สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1088 ทั้งหมดที่ข้าทำได้มีเพียงเท่านี้
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 1088 ทั้งหมดที่ข้าทำได้มีเพียงเท่านี้
บทที่ 1088 ทั้งหมดที่ข้าทำได้มีเพียงเท่านี้
เคร้ง! กรงเหล็กเปิดออก
มู่ซืออวี่เดินเข้าไปในห้องขัง
ฉู่หนิงจูผู้ที่อยู่ในชุดนักโทษเงยหน้ามอง เมื่อเห็นว่าเป็นมู่ซืออวี่ แววตานางพลันแจ่มชัดขึ้นมา
พบกันคราแรก อีกฝ่ายยังเป็นหญิงสาวชาวนาธรรมดา ๆ
ส่วนนาง… เป็นธิดาคนโปรดของสวรรค์
นางกลายมาเป็นอย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร?
“พี่หญิง ขอบคุณท่านที่แวะมาเป็นครั้งสุดท้าย” ฉู่หนิงจูยิ้มบาง ๆ
ฉีซืออี้โผเข้ามาหา
ขณะที่เจ๋อหลานยืนขวางหน้ามู่ซืออวี่ มองนางอย่างระแวดระวัง “ท่านคิดจะทำอะไร?”
ครานี้ฉีซืออี้กลายเป็นคนบ้าคลั่ง ไม่มีความสูงส่งและสง่างามอย่างคุณหนูสกุลใหญ่อีกต่อไป
“พระชายา ข้ากับท่านแม่ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านต้องช่วยพวกเรานะเจ้าคะ”
“อี้เอ๋อร์” ฉู่หนิงจูขมวดคิ้ว “บิดาเจ้ากระทำความผิดมหันต์ พวกเราในฐานะภรรยากับลูกของเขาจะรอดพ้นชะตากรรมนี้ได้อย่างไร? เจ้าอย่าได้ทำให้พระชายาต้องลำบากใจ”
“เพียงแต่ ความผิดที่บุรุษกระทำเหตุใดเราต้องแบกรับด้วยเล่าเจ้าคะ?” ฉีซืออี้ไม่ยอมแพ้ “พวกเราเพียงอยู่ในเรือนหลัง ไม่ได้ทำอะไรผิด ตอนนี้จะตัดหัว กลับนับพวกเราไปด้วยแล้ว”
“หลายปีมานี้เจ้าดื่มด่ำกับชื่อเสียงเกียรติยศของสกุลฉี เจ้าจึงไม่อาจหลบเลี่ยงความรับผิดชอบของสกุลฉีไปได้” ฉู่หนิงจูกล่าวด้วยท่าทีสงบ “นี่คือครอบครัว”
“ท่านแม่ ท่านอยากตายจริง ๆ หรือ? ถ้าท่านอยากตาย ท่านเคยคิดถึงข้ากับน้องชายบ้างหรือไม่?”
ฉู่หนิงจูค้อมคำนับมู่ซืออวี่แล้วกล่าว “ทำให้พระชายาขบขันแล้ว เจ้าเด็กคนนี้ถูกข้าตามใจจนเสียคน หลังจากมาเมืองหลวงก็ทำเรื่องโง่ ๆ ไปมากมาย บัดนี้ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว โปรดอภัยให้เด็กโง่เขลาผู้นี้ด้วยเถิด!”
“ข้าขอความเมตตาจากฝ่าบาทให้แล้ว ฉีเจินตาย ทว่าพวกเจ้าญาติหญิงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะไม่ได้รับโทษถึงชีวิต ฉีเซียวก็เป็นสมาชิกของสกุลฉีคนหนึ่งเช่นกัน เขาเก็บกวาดบ้านตน นับว่าช่วยชีวิตคนที่เหลือในสกุลฉีเอาไว้”
“เช่นนั้นพวกเราจะเป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ?” ฉีซืออี้อยากจะก้าวเข้ามาหาอีกครั้ง ทว่าเจ๋อหลานเอื้อมมือไปขวางไว้ นางจึงถอยหลังไปสองสามก้าว
“พวกเจ้าจะถูกเนรเทศไปชายแดน” มู่ซืออวี่กล่าว “ที่นั่นพวกเจ้าคุ้นเคยดี ทว่าต่างกันที่เมื่อก่อนพวกเจ้าเป็นผู้สูงศักดิ์ แต่ตอนนี้พวกเจ้าเป็นผู้มีตราบาปจึงต้องมีคนเฝ้า อยู่ภายใต้การสอดส่องของผู้อื่นตลอดเวลา”
“พวกน้องชายเล่าเจ้าคะ?”
“พวกเขาเป็นบุรุษ เดิมทีไม่อาจมีผู้ใดรอดพ้นไปได้ แต่ใต้เท้าฉีเซียวร้องขอความเมตตา จึงให้โอกาสพวกเขาได้มีชีวิตอยู่ สถานการณ์ของพวกเขาก็เหมือนกับพวกเจ้า ต่างกันตรงคนที่เฝ้าพวกเขาเข้มงวดกว่า ผู้ที่เฝ้าพวกเขาจะรายงานสถานการณ์ทุกปี หากพบว่ามีเจตนาไม่ดี ย่อมต้องรับโทษตายโดยไม่ปรานี หนิงจู นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเจ้า ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่ทำเรื่องโง่ ๆ และใช้ชีวิตให้ดี”
ฉู่หนิงจูดึงฉีซืออี้ให้คุกเข่าลง “ขอบคุณพระชายา พระชายาวางใจ ในฐานะมารดา ข้าเพียงแค่อยากให้ลูกตนมีชีวิตอยู่อย่างดี เรื่องอื่น แต่ไรมาไม่เคยเป็นความตั้งใจของข้า”
“ดูแลตนเอง” มู่ซืออวี่หมุนกายเดินจากไป
ฉู่หนิงจูมองเงาร่างของมู่ซืออวี่
“พี่หญิง…”
มู่ซืออวี่หยุดฝีเท้า ทว่าไม่ได้หันกลับมามอง
“ขอบคุณท่าน” ฉู่หนิงจูกล่าว “ถึงแม้ท่านจะเอาแต่กล่าวว่าขอความเมตตา แต่ข้ารู้ว่าท่านคงช่วยพวกเราไม่น้อยทีเดียว มิเช่นนั้น สกุลเราย่อมไม่อาจรอดพ้นจากเรื่องที่พวกเขากระทำ”
“เจ้าอย่าได้ทำให้ข้าผิดหวัง อย่างที่เจ้าเอ่ย สตรีเราไม่ได้มีความทะเยอทะยานเพียงนั้น เราไม่เคยสนใจบัลลังก์หรือใต้หล้า เราเพียงแค่อยากให้ครอบครัวของเราปลอดภัย”
หลังจากออกจากคุก เจ๋อหลานก็เปิดปากขึ้น “คราวนี้ฝ่าบาทตกอยู่ในมือของฉีเจิน ต่อสกุลฉีแล้วเกลียดชังเข้ากระดูกดำ ได้ยินมาว่าใต้เท้าฉีเซียวถูกฝ่าบาทตำหนิที่ร้องขอความเมตตาให้คนอื่น ๆ ในสกุลฉี หากไม่ใช่เพราะพระชายาไปร้องขอความเมตตากับฮองเฮา มีฮองเฮายืนอยู่ข้าง ๆ คอยหาหนทางประนีประนอม เป็นไปไม่ได้ที่ฮูหยินฉีและลูก ๆ ของนางจะมีชิวิตอยู่ พระชายา หากพวกเขาไม่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นจะทำร้ายท่านกับสกุลลู่เอาได้ง่าย ๆ นะเจ้าคะ”
“ถึงแม้พวกเขาจะถูกเนรเทศไปยังชายแดน ชีวิตของพวกเขาย่อมไม่ง่าย หนิงจู่เป็นคนฉลาด ไม่ได้ทะเยอทะยานใหญ่โตเพียงนั้น สิ่งเดียวที่ต้องระวังคือลูกทั้งสองของสกุลฉี วางใจเถอะ ที่ชายแดนจะต้องมีการเตรียมการอย่างแน่นอน หากซื่อสัตย์ ชั่วชีวิตนี้เป็นคนธรรมดา ๆ ก็ไม่เลว หากไม่ซื่อสัตย์ เกรงว่าจะอยู่ได้ไม่ถึงสองปี ข้าทำได้เพียงเท่านี้ สมาชิกในสกุลบริสุทธิ์ ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้พวกเขาต้องตายอย่างไม่ยุติธรรม”
ซูจือหลิ่วก็มาเยี่ยมเช่นกัน เพียงแต่ผู้คุมขังบอกว่าฉู่หนิงจูไม่ต้องการพบนาง กล่าวกันตามเหตุผล ขอเพียงนางต้องการพบ ฉู่หนิงจูในฐานะนักโทษย่อมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ อย่างไรก็ตามซูจือหลิ่วรู้นิสัยของสหายดี ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว ฉู่หนิงจูย่อมไม่อยากให้นางเห็นจึงขอให้ผู้คุมส่งข้อความไปให้
“เป็นอย่างไร?” ซูจือหลิ่วเดินเข้ามาหา
“ไม่เป็นไรแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้าบอกนางแล้ว นางก็รับความหวังดีของเรา”
“ข้ากลัวจริง ๆ ว่านางจะมีปัญหา”
“อยู่ดีกว่าตาย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับลูกนาง นางไม่อาจมองลูกของตนตายไปเปล่า ๆ ได้”
“เจ้าคนสารเลวฉีเจินนั่นทำร้ายคนจริง ๆ” ซูจือหลิ่วก่นด่า
เมื่อสกุลฉีถูกนำตัวออกจากเมืองหลวง มู่ซืออวี่กับซูจือหลิ่วก็ไปส่งพวกเขาที่ศาลาสิบลี้
ยามนี้ฉีซืออี้ยังคงมองหาลู่ฉาวอวี่ท่ามกลางฝูงชน เมื่อไม่เห็นเขา ภายในใจของนางพลันเต็มไปด้วยความผิดหวัง
จากลาครานี้ ย่อมไม่มีวันได้พบกันอีกแล้ว
จากลาครานี้ เขาสูงส่ง ส่วนนางต่ำต้อยเหมือนฝุ่นผง
หลายวันมานี้อยู่ในห้องขัง นางคิดเรื่องมากมาย คิดถึงเรื่องที่ตนยังพยายามอย่างหนักเพื่อกอบกู้ชื่อเสียง คิดถึงเรื่องที่ยังมีโอกาส ‘เปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะ’
ผลที่ได้เล่า?
บิดานางก้าวเพียงหนึ่งก้าวก็เกือบทำให้นางและครอบครัวต้องจบชีวิตลง นับประสาอะไรกับการแต่งงานกับคนผู้นั้นที่ตนเฝ้าฝัน
ซูจือหลิ่วให้สินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ กับเหล่าเจ้าหน้าที่ที่ส่งตัวพวกนางไปยังชายแดน
เหล่าเจ้าหน้าที่เห็นพระชายาลู่ปรากฏตัวตรงหน้าจะกล้าละเลยที่ใดกัน แม้ว่านี่จะเป็นครอบครัวของฉีเจิน และฉีเจินจะมีความผิดร้ายแรง พวกเขาก็ไม่กล้าคิดเป็นอื่น
สกุลฉีกระทำความผิดมหันต์ในการกบฏ ควรถูกประหารเก้าชั่วโคตร ตอนนี้กลับมีเพียงบุตรอนุคนโตซึ่งเข้าร่วมแผนการเท่านั้นที่ตายไป แสดงให้เห็นว่าผู้หนุนหลังสกุลฉีแข็งแกร่งเพียงใด
สิงเจียเวยร้องห่มร้องไห้ฟูมฟาย
ไม่นานมานี้นางยังตั้งตารอที่จะให้กำเนิดลูกในท้อง คิดว่าเมื่อเขาเกิด นางจะหาทางเป็นภรรยาออกหน้าออกตา มอบสถานะบุตรชายภรรยาให้กับลูกของตน
ตอนนี้กลับไม่มีแล้ว
สิ่งใดล้วนไม่เหลือเลย
ในวันที่ฉีเจินถูกจับ สิงเจียเวยกระวนกระวายเสียจนครรภ์ที่ไม่มั่นคงอยู่แต่เดิมหลุดออกไปเช่นนั้น
หลังจากตกเลือด นางยังถูกขังคุกเป็นเวลานาน กระทั่งร่างกายได้รับความเสียหายสาหัส
แม่ของนางให้คนไปส่งอาหารแต่ก็ไม่มีหนทางพานางออกมา บัดนี้นางกำลังจะถูกเนรเทศไปยังชายแดนพร้อมกับคนสกุลฉีที่เหลือ ไม่มีคนสกุลสิงแม้เพียงผู้เดียวมาส่งนาง แม้กระทั่งสิ่งของก็ไม่มีส่งมาแม้แต่น้อย
“เดินทางปลอดภัย” ซูจือหลิ่วเอ่ยกับฉู่หนิงจู
ฉู่หนิงจูพยักหน้า “จากลาครั้งนี้ คงไม่ได้พบกันอีกแล้ว พวกท่านต้องดูแลตนเองให้ดีเล่า”
คนสกุลฉีติดตามเจ้าหน้าที่ส่งตัวของทางการจากไปแล้ว
มู่ซืออวี่เห็นซูจือหลิ่วดวงตาแดงก่ำจึงเอ่ย “ข้าส่งคนไปคอยดูแลแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างอิสระที่นั่นไม่ได้ แต่ก็คงไม่ได้เลวร้ายนัก”
“ข้ารู้ว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว” ซูจือหลิ่วกล่าว “พี่สะใภ้ โชคชะตาไม่อาจคาดเดาได้จริง ๆ”