สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1085 สำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับครานี้
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 1085 สำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับครานี้
บทที่ 1085 สำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับครานี้
ณ วังหลวง ฮองเฮาซ่างกวนจิ่นซิ่วจับแขนฟ่านหยวนซีไว้แน่น นางน้ำตาไหลอาบแก้ม
“ฝ่าบาท…”
ฟ่านหยวนซีนอนอยู่บนเตียง เขาถูกมัดเอาไว้ด้วยผ้าอย่างแน่นหนา ทว่าสีหน้ากลับดูดุร้ายราวกับต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดแสนสาหัส
ขันทีเฒ่าเดินเข้ามา น้ำเสียงแสดงความเคารพ ทว่าสายตากลับดูถูก
“พระนางฮองเฮา ข้ามียา ขอเพียงฝ่าบาททานมันลงไป เขาก็ไม่ต้องเจ็บปวดแล้ว หากพระนางฮองเฮาห่วงฝ่าบาทก็ควรโน้มน้าวพระองค์ดี ๆ ไยต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ด้วยเล่า?”
“เจ้าคนกบฏ! ฝ่าบาทไม่ดีต่อเจ้าที่ใด เจ้าถึงต้องทำร้ายเขา” ซ่างกวนจิ่นซิ่วต่อว่าด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย “หากท่านอ๋องลู่กลับมาจะต้องหั่นเจ้าเป็นชิ้น ๆ แน่!”
“ท่านอ๋องลู่อายุมาก ไม่ได้โหดร้ายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ใต้เท้าลู่น้อยก็ยังเล็ก เขาจะทัดเทียมกับแม่ทัพฉีได้ที่ใดกัน? ข้าอยากจะแจ้งข่าวให้พวกท่านทราบ คราวนี้อี้อ๋องคงนำทัพที่แม่ทัพฉีเตรียมไว้ให้บุกมาแล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด ท่านอ๋องลู่คงได้ยินว่าภรรยารักของตนตกอยู่ในมืออี้อ๋องจึงเร่งรุดออกไปจากเมืองหลวง ฉีเซียวและลู่อี้ไม่อยู่ที่นี่ ขุนนางแปดส่วนล้วนเจ็บปวดเช่นเดียวกันกับฝ่าบาท หากไม่มีฝิ่น แม้กระทั่งชีวิตของพวกท่านก็คงหาไม่ แล้วยังจะมีอะไรเป็นภัยต่อเจ้านายพวกเราได้?”
ในขณะเดียวกันก็สร้างความเสียหายร้ายแรงให้กับสกุลลู่เช่นกัน ฝิ่นเข้ามาในเมืองหลวงผ่านช่องทางของฮูหยินน้อยลู่และกลายเป็นอาวุธในการควบคุมขุนนาง
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือนอกจากขุนนางกว่าครึ่งที่ตกหลุมกลอุบายนี้แล้ว แม้กระทั่งฮ่องเต้ครองแคว้นผู้สูงส่งยังถูกวางยาด้วยพิษชนิดนี้โดยการสมคบคิดของขันทีข้างกาย ทันทีที่อาการกำเริบ เขาก็ไม่ต่างจากครึ่งคนครึ่งผี
“ใครก็ได้… ใครก็ได้…” ซ่างกวนจิ่นซิ่วตะโกนออกไปข้างนอก
“ฮองเฮา ไม่ต้องตะโกนแล้ว หากท่านไม่คิดถึงตนเองก็ต้องคิดถึงองค์รัชทายาทน้อยผู้น่ารักไร้เดียงสาบ้าง! พวกท่านมีพระโอรสผู้นี้เพียงคนเดียว หากพวกท่านเชื่อฟังหน่อย เมื่อเรื่องนี้สิ้นสุดลงแล้ว นายท่านอาจจะเก็บชีวิตน้อย ๆ ขององค์รัชทายาทไว้”
ชาวบ้านพบว่าบรรยากาศในเมืองหลวงมีบางอย่างผิดปกติ
ทหารจำนวนมากปรากฏกายบนถนน อีกทั้งทหารเหล่านี้ยังไม่เหมือนที่เคยพบ ราวกับว่าเป็นทหารในกองทัพ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้คนเริ่มตื่นตัวมากขึ้น อาจเป็นเพราะมีประสบการณ์มาแล้วจึงเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ
ณ จวนฉี ฉีซืออี้ปิดปาก สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจเมื่อได้ยินบทสนทนาข้างใน
นางคิดจะลอบเดินจากไป
“ผู้ใด?”
กระบี่เล่มหนึ่งพาดลงบนคอนาง
“ท่านพ่อ เป็นข้า” ฉีซืออี้ตะโกนขึ้นทันที
ฉีเจินเห็นนางจึงขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าว “ห้องตำราเป็นสถานที่สำคัญ ผู้ใดอนุญาตให้เจ้ามา?”
“ข้าทำอาหารเสร็จแล้วจึงอยากจะนำมาส่งให้ท่านพ่อ” ฉีซืออี้ยกถ้วยในมือขึ้น
ฉีเจินมองด้วยแววตาคมกริบ “เมื่อครู่เจ้าได้ยินอะไรบ้าง?”
“ไม่ได้ยินอะไรเจ้าค่ะ”
“พูด!”
“ท่านพ่อ ข้าเป็นลูกสาวท่าน ไม่ว่าท่านจะทำอะไร ข้าก็จะสนับสนุนท่าน”
อย่าฆ่านาง!
ฉีซืออี้เห็นเจตนาสังหารแวบขึ้นมาในแววตาของฉีเจิน
“เด็ก ๆ จับตาดูคุณหนูใหญ่ อย่าปล่อยให้นางออกไปข้างนอก”
แม้ว่าเรื่องราวจะได้ข้อสรุปแล้ว แต่สตรีผู้หนึ่งไม่อาจส่งผลกระทบต่อแผนการของเขา อย่างไรก็ควรระมัดระวังทุกย่างก้าวจะดีกว่า แม้อีกฝ่ายจะเป็นลูกสาว เขาก็ไม่อาจเชื่อหมดใจ
“นายท่าน ขอเพียงสกุลลู่ถูกทำลาย ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ขุนนางคนอื่น ๆ เดิมทีก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว”
“เจ้าคิดว่าฟ่านซู่มีไว้เพื่อการใดเล่า? ฟ่านซู่เป็นเป้าหมายที่จะใช้จัดการกับสกุลลู่โดยเฉพาะ หลังจากสกุลลู่พังพินาศ ค่อยให้ฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นเขียนโองการสืบทอดราชสมบัติ แล้วตำแหน่งนั้นก็จะเป็นของข้า”
เขาจะให้ฟ่านซู่เป็นฮ่องเต้ได้อย่างไร?
ฟ่านซู่ เจ้าคนโง่ผู้นั้น คิดว่าเขาจะยอมสวามิภักดิ์ด้วยจริง ๆ หรือ
อีกฝ่ายนับเป็นอะไรกัน?
ผืนแผ่นดินนี้ไม่มีแซ่ ผู้ใดแข็งแกร่งก็ใช้แซ่ผู้นั้น
แซ่ฟ่านมีมากว่าร้อยปี บัดนี้ควรใช้แซ่ฉีแล้ว
“ใต้เท้า ไม่พบคนสกุลลู่แล้วขอรับ” ลูกน้องของเขาเข้ามารายงาน “ไม่เพียงแต่สกุลลู่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสกุลเวิน สกุลเจียง และสกุลนายท่านรองลู่ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสกุลลู่ต่างก็หายไปแล้วขอรับ”
“ฮูหยินลู่ผู้นั้นเชี่ยวชาญด้านกลไก เกรงว่าพวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ในกลไก” ฉีเจินเอ่ยอย่างใจเย็น “ส่งคนไปจับตาดูสกุลเหล่านั้น หากพบผู้ใดให้จับทันที”
ประกาศจับถูกติดไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ในเมืองหลวง ผู้ใดก็ตามที่พบเห็นคนจากสกุลลู่ แม้กระทั่งบ่าวรับใช้ก็จะได้รับรางวัลจากจวนว่าการ หากจับคนสกุลลู่ได้ก็จะได้รับรางวัลอย่างงาม
“ฝิ่นเป็นสิ่งที่ทำร้ายคน” มีคนเอ่ยขึ้นมา “เหตุใดสกุลลู่จึงต้องใช้ฝิ่น?”
“ชู่ว!”
ชาวบ้านต่างหลบหนีกันไปคนละทิศละทาง
พวกเขาไม่อาจลุยน้ำโคลนนี้ได้
เมืองหลวงกลายเป็นที่ ๆ ฉีเจินมีสิทธิ์ขาดเพียงผู้เดียว
ในมือเขามีป้ายคำสั่งของฮ่องเต้ การจับกุมสกุลลู่จึงเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล ผู้ที่ไม่เชื่อในคราแรกเริ่มค่อนข้างมั่นใจเมื่อเห็นป้ายคำสั่งในมือเขา
ไม่กี่วันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่และทหารออกจับกุมคนสกุลลู่ไปทั่วทุกหนแห่ง
ขอเพียงเกี่ยวข้องกับสกุลลู่ แม้กระทั่งคนงานภายใต้ชื่อมู่ซืออวี่ก็นับเป็นผู้เกี่ยวข้องเช่นกัน
คุกของศาลาว่าการรองรับคนไม่ไหวอีกต่อไป
ผลที่ได้คือ คุกของศาลต้าหลี่และกรมอาญาก็รองรับไม่ไหวแล้วเช่นกัน
ส่วนสำนักตรวจการ…
ที่นั่นแต่เดิมเป็นอาณาเขตของลู่ฉาวอวี่ ทว่าเนื่องจากลู่ฉาวอวี่ก็เป็นคนที่ถูกประกาศจับเช่นกัน สำนักตรวจการจึงแทบว่างเปล่า ผู้ใต้บังคับบัญชาเดิมติดตามลู่ฉาวอวี่ไปแล้ว
ภายในห้องลับ ลู่จื่อชิงชักกระบี่ออกจากเอวแล้วเอ่ยด้วยความโมโห “ท่านพี่ จะรออะไรอีกเล่า เพียงแค่ฆ่าเขาเสียก็สิ้นเรื่อง!”
ซ่งหานจือคว้ามือนางไว้แล้วเอ่ยเบา ๆ “ชิงเอ๋อร์ พวกเราต้องรอข่าวก่อน”
“ข่าวอะไร?” ลู่จื่อชิงเอ่ยถาม
ซือหม่าจี้อิงกล่าว “คงเป็นข่าวจากท่านอ๋องกระมัง?”
“พ่อข้าไม่ได้ไปจากเมืองหลวงแล้วหรือ?” ลู่จื่อชิงเอ่ยถาม
ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “หลังจากฉีเจินกลับมายังเมืองหลวงก็เกิดเรื่องมากมาย เราจึงส่งสกุลโม่กับสกุลเจียงออกไปจากเมืองหลวงตามลำดับเพื่อรวบรวมหลักฐานในเงามืด เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าฉีเจินจะใจร้อนเพียงนี้ เขาใช้ฝิ่นเจาะทะลุหน้าต่างกระดาษ ทว่าก็ใช่ อีกฝ่ายคิดว่าฝิ่นควบคุมขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนักแล้ว เมืองหลวงอยู่ในกำมือของเขา แน่นอนว่าย่อมไม่มัวเกรงใจแล้ว”
“เช่นนั้นฝ่าบาทเล่า?” คนข้าง ๆ เอ่ยถาม
“ฝ่าบาทเป็นสิ่งที่เราไม่อาจคาดเดา เดิมทีพระองค์เป็นคนหวาดระแวงจึงอยู่กับคนที่เขาไว้วางใจเท่านั้น คราวนี้เขาถูกผู้ที่ไว้วางใจทรยศแล้ว” ลู่ฉาวอวี่กล่าว “ขันทีเฒ่าผู้นั้นเคยช่วยชีวิตฝ่าบาทไว้ครั้งหนึ่ง เขาจึงได้มาอยู่จุด ๆ นี้ เมื่อครู่ข้าเพิ่งทราบว่าฉีเจินรับปากขันทีผู้นั้นไว้ว่าจะมอบอำนาจให้เขาเป็นขุนนางในราชสำนักหลังจากเหตุการณ์นี้สิ้นสุดลง”
“ขันทีผู้หนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะยังมีความทะเยอทะยานเช่นนี้” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ตอนนั้นควรจะตัดคอเขามากว่าตรงนั้นกระมัง”
ซ่งหานจือรีบปิดปากลู่จื่อชิงอย่างรวดเร็ว “ชิงเอ๋อร์ พวกเราอดทนอีกหน่อยเถิด สหายจี้น่าจะนำกองกำลังกลับมาแล้ว”
“จี้ซ่งเฉิงน่ะหรือ?” ลู่จื่อชิงประหลาดใจ “นี่เกี่ยวอะไรกับเขา?”
“ครึ่งเดือนก่อน ท่านพ่อมอบป้ายคำสั่งสกุลลู่ให้เขาไปรวบรวมกองทัพที่ใกล้ที่สุดมา” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “ฉีเจินลงมือกะทันหัน เขาคงรู้ว่าเราเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”
หากไม่เป็นเช่นนั้น การจู่โจมครั้งนี้เป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันราวกับถูกบีบให้จนตรอกจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับครานี้แล้ว
•