สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1097 ตอนพิเศษ (4/1)
บทที่ 1097 ตอนพิเศษ (4/1)
“จิ่วจู๋ จิ่วจู๋…”
หญิงสาวอายุราว ๆ สิบห้าสิบหกปีบุกเข้ามา เมื่อเห็นลู่ฉาวจิ่งก็รีบเบือนหน้าหนี มองที่ประตูแล้วกล่าว “ขออภัย ข้ามาผิดที่… ไม่ถูกสิ ที่นี่คือบ้านของจิ่วจู๋!”
หลิวจิ่วจู๋ถือยาต้มออกมาจากห้องครัว
“ชิงซือ มีอะไรหรือ?”
หยางชิงซือหันกลับมา ชี้ไปทางลู่ฉาวจิ่งแล้วกล่าวว่า “เขาเป็นผู้ใดหรือ?”
“สามีข้า” หลิวจิ่วจู๋ตอบอย่างเปิดเผย
ลู่ฉาวจิ่ง “…”
ถึงแม้เขาจะยังใช้หน้ากากหนังมนุษย์ ทว่าประสิทธิภาพของหน้ากากนี้ดีเป็นเป็นพิเศษจึงยังเห็นแก้มที่เปล่งสีแดงเรื่อของเขา
หลิวจิ่วจู๋ยกยาต้มมาให้แล้วเอ่ยกับลู่ฉาวจิ่ง “ยาต้มเสร็จแล้ว เจ้ารีบดื่มเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะช่วยใส่ยาให้ใหม่”
“ขอบคุณ” ลู่ฉาวจิ่งกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ
หยางชิงซือถูกคำว่า ‘สามี’ ทำให้ตกตะลึง นางจึงลากหลิวจิ่วจู๋เดินไปข้าง ๆ “เกิดอะไรขึ้น? คนผู้นี้มาจากที่ใด? เหตุใดข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีสามีแล้ว?”
“แม่เลี้ยงบังคับให้ข้าแต่งงาน เจ้าก็รู้ นางเพียงแค่อยากได้ที่ดินสามหมู่ที่ท่านย่าทิ้งไว้ หากข้าแต่งงานแล้ว บ้านกับที่ดินของข้าย่อมถูกเอาไป ข้าไม่ชอบสิ่งที่นางทำ ข้าจึงหาสามีแต่งเข้าบ้านเอง เช่นนี้ของ ๆ ท่านย่าก็ไม่ต้องยกให้พวกเขาแล้ว” หลิวจิ่วจู๋กล่าวอย่างภาคภูไม่ใจ “เป็นอย่างไร? ข้าฉลาดมากใช่หรือไม่?”
หยางชิงซือ “…”
ฉลาดอะไรกัน เพื่อที่ดินสามหมู่แล้วถึงกับซื้อชายอัปลักษณ์ผู้หนึ่งกลับมา นี่เป็นความฉลาดประเภทใด?
“ถึงแม้เจ้าจะซื้อบุรุษก็ควรซื้อบุรุษหน้าตาหล่อเหลาหน่อยหรือไม่?” หยางชิงซือจิ้มหน้าผากหลิวจิ่วจู๋แล้วกล่าว “เจ้าใส่ใจสักหน่อยได้หรือไม่ เจ้าคนโง่”
หลิวจิ่วจู๋กล่าว “เขาหล่อมากเลยนะ!”
เมื่อถูกพี่น้องของนางด่าว่าโง่ นางก็ไม่โกรธ เพราะนางรู้ว่าท่านย่าไม่อยู่แล้ว ตอนนี้มีเพียงพี่น้องผู้นี้เท่านั้นที่ห่วงใยนาง
“ตาของเจ้าคงไม่มีปัญหากระมัง?” บุรุษที่อัปลักษณ์เพียงนี้ในสายตาของหลิวจิ่วจู๋ดูหล่อเหลาหรือ?
“ข้าคิดว่าเขาดีทีเดียว” หลิวจิ่วจู๋พึมพำ “เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเขา ข้าคงถูกจับไปแล้ว คหบดีจางวางอำนาจบาตรใหญ่เพียงใดเจ้าก็รู้ หากข้าตกไปอยู่ในมือเขา เจ้าคงไม่ได้เห็นข้าอีก”
“จริงสิ ข้ามาหาเจ้าก็เพราะอยากพูดคุยเรื่องคหบดีจาง” หยางชิงซือกล่าว “พี่สะใภ้คนใหม่ผู้นั้นของเจ้าถูกคหบดีจางจับตัวไปแล้ว”
แน่นอนว่าพี่สะใภ้คนใหม่ที่หยางชิงซือกล่าวเป็นหญิงที่แม่เลี้ยงผู้นั้นแต่งให้ลูกติดของนาง
ตอนนั้นมารดาของหลิวจิ่วจู๋อุ้มท้องทำงานหนักอยู่ที่บ้าน หญิงม่ายจากหมู่บ้านข้าง ๆ มายั่วยุ บอกว่าสามีของนางปีนกำแพงบ้านตนทุกวัน นางควรรู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร ไสหัวตนเองไปให้พ้น ยกตำแหน่งภรรยาให้เสียดี ๆ
แม่ของหลิวจิ่วจู๋ถูกกระตุ้น น้ำเดินก่อนกำหนด คลอดหลิวจิ่วจู๋ผู้ที่ยังไม่ครบกำหนดคลอดออกมาด้วยความลำบาก อย่างไรก็ตาม โชคชะตาของแม่นางช่างน่าเวทนาจึงตายไปเช่นนั้น
เพราะเหตุการณ์นี้ ท่านย่าจึงต้องแตกหักกับพ่อของนาง พาหลิวจิ่วจู๋ออกมาเลี้ยงดูด้วยตนเอง ด้วยท่านย่าเป็นหมอตำแยในท้องที่ มีความรู้ด้านการแพทย์ จึงสามารถเลี้ยงดูหลานจนเติบใหญ่ขึ้นมาได้
อย่างไรก็ตาม หลายปีมานี้ พ่อชั่ว ๆ ของหลิวจิ่วจู๋ไม่เคยมาดูดำดูดี หลิวจิ่วจู๋จึงไม่มีความรู้สึกใด ๆ ต่อเขา นึกไม่ถึงว่าท่านย่าจะด่วนจากไป พ่อชั่ว ๆ ผู้นั้นและแม่เลี้ยงจึงคิดจะขายนาง
“ถูกจับไปแล้วจริง ๆ หรือ?”
“จริงสิ” หยางชิงซือยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น “สตรีผู้นั้นมักจะรังแกเจ้า ตอนนี้ถึงคราวเคราะห์ร้ายแล้วกระมัง!”
หลิวจิ่วจู๋หันกลับไปมองลู่ฉาวจิ่ง “ขอบคุณสามี ไม่เช่นนั้นผู้ที่ถูกจับไปคงเป็นข้าแล้ว”
ลู่ฉาวจิ่ง “…”
สามี คำนี้ดูเหมือนนางจะเรียกได้คล่องปากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
“ข้าไม่เข้าใจเจ้าจริง ๆ ชายอัปลักษณ์เช่นนี้มีอะไรดีหรือ!” หยางชิงซือกล่าว “ซิ่วไฉเฝิงใกล้จะกลับมาแล้ว เจ้ากับเขาเดิมทีหมั้นหมายกันไว้ ดังนั้นแทนที่จะแต่งงานกับบุรุษอื่น ยังไม่สู้แต่งให้เขาเสีย!”
“พูดจาเหลวไหลอะไร?” หลิวจิ่วจู๋ไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่เกี่ยวข้องกับเขา”
“ไม่เกี่ยวข้องได้อย่างไร? ตอนที่ย่าเจ้าอยู่ พวกเจ้าไม่ได้หมั้นหมายแล้วหรือ?”
“ก็นั่นเจ้ายังบอกว่าตอนที่ท่านย่าอยู่” หลิวจิ่วจู๋แย้ง “ตอนนี้ท่านย่าข้าไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงข้าที่เป็นเด็กกำพร้าผู้หนึ่ง ครอบครัวเขาปีนขึ้นสู่ที่สูงแล้ว จะยังเห็นดีเห็นงามกับการแต่งงานนี้ได้อย่างไร? หลังจากท่านย่าข้าจากไป ครอบครัวพวกเขาก็มาถอนหมั้นแล้ว”
หยางชิงซือยังกล่าวอีกสองสามอย่าง คร่าว ๆ คือการแต่งงานไร้สาระเช่นนี้ไม่อาจนับได้ ในเมื่อคหบดีจางจากไปแล้ว เช่นนั้นก็ควรหาวิธีส่งบุรุษที่ซื้อมาผู้นี้ออกไป อย่าได้รั้งไว้ข้างกายให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
ลู่ฉาวจิ่งกุมขมับ
แม่นางน้อยผู้นั้นไปพูดคุยที่อื่นได้หรือไม่?
พูดจาเสียงดังเพียงนั้น ราวกับกลัวว่าเขาจะไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
ถึงแม้ว่านางจะมีเหตุผล อีกทั้งยังเป็นห่วงหลิวจิ่วจู๋จากใจ แต่ช่วยไว้หน้าเขาหน่อยได้หรือไม่?
“ชิงซือ ท่านย่าเจ้าให้เจ้าไปหาหญ้าหมูใช่หรือไม่?”
“ใช่ ข้าต้องขึ้นเขา” ด้านหลังของหยางชิงซือยังสะพายตะกร้าใบหนึ่ง
หลังจากหยางชิงซือจากไป หลิวจิ่วจู๋ก็เดินเข้ามา “ดื่มยาหมดแล้วกระมัง?”
“อืม…” ลู่ฉาวจิ่งรับคำ
หลิวจิ่วจู๋มองเขาอย่างจับพิรุธ “เจ้าไม่ได้ดื่มใช่หรือไม่?”
ลู่ฉาวจิ่ง “…ข้าดื่มแล้วจริง ๆ เพียงแต่มันขมเกินไปถึงได้ถ่มออกมา”
เขาไม่ได้ตั้งใจ
แม่นางน้อยผู้นี้ยามดุขึ้นมายังขู่ให้คนกลัวได้จริง ๆ
เห็นได้ชัดว่าใบหน้ากลมดิก ดูไปแล้วเหมือนลูกแมวน้อยที่แสนบอบบาง
“ขาดไปอึกเดียวก็ไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นเจ้ายังถ่มออกมาไม่ใช่เพียงอึกเดียว” หลิวจิ่วจู๋มองดูคราบยาบนพื้น แล้วเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “ยาดีย่อมขม ขมเพียงใดเจ้าก็ต้องอดทน!”
“เป็นความผิดของข้า”
“เห็นว่าเจ้าท่าทีไม่เลว ข้าจะเติมให้เจ้าอีกครึ่งถ้วย”
ลู่ฉาวจิ่งนอนอยู่บนเตียง ฟังเสียงสุนัขเห่า เสียงไก่ขัน และเสียงนกร้องจิ๊บจิ๊บบนกิ่งไม้ รู้สึกค่อนข้างสงบทีเดียว
มิน่าเล่า พ่อแม่ของเขาจึงมักจะคิดถึงวันคืนที่อยู่ในชนบทอยู่บ่อยครั้ง ชนบทช่างแตกต่างจากในเมืองจริง ๆ
ลู่ฉาวจิ่งผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
เมื่อได้ยินเสียงคนพูดคุยกันแว่วมา เขาจึงตื่นขึ้น
“เจ้าเด็กเหม็นโฉ่คนนี้ เห็นคนจะตายแล้วไม่คิดจะช่วยเหลือจริง ๆ หรือไร?”
“เรื่องครอบครัวพวกท่านเกี่ยวอะไรกับข้า?”
“ข้าเป็นพ่อเจ้า!”
“ท่านย่าบอกว่าข้าไม่มีพ่อ”
ลู่ฉาวจิ่งลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็หยิบไม้ค้ำยันข้างตัวมาลงจากเตียง
สาวน้อยผู้นั้นเอาใจใส่ เตรียมไม้ค้ำยันไว้ให้เขา เพื่อที่เขาจะได้ลุกจากเตียงและทำอย่างอื่นได้ง่ายขึ้น
ในห้องครัว แม่นางน้อยที่กำลังทำความสะอาดถูกชายวัยกลางคนผู้หนึ่งรบเร้าไม่เลิกรา
ชายวัยกลางคนบีบแขนของนางแล้วกล่าว “หากไม่เอาที่ดินให้ข้าขายแล้วพาลูกสะใภ้กลับมา ก็ต้องใช้เจ้าแลกลูกสะใภ้กลับคืนมา อย่างไรเจ้าก็เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้”
“ข้านี่จึงจะเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของท่าน คนผู้นั้นเป็นลูกเลี้ยง ไม่ใช่ผู้ที่ท่านให้กำเนิด เพื่อลูกเลี้ยงผู้หนึ่งแล้วท่านถึงกับต้องขายลูกสาวตนเองเลยหรือ!” หลิวจิ่วจู๋กล่าวด้วยความโมโห
“อย่างไรก็เป็นของเสียเงิน เขาแม้ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของข้า แต่เขาใช้แซ่ของข้า ภายหน้ายังสืบสกุลข้าต่อไปได้” ชายวัยกลางคน หรือก็คือบิดาผู้ให้กำเนิดหลิวจิ่วจู๋กล่าว
“เช่นนั้นลูกสะใภ้เล่า?”
“ลูกสะใภ้ให้กำเนิดลูกชายได้ ภายหน้าก็จะสืบทอดสกุลให้เราสืบต่อไป นางค่าตัวแพงเพียงนั้น แน่นอนว่าต้องใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด ไม่เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?” หลิ่วซานเฉวียนกล่าวเหมือนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ