวจการที่โหดเหี้ยมที่สุด ไม่ว่าจะร้องขอความเมตตาอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ต้องถูกทรมานตามที่ควรจะเป็น
ลู่ฉาวอวี่สวมเสื้อคลุมสีดำ ใบหน้าประหนึ่งหยกประดับกวาน หน้าตาเย็นชา ดวงตาของเขาราวกับดวงดาวในความมืดมิด เยือกเย็นเสียจนกระดูกต้องสั่นสะท้าน
เขานั่งอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ผู้คุมตรงหน้าทรมานสตรีหอโคมเขียว
มีการใช้เครื่องมือทรมานชนิดเย็นหลายอย่างกับร่างกายของพวกนาง
“ใต้เท้า สตรีเหล่านี้อาจบริสุทธิ์ก็ได้นะขอรับ จะทรมานพวกนางอีกคงไม่…”
ลู่ฉาวอวี่ลุกขึ้นยืน ใช้แส้ในมือของผู้คุมดันเสื้อผ้าที่อยู่บนหน้าอกของสตรีหอโคมเขียวผู้หนึ่งไปด้านหลัง
ผู้คุมคนอื่น ๆ “…”
ใต้เท้าของพวกเขามีรสนิยมรุนแรงเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?
“เห็นอะไรหรือไม่?” ลู่ฉาวอวี่ถาม
“ขอรับ?” ผู้คุมไม่เข้าใจสาเหตุ
บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างหลังเอ่ย “ลายสักเสือดาว สตรีหอโคมเขียวเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเศษเดนอาณาจักรเหลียงหรือขอรับ?”
“ยังจะบอกว่าเป็นเพียงสตรีหอโคมเขียวธรรมดา ๆ อยู่อีกหรือไม่?” ลู่ฉาวอวี่มองผู้คุมข้าง ๆ “ทรมานอีกครั้ง ข้าจะดูซิว่าปากพวกนางจะแข็งขนาดไหน หากถามอะไรออกมาไม่ได้จริง ๆ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไว้”
“คนสกุลลู่เป็นพญายมที่มีชีวิตจริง ๆ” แม่เล้ากระอักเลือด แล้วเอ่ยอย่างชั่วร้าย “พวกเจ้าบุรุษสกุลลู่โหดเหี้ยมเพียงนี้ เคยคิดหรือไม่ว่าการทรมานนี้จะย้อนคืนสู่สตรีของพวกเจ้า?”
ลู่ฉาวอวี่ชักกระบี่ออกจากเอวของผู้คุมแล้วชี้ไปที่แก้มแม่เล้า “แน่นอนว่าสตรีสกุลลู่จะต้องสบายดี เจ้าคิดหาทางตายที่เจ็บปวดน้อยที่สุดเสียยังดีกว่า ฝิ่น พวกเจ้าได้มาจากที่ใดแน่? ของสิ่งนี้เป็นของต้องห้าม ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดมาหลายปี ไม่เพียงแต่เจ้าได้มันมาเท่านั้น แต่ยังใช้เป็นยาขี้ผึ้ง ใช้กับร่างกายแขกของตน พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกับผู้มีอำนาจเหล่านี้กันแน่?”
“ใต้เท้าลู่น่าทึ่งนักไม่ใช่หรือ? ท่านเป็นเด็กอัจฉริยะ ทั้งยังเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในใต้หล้า ข้าพูดผิดรึ? เช่นนั้นท่านลองทายดูสิว่าพวกเราคิดจะทำอะไร”
“ใต้เท้า ดูเหมือนจะถามอะไรออกมาไม่ได้นะขอรับ” บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ กล่าว “ขณะที่เราตรวจค้นหอโคมเขียว เราก็ได้รับบัญชีรายชื่อและยาขี้ผึ้งสามขวด ไม่พบสิ่งใดอีกเลยขอรับ”
“ทรมานต่อไป ข้าอยากรู้นักว่าทุกคนจะปากแข็งเพียงใด” ลู่ฉาวอวี่กล่าว
กลางดึก ภายใต้กฎอัยการศึก รถม้าแล่นผ่านไปตามถนน เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนและทหารหยุดรถม้าเอาไว้ เมื่อพวกเขาเห็นว่าเป็นรถม้าของสกุลลู่ก็รีบปล่อยไป
ลู่ฉาวอวี่พิงผนังรถม้า ฟังเสียงข้างนอก ก่อนจะเปิดม่านแล้วมองออกไป
“ผู้บัญชาการหลี่ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพเจียงหรือ?”
ผู้บัญชาการหลี่กล่าวอย่างรวดเร็ว “คารวะใต้เท้าลู่”
“เวลานี้แม่ทัพเจียงของท่านอยู่ที่ใด?”
“คงอยู่ที่จวนขอรับ”
“อืม” ลู่ฉาวอวี่ปิดม่านรถม้าแล้วเอ่ยกับคนขับด้านนอกว่า “เปลี่ยนเส้นทาง ไปจวนแม่ทัพเจียง”
เจียงหว่านเฉินเพิ่งจัดการเอกสารทางการเสร็จ ขณะกำลังจะกลับห้องก็ได้ยินบ่าวรับใช้บอกว่าใต้เท้าลู่อยู่ที่ประตูแล้ว
“ใต้เท้าลู่ ลมอะไรหอบท่านมาที่นี่?” เจียงหว่านเฉินกล่าวประโยคนี้ออกมา แล้วก็กลั้นลมหายใจทันที “ไปที่ใดมาหรือ? กลิ่นชาดกับกลิ่นเลือดถึงฉุนกึกเพียงนี้”
“แม่ทัพเจียงข่าวสารรวดเร็ว ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะไม่ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้” ลู่ฉาวอวี่เดินเข้าไปข้างใน “ในเมื่อข้ามาที่นี่แล้วก็จะอาบน้ำที่จวนท่าน ช่วยข้าเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ที”
เจียงหว่านเฉิน “…ท่านยังคงไม่รู้จักเกรงใจคนจริง ๆ”