สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 11 ข้าไม่มีอะไรให้ถูกเรียกว่าหมา
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 11 ข้าไม่มีอะไรให้ถูกเรียกว่าหมา
บทที่ 11 ข้าไม่มีอะไรให้ถูกเรียกว่าหมา
บทที่ 11 ข้าไม่มีอะไรให้ถูกเรียกว่าหมา
แก้มของลู่ฉาวอวี่แดงระเรื่อขึ้นมา เขามองนางพร้อมทั้งหอบหายใจ แลดูราวกับกบแก้มปูด “ท่านกล้า?”
“ข้าไม่กล้า” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น “คลำตูดเสือไม่ได้สินะ ตอนนี้เจ้าเหมือนกับเสือน้อยตัวหนึ่งแล้ว ”
ลู่จื่ออวิ๋นเดินตามพวกเขาเข้าไปในห้อง ในขณะที่สาวเท้าก้าวยาว ๆ เข้าไป จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ากำลังหลงทาง ไม่คุ้นเคยกับห้องที่สะอาดเกินไป
มู่ซืออวี่วางลู่ฉาวอวี่ลงบนเตียง ดึงขากางเกงของเขาขึ้นเพื่อดูบริเวณที่อักเสบ ก่อนจะถามขึ้นว่า “ในบ้านมีเหล้าหรือเปล่า?”
ในความทรงจำ นางจำได้ว่าลู่อี้มักจะชอบดื่มเหล้า เพียงแต่เดิมทีเจ้าของร่างเดิมไม่เคยสนใจเรื่องภายในบ้าน จึงไม่รู้ว่าเหล้าอยู่ที่ไหน
“มีเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นตอบด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “ข้าจะไปหยิบมาให้นะเจ้าคะ”
เหล้าที่ลู่จื่ออวิ๋นหยิบมานั้นถูกบรรจุอยู่ในถังไม้ไผ่
มู่ซืออวี่ลองเปิดดม กลิ่นนี้ดูจืด ๆ เล็กน้อย เทียบไม่ได้กับเหล้าสมัยใหม่เลยสักนิด แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย อย่างไรเสียก็ต้องฆ่าเชื้อสักหน่อย
“ซี้ด…” ลู่ฉาวอวี่รู้สึกเจ็บขึ้นมา
“เจ็บรึ?… อดทนหน่อยนะ”
มู่ซืออวี่มองไปยังสายตาที่เต็มไปด้วยความน่าสงสารของเขา
“ไม่เจ็บ”
แต่ความเจ็บปวดเหล่านี้มันอะไรกัน
ทว่าแววตาของลู่ฉาวอวี่ยังคงเฉียบคมและแน่วแน่
ในขณะที่ดวงตาของลู่จื่ออวิ๋นค่อย ๆ แดงก่ำขึ้นมา เด็กหญิงตัวน้อยสูดหายใจฟุดฟิดกลั้นน้ำตาเอาไว้
“ข้าเคยบอกใช่หรือไม่ ปล่อยให้น้ำตาไหลเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในโลก” ลู่ฉาวอวี่ส่งสายตาเคร่งขรึมไปที่ลู่จื่ออวิ๋นที่ดูเหมือนจะร้องแต่ก็ไม่ร้อง
ครั้นเห็นลู่ฉาวอวี่ยามนี้แล้ว หาความเชื่อมโยงระหว่างเขากับเด็กห้าหนาวไม่ได้จริง ๆ
เมื่อฆ่าเชื้อเสร็จสิ้นแล้วก็ให้ยา แต่มู่ซืออวี่ไม่ได้พันแผลให้ลู่ฉาวอวี่ นางอธิบายว่า “ช่วงนี้ไม่ต้องออกไปด้านนอก ตราบใดที่เจ้าไม่ไปแตะต้องแผล มันก็จะไม่แย่ลง หากพันแผลจะทำให้อักเสบง่ายเสียเปล่า ๆ”
“อืม…” ลู่ฉาวอวี่ตอบรับเพียงหนึ่งคำ
“นังอ้วน! นี่เจ้าต้องให้คนแก่มาหาถึงที่เรอะ!” เสียงแผดแหลมทำลายความเงียบพร้อมกับเสียงเตะประตู
มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว “คนที่ต้องมาก็มาถึงแล้ว พวกเจ้าอยู่ในนี้ ห้ามออกไปไหน ประเดี๋ยวจะโดนลูกหลงเอา”
“นางอาจทุบตีท่านนะ” ลู่จื่ออวิ๋นหันมาหาด้วยความกังวลใจ
มู่ซืออวี่ก้มลงลูบแก้มของลู่จื่ออวิ๋นพร้อมกับพูดว่า “เมื่อก่อนข้าก็ตีเจ้า เหตุใดเจ้าถึงห่วงใยข้าเล่า?”
“ก็… วันนี้ท่านไม่ได้ตีข้า” ลู่จื่ออวิ๋นถึงกับทำอะไรไม่ถูก
“แต่ว่าเมื่อก่อนข้ามักจะตีเจ้า ทั้งยังไม่ให้เจ้ากินอะไร เจ้าไม่เกลียดข้ารึ?” มู่ซืออวี่ถามขึ้นอีกครั้ง
“ข้า…” ลู่จื่ออวิ๋นหันมองไปทางลู่ฉาวอวี่
ลู่ฉาวอวี่มองมาด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่พูดจาอะไร
ลู่จื่ออวิ๋นคว้ามุมเสื้อของอีกฝ่าย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลนั้นแสดงถึงความคาดหวัง “ถ้าอย่างนั้น ต่อไปนี้ท่านไม่ตีข้าแล้วได้หรือไม่? มันเจ็บมากจริง ๆ”
มู่ซืออวี่ถอนหายใจเบา ๆ
ลู่จื่ออวิ๋นยังเด็กนัก ยังไม่เข้าใจถึงความเคียดแค้น ดวงตาช่างบริสุทธิ์ราวกับผิวน้ำของทะเลสาบหลังฝนตก บริสุทธิ์เสียจนสะท้อนความอัปลักษณ์ของผู้อื่นได้
“อยู่ในนี้ อย่าออกไป” มู่ซืออวี่ไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นอีก
ไม่ว่าจะพูดเพียงใด สองพี่น้องผู้ได้รับบาดเจ็บมาหลายครั้งก็ไม่เชื่อนางง่าย ๆ อยู่ดี ให้การกระทำในอนาคตพิสูจน์ยังจะดีเสียกว่า หลังจากนี้นางจะกลับเนื้อกลับตัวจากการเป็นคนชั่วร้ายกลายเป็นคนดี
เสียงก่นด่าข้างนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับเสียงฟ้าร้อง ประหนึ่งว่ามันกำลังจะระเบิดขึ้นมาที่นี่ ใครจะเชื่อว่าเสียงนี้มาจากหญิงชราวัยหกสิบ
มู่ซืออวี่เปิดประตูแล้วเดินออกไปเผชิญหน้ากับหญิงชราที่กำลังโกรธจัด นางเผยรอยยิ้มสดใสแล้วกล่าวว่า “อะไรพาท่านย่ามาถึงที่นี่ ท่านคงได้ยินว่าเสี่ยวอวิ๋นของเราได้รับบาดเจ็บจึงมาเยี่ยมไข้ แต่ท่านย่า เหตุใดท่านถึงมาเยี่ยมคนเจ็บมือเปล่าเล่า?”
“หึ! อีเวรตัวหนึ่งมันอยากให้ข้ามาเยี่ยม มันกล้านักหรือ” ร่างอ้วนของแม่เฒ่าเจียงยืนอยู่กลางลานบ้าน นางชี้ไปที่มู่ซืออวี่แล้วด่าทอ “ข้าถามเจ้า เจ้าตีเจียวเอ๋อร์รึ ตีแล้วทำเป็นไขสือ ทั้งยังด่าพวกข้าว่าเป็นหมา ข้าให้เจียวเอ๋อร์ไปเอาไก่ แต่เจ้ากลับไม่ให้ข้า ไม่ตีเจ้าสามวันสงสัยจะคันผิวแล้วสินะ!”
มู่ซืออวี่มองใบหน้าดุร้ายของแม่เฒ่าเจียวราวกับว่านางเห็นเจ้าของร่างเดิม เมื่อพูดถึงรูปร่างหน้าตา เจ้าของร่างเดิมคือคนที่คล้ายกับแม่เฒ่าเจียงมากที่สุด แต่นางกลับได้รับความรักความเอาใจใส่น้อยที่สุด
แม่เฒ่าเจียงดูถูกมู่ซือเจียวเช่นนี้ แต่ลับหลังนางกลับไม่ได้โกรธอะไร นางรอให้แม่เฒ่าเจียงพูดจบแล้วตอบทีละคำถาม
“อย่างแรก ข้าไม่ได้ตีมู่ซือเจียว นางจะตบข้า แต่ข้าหลบเลี่ยง นางจึงตีข้าแทน ท่านไม่ควรมาสนใจข้า มู่ซือเจียวเป็นหลานของท่าน แต่ข้าเป็นแค่คนไม่มีค่าในสายตาของท่าน ประการที่สอง ข้าแค่บอกว่าเด็ก ๆ ที่บ้านกำลังรออาหาร ไม่อาจโยนอาหารออกไปให้หมากิน ข้าก็ไม่ได้เรียกสกุลของท่านว่าหมาด้วย เว้นแต่ท่านไม่สนใจความเป็นความตายของบ้านเรา ต้องการเพียงแค่หยิบอาหารเข้าปาก ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่มีทางเลือก เหตุใดข้าต้องเอาไก่ให้พวกท่าน ข้าเป็นหนี้ไก่ท่านรึ?”
“ดี! นังอ้วน! เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็ง ไม่ฟังข้าพูดแล้ว จะให้หรือไม่ให้ หากไม่ให้ข้าจะตีเจ้า!” แม่เฒ่าเจียงเอ่ยขึ้นพลางหยิบไม้ที่อยู่ข้าง ๆ กายปรี่มาหามู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่เห็นนางวิ่งเข้ามาหาก็ขมวดคิ้ว และในจังหวะนั้น แม่เฒ่าเจียงก็เขวี้ยงไม้ออกมา
มือของมู่ซืออวี่เขียวช้ำ สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ท่านพอเถิด!”
นางคว้าไม้แล้วขว้างลงบนพื้นอย่างแรง
“ข้าไม่ได้เป็นหนี้อะไรท่าน ท่านไม่มีสิทธิ์มาดูดเลือดข้า มาคุยกันให้กระจ่างเถิด ต่อจากนี้ไป อย่ามาเอาของที่บ้านข้าอีก ข้าไม่ให้แล้ว!”
“เจ้ากล้าไม่ให้รึ! ข้าเป็นย่าของเจ้า เจ้ามันอกตัญญู” แม่เฒ่าเจียงพูดออกมาอย่างชั่วร้าย น้ำลายต่างก็กระเด็นเต็มหน้านาง
มู่ซืออวี่รู้สึกขยะแขยงเป็นอย่างมาก นางคิดหาวิธีพาคนคนนี้ออกไป จะปล่อยให้โดนเอาเปรียบไม่ได้
ในเวลาเดียวกันนี้มีเสียงไก่ขันดังมาจากเล้าไก่ แม่ไก่ที่เพิ่งออกไข่ก็กระพือปีกบินออกมา สายตาของแม่เฒ่าเจียงจดจ้องอยู่ที่แม่ไก่ หญิงชราเลิกยุ่งกับมู่ซืออวี่ พุ่งตัวไปที่แม่ไก่ทันที
มู่ซืออวี่เหยียดขายาวรีบก้าวออกไป
แม่เฒ่าเจียงล้มลงที่พื้นดังโครมจนพื้นสั่น ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องดังลั่น
“ไอ้หยา… ท่านย่าเป็นอะไรไป ข้าบอกท่านว่าอย่าแตะต้องของที่ไม่ใช่ของท่านไม่ใช่หรือ ตอนนี้ท่านได้รับผลกรรมแล้วหรือยัง” มู่ซืออวี่พูดพลางช่วยแม่เฒ่าเจียงให้ลุกขึ้น แต่มือของนางลื่น หญิงชราที่เพิ่งลุกขึ้นได้ครึ่งหนึ่งจึงล้มลงไปอีกครั้ง
เสียงโครมครามดังขึ้นอีกครั้ง
“โอ๊ย!!” แม่เฒ่าเจียงแผดเสียง
“ท่านย่า! ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้าขอโทษ ข้าคงหิวเกินไป ไม่มีแรงช่วยท่านเสียนี่ ท่านย่าดูสิ ของในบ้านข้าไม่ใช่ของของท่าน ท่านเอาไปไม่ได้ เช่นนี้ท่านก็ควรกลับไปได้แล้วไม่ใช่หรือ”
“นังอ้วน! เจ้าตั้งใจให้เป็นเช่นนี้รึ” แม่เฒ่าเจียงยันพื้นขึ้นมา สายตาราวกับมีดที่กำลังเชือดเฉือนมู่ซืออวี่
“ท่านย่า ท่านทำผิดต่อข้าได้อย่างไร ท่านมาที่บ้านข้าเพื่อปล้นของจากบ้านข้า อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ตอนนี้ข้าเป็นหลานสาวที่ออกเรือนแล้ว ในสมองของข้าเขียนไว้ว่าข้าไม่ใช่คนที่ท่านจะสั่งได้แล้ว”
“ไอ้หยา… ไอ้หยา… นังเด็กไม่รักดี นังอ้วน! เจ้าข้าเอ้ย… นังอ้วนคนนี้จะทำร้ายท่านย่าอันเป็นที่รักของนางแล้ว รีบเข้ามาช่วยข้าเร็ว!” แม่เฒ่าเจียงตะโกนขึ้น
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นมาจากหน้าประตู
แม่เฒ่าเจียงและมู่ซืออวี่ต่างหันไปมองพร้อมกัน
ชายร่างสูงคนหนึ่งยืนตรงอยู่ที่ประตู ข้าง ๆ กันนั้นเป็นชายตัวผอมแลดูป่วยหนักบนรถเข็น