สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1082 น้องสาวของข้าหายตัวไป
บทที่ 1082 น้องสาวของข้าหายตัวไป
ลู่ฉาวอวี่ออกมาหลังจากอาบน้ำ โดยมีบ่าวรับใช้เดินนำไปยังห้องตำรา
ภายในห้องตำรา เจียงหว่านเฉินชงชา รอให้เขาปรากฏกาย
“ท่านเป็นคนงานรัดตัว เหตุใดมาที่บ้านของข้าได้?”
ลู่ฉาวอวี่ยังไม่เปิดปากเอ่ย เจียงหว่านเฉินจึงกล่าวต่อ “หรือว่ามโนธรรมของท่านคิดถึงเรื่องสุราที่ติดค้างข้าเมื่อสองปีก่อน วันนี้จึงมาชดเชย?”
“เรื่องวันนี้ท่านรู้แล้วกระมัง?”
“รู้ ฝิ่นปรากฏขึ้นในเมืองหลวงแล้ว นี่เป็นของต้องห้าม ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ไม่เช่นนั้นคนมากมายจะต้องเดือดร้อน” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องราชการ เจียงหว่านเฉินก็หุบยิ้มลง สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังขึ้น
“สตรีที่กระทำความผิดเหล่านั้นเอ่ยถึงครอบครัวข้า” ลู่ฉาวอวี่กล่าว “ข้านึกถึงข่าวที่เพิ่งได้รับได้มา”
“ข่าวอะไร?”
“น้องสาวของข้าหายตัวไป” ลู่ฉาวอวี่มองเจียงหว่านเฉิน “ข้าปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้ท่านแม่รู้ ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยของแม่ข้า เกรงว่ายามนี้คงอยู่ระหว่างทางไปหาน้องสาวของข้าแล้ว”
“องค์หญิง นาง…” เจียงหว่านเฉินขมวดคิ้ว “ท่านคิดจะทำอย่างไร?”
“สกุลลู่อยู่ภายใต้การจับจ้องของผู้อื่น ทุกการเคลื่อนไหวของข้าล้วนถูกจับตามอง หากข้าส่งผู้ใดสักคนออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่พบนาง ทว่ายังง่ายที่จะกลายเป็นเป้าหมาย ข้าจึงคิดถึงท่าน!”
เจียงหว่านเฉินลังเล “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วย เพียงแต่ทุกคนรู้ว่าตอนนั้นข้าชื่นชมองค์หญิง หากข้าพาคนไปหานางตอนนี้ เกรงว่าจะกระทบต่อชื่อเสียงของนาง”
“ดังนั้น ข้าจึงจัดเตรียมลู่ทางให้ท่านออกจากเมืองหลวงไปเพื่องานราชการ” ลู่ฉาวอวี่กล่าว “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มอบให้ผู้อื่นไม่วางใจ มีเพียงส่งให้ท่าน ข้าจึงจะวางใจ”
อย่างไรก็ตาม ยามนี้เจียงหว่านเฉินมีครอบครัวแล้วจึงต้องเตรียมการอย่างเหมาะสม
แน่นอนว่าลู่ฉาวอวี่ทำเช่นนี้ก็เพราะเชื่อใจเจียงหว่านเฉิน ตอนนั้นอีกฝ่ายชอบอวิ๋นเอ๋อร์ด้วยใจจริง ทว่าผ่านไปหลายปีเพียงนี้ย่อมปล่อยวางแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ได้คิดครอบครองแย่งชิงอีก
“เช่นนั้นพวกเราต้องหารือกันให้ดีว่าจะตรวจสอบอย่างไร จะหาอย่างไร เราไม่อาจเป็นเหมือนคนตาบอดว่ายน้ำที่ไม่มีแม้กระทั่งเบาะแสใด ๆ หากแม้กระทั่งหน่วยข่าวกรองสกุลลู่ยังไร้หนทาง เกรงว่าจะยุ่งยากแล้ว”
เมื่อลู่ฉาวอวี่กลับมาถึงจวนลู่อ๋องก็เป็นยามจื่อแล้ว
ท่านหมอเดินออกมาจากข้างใน
“คารวะใต้เท้า”
“เกิดอะไรขึ้น?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยถาม
“วันนี้ฮูหยินอาเจียนหนักมากขอรับ ข้ามาตรวจให้นางแล้วพบว่า…” ท่านหมอลังเลที่จะเอ่ยปาก
“พูดมาเถอะไม่เป็นไร”
“ก่อนหน้านี้ฮูหยินเคยได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่?”
“ใช่”
หลายปีมานี้สิงเจียซือเดินทางไปทั่วหล้า จะไม่ได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร?
เรื่องอื่นไม่ต้องเอ่ยถึง หลาย ๆ ครั้งที่พวกเขาพบกันข้างนอก ลู่ฉาวอวี่ต้องเผชิญกับอันตรายต่าง ๆ ก็ยังเป็นนางที่เสี่ยงชีวิตช่วยเขาไว้
“เมื่อไม่กี่ปีก่อนท้องของฮูหยินได้รับบาดเจ็บ นางถูกโจมตีด้วยอาวุธลับ อย่างไรก็ตาม มีชิ้นส่วนเล็ก ๆ ของอาวุธลับไม่ได้ถูกนำออกมา บัดนี้มันเติบโตไปพร้อม ๆ กับเลือดเนื้อจึงส่งผลกระทบใหญ่หลวง”
“เอาออกมาได้หรือไม่?”
“เอาออกได้ ๆ เพียงแต่…” ท่านหมอลดเสียงลงกล่าว “เกรงว่าจะมีครรภ์ได้ไม่ง่าย”
หากกล่าวให้ชัดเจน ตำแหน่งนั้นพิเศษยิ่ง หากมีอะไรผิดพลาด อาจไม่สามารถตั้งครรภ์มีลูกได้ แต่หากไม่เอาออก ชีวิตจะตกอยู่ในอันตราย
“ข้าเชื่อในทักษะทางการแพทย์ของท่าน” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “อย่างไรสุขภาพกายก็ต้องมาเป็นอันดับแรก”
“หากฮูหยิน…”
“อย่าได้บอกนาง” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยนิ่ง ๆ
ท่านหมอรับคำ
ลู่ฉาวอวี่เดินเข้าไปในห้อง
เมื่อเห็นลู่ฉาวอวี่ สาวใช้จึงรีบถอยออกไป
สิงเจียซือหลับไปแล้ว แต่ก็เห็นว่าไม่ได้หลับสบายเท่าไหร่นัก
นางคงรู้สึกไม่สบายมานานแล้ว เพียงแต่ไม่เคยบอกเขา หากสถานการณ์วันนี้ไม่ร้ายแรง นางคงยังปิดบังเขาต่อไป
สิงเจียซือสังผัสถึงบางอย่างได้จึงลืมตาขึ้น
ความระแวดระวังตัวของนางดีมาโดยตลอด
เมื่อเห็นลู่ฉาวอวี่ ความระมัดระวังในแววตานางก็หายไป หญิงสาวค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง
ลู่ฉาวอวี่ยื่นมือออกไปช่วยประคองนางขึ้นมา
ฝ่ามือของเขาร้อนยิ่ง แม้ผ่านเสื้อผ้าชั้นหนึ่ง นางก็ยังคงสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายชายหนุ่ม
“ท่านกลับมาแล้ว”
แววตาของสิงเจียซือหยุดอยู่ที่เสื้อผ้าของเขา
เขาเปลี่ยนเสื้อผ้ามา
ยามเช้าตอนออกไป นางจำได้แม่นว่านี่ไม่ใช่เสื้อผ้าที่เขาใส่ เพราะเสื้อผ้าที่เขาใส่ตอนนั้นเป็นนางที่ซื้อให้
แววตาของนางหม่นลง
ลู่ฉาวอวี่มองตามสายตาของนางจึงเห็นเสื้อคลุมบนตัว เขาเอ่ยเบา ๆ “คดีที่ไต่สวนวันนี้ยุ่งยากเล็กน้อย กลิ่นเลือดฉุนยิ่งนัก ข้าจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าตอนอยู่ที่จวนแม่ทัพเจียง เจ้าจะได้ไม่เหม็น”
สิงเจียซือเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความตกตะลึง
“บุรุษสกุลลู่ไม่เคยสัมผัสสตรีข้างนอก” ลู่ฉาวอวี่กล่าวสำทับอีกครั้ง
แก้มสิงเจียซือร้อนขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
ไยเขาต้องเอ่ยเรื่องเหล่านี้?
นางไม่ได้ถามออกไปเสียหน่อย
แต่เหตุใดเขาจึงรู้ทุกอย่างเลยเล่า?
“เมื่อครู่นี้ข้าเผลอหลับไป ท่านหมอได้บอกหรือไม่ว่าข้าเป็นอะไร” สิงเจียซือถาม
“ท่านหมอบอกว่าเจ้าเหน็ดเหนื่อยเกินไป ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “กิจการหมู่นี้ดูแลได้ยากหรือ?”
“ยุ่งยากอยู่บ้างจริง ๆ” สิงเจียซือเอ่ย “ข้าได้รับคำสั่งซื้อหลายรายการ อีกทั้งบางรายการยังต้องจัดส่งไปยังที่อื่น”
“ถ้ายุ่งยากเกินไป เช่นนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกน้อง อย่าทำให้ตัวเองเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป”
“เจ้าค่ะ”
“รีบพักผ่อนเถอะ”
เจียงหว่านเฉินถูกโยกย้ายไปยังที่อื่นด้วยเหตุผลบางประการ ทั้งราชสำนักต่างตื่นตระหนก อย่างไรเสียโม่ชิงเหยียนก็จากไปแล้วผู้หนึ่ง บัดนี้เจียงหว่านเฉินมาจากไปอีกคน ในบรรดาคนรุ่นหลัง พวกเขาเหล่านี้ยอดเยี่ยมที่สุด
สิ่งสำคัญคือทั้งคู่ล้วนเป็นแขนซ้ายแขนขวาของสกุลลู่
ขุนนางในราชสำนักอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าในที่สุดฮ่องเต้ก็อดรนทนไม่ได้และลงมือต่อสกุลลู่แล้วหรือ?
ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย…
ทั้งยังไม่เคยมีวี่แววมาก่อน
ลู่เซวียนส่งมอบหลักฐานที่รวบรวมมาออกไป
ฟ่านหยวนซีมองยาขี้ผึ้ง ชาด ยาลูกกลอน และแป้งผัดหน้าที่อยู่เบื้องหน้าเขา
“นี่อะไร?”
“ของเหล่านี้มีฝิ่นอยู่ข้างในพ่ะย่ะค่ะ” ลู่เซวียนกล่าว
“ว่าอย่างไรนะ?” ฟ่านหยวนซีตระหนกตกใจ
“ฝ่าบาทได้ยินไม่ผิด” ลู่อี้เอ่ย “ของเหล่านี้มีฝิ่นผสมอยู่ข้างใน”
“นั่นเป็นของต้องห้าม ไม่อนุญาตให้ผู้ใดขาย ผู้ใดอุกอาจถึงเพียงนี้!” ฟ่านหยวนซีกล่าวเสียงเย็น
ของสิ่งนี้ ฟ่านหยวนซีคุ้นเคยกับมัน เริ่มแรกเหวินอี้จำเป็นต้องใช้มันเพื่อระงับความเจ็บปวดในร่างกายของเขา ทั้งยังใช้เป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าภายหลังจะไปหาท่านหมอที่เก่งกาจเพียงใดก็ไม่มีทางฟื้นฟูร่างกายอีกฝ่ายได้
“ครั้งแรกพบมันอยู่ในหอโคมเขียวพ่ะย่ะค่ะ” ลู่เซวียนกล่าว “เดิมทีรองเสนาบดีหลี่เป็นคนสะอาดบริสุทธิ์ จู่ ๆ วันหนึ่งเขาถูกพาเข้าไปในหอโคมเขียว นับแต่นั้นก็หลงใหลทิวทัศน์ของที่นั่นจนลืมกลับบ้าน ต่อมากระหม่อมพบว่า ที่แท้รองเสนาบดีหลี่ไม่ได้ลุ่มหลงคนงาม หากแต่เพราะยาขี้ผึ้งนั้นสามารถบรรเทาอาการปวดหัวได้ หากเขาไม่ลอบนำกลับมาขวดหนึ่ง เรื่องนี้คงไม่มีผู้ใดพบเห็น”
ลู่อี้ด้านข้างกล่าวเสริม “หอโคมเขียวแห่งนั้นถูกปิดแล้ว ลูกชายกระหม่อมสอบปากคำหญิงโสเภณีเหล่านั้นในชั่วข้ามคืน ครึ่งหนึ่งไม่รู้อะไร อีกครึ่งหนึ่งไม่ใช่หญิงโสเภณีธรรมดา”
“จากนั้นกระหม่อมจึงติดตามเบาะแสไป พบว่าไม่ใช่เพียงยาขี้ผึ้งเท่านั้นที่มีฝิ่น แต่ยังมีสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ปริมาณของสิ่งเหล่านี้มีไม่มาก หากทานเข้าไปหรือใช้เพียงครั้งสองครั้งย่อมไม่ส่งผลใด ๆ แต่หากใช้ไปนานวันเข้า…”
…ผลที่ตามมาย่อมไม่อาจจินตนาการได้