สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1100 ตอนพิเศษ (6)
บทที่ 1100 ตอนพิเศษ (6)
จงซู่เกินเหลียวมองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ที่นี่ไม่มีสุขานี่!”
“เรื่องที่ข้าพึ่งเอ่ยเมื่อครู่ท่านจำได้กระมัง? ท่านหาคนได้สักกี่คน” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ยถาม
“อ้อ? ก่อนหน้านี้ข้าเคยเป็นช่างกระเบื้อง รู้จักพี่น้องที่ทำงานเป็นคนงานระยะยาวในเมืองอยู่หลายคน”
“เช่นนั้น ท่านไปหามาสักสองสามคน…”
ลู่ฉาวจิ่งโน้มตัวเขาไปกระซิบข้างหูจงซู่เกินเป็นประโยคยาว ๆ ประโยคหนึ่ง
จงซู่เกินมีสีหน้าลังเลใจ “หากถูกพบเล่า…”
“ร้านขายยานั่นขายยาปลอม ท่านรู้ผลที่ตามมาหรือไม่? ไม่ต้องกล่าวถึงว่าพวกคนมั่งมีจะเป็นอย่างไร เพราะกว่าชาวบ้านที่อัตคัดขัดสนจะรวบรวมเงินมาซื้อยาได้ย่อมไม่ง่าย ผลที่ได้กลับซื้อยาปลอม ใช้ไม่ได้ผลนั้นไม่ต้องเอ่ยถึง แต่ยังเป็นไปได้ว่าหลังกินยาปลอมลงไปแล้วอาการจะยิ่งทรุดหนัก สุดท้ายก็ตายไป นายอำเภอของที่นี่เป็นพี่ชายภรรยาของคหบดีจาง แสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้น่าสงสัย หากรายงานทางการก็เกรงว่าจะเกิดการสมคบคิดของพ่อค้ากับขุนนาง มีเพียงให้ชาวบ้านรู้เรื่องนี้ด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะมีคนรอดพ้นจากการทำร้ายของพวกเขามากขึ้น”
“พี่ใหญ่ลู่ สมองเจ้ายอดเยี่ยมจริง เพียงแต่พี่น้องของข้าเหล่านั้นล้วนแต่เป็นคนซื่อสัตย์ พวกเขาอาจไม่มีคุณสมบัติในการรับหน้าที่สำคัญเช่นนี้”
“ท่านเรียกพวกเขาออกมาก่อน ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า”
ร้านเต้าฮวย หยางชิงซือกำลังกินเต้าฮวย เมื่อเห็นว่าหลิวจิ่วจู๋ไม่ขยับช้อนจึงเอ่ยถาม “เจ้าไม่ชอบกินหรือ?”
“เหตุใดพวกเขายังไม่กลับมาอีก?”
“โถ่เอ๊ย ข้าว่าเขาท้องเสีย คงต้องใช้เวลาสักพัก คราวก่อนพวกเรากินเห็ดผิดเข้าไปจนท้องเสียก็ได้แต่นั่งยอง ๆ อยู่ในสุขา เจ้าลืมแล้วหรือ?”
หลิวจิ่วจู๋พึมพำ “ของที่กินวันนี้ไม่น่ามีปัญหา ของที่เขากินข้าก็กิน ข้าไม่ได้ท้องเสีย”
“ร่างกายบุรุษสตรีไม่เหมือนกัน อีกอย่าง เพียงแค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่นี่ ยังปรับตัวไม่ได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา”
“กล่าวเช่นนี้ก็ถูก” หลิวจิ่วจู๋เอ่ย
“จู๋จือ เจ้าคิดดีแล้วจริง ๆ หรือ?” หยางชิงซือกล่าว “เจ้าซื้อบุรุษกลับมาแต่งเข้าบ้านส่ง ๆ เช่นนี้ หากเขาเป็นคนไม่ดี เจ้าจะเดือดร้อนได้นะ! เจ้าก็เห็นแล้ว กระทั่งคหบดีจางยังไม่กล้าแตะต้องเขา เขาโหดเหี้ยมเพียงนั้น คิดจะจัดการเจ้ายังไม่ง่ายดายอีกหรือ?”
“ข้าคิดดีแล้ว” หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “ยิ่งโหดเหี้ยมยิ่งดีน่ะสิ! เช่นนี้เขาถึงจะปกป้องข้าได้ นอกจากนี้ เขาโหดเหี้ยมกับคนไม่ดีเท่านั้น ไม่ได้โหดเหี้ยมกับข้า อย่างอื่นไม่ต้องเอ่ยถึง เขาโหดเหี้ยมกับเจ้าหรือ? โหดเหี้ยมกับพี่ซู่เกินหรือ?”
หยางชิงซือคิดอยู่พักหนึ่งจึงพยักหน้า “เจ้าพูดถูก เรื่องเมื่อครู่นี้ หากไม่ใช่เพราะเขา เดิมทีเจ้าก็ไม่มีทางได้เงินมากเพียงนั้น เจ้าคิดดูซี เมื่อก่อนพวกเขาให้เจ้าสิบห้าอีแปะ ตอนนี้กลับจะให้เจ้าเพียงแค่สิบอีแปะ ชักจะรังแกคนเกินไปแล้ว”
“ข้าจะไปดูสักหน่อย เหตุใดเขายังไม่กลับมาอีก?”
“โถ่เอ๊ย พี่ซู่เกินตามเขาไป เจ้ายังกลัวเขาจะไปหกล้มอยู่อีกหรือ? พอแล้ว รออยู่นี่เถอะ! เขาเป็นบุรุษ เจ้าเป็นสตรีผู้หนึ่งไปหาจะเหมาะสมหรือ?” หยางชิงซือเอ่ยถึงตรงนี้แล้วมองนางด้วยสายตาสงสัย “พวกเจ้าร่วมหลับนอนกันแล้วหรือ?”
หลิวจิ่วจู๋กะพริบตาปริบ “ร่วมแล้วสิ!”
“ร่วม…” หยางชิงซือพรวดพราดลุกขึ้นยืน เมื่อพบว่าผู้อื่นมองนางแปลก ๆ จึงนั่งลงดังเดิม
นางโน้มตัวเข้าไปหา ลดเสียงลงเอ่ย “เจ็บหรือไม่?”
หลิวจิ่วจู๋ยังไม่เข้าใจ “เหตุใดต้องเจ็บ?”
“พวกเจ้าไม่ใช่ร่วมหลับนอนกันแล้วหรือ? ครั้งแรก… ครั้งแรกคงเจ็บกระมัง? ข้าได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านว่าไว้” หยางชิงซือหน้าแดงแจ๋ “โอ๊ย ข้ายัง… ข้ายังเป็นสาวบริสุทธิ์นะ เหตุใดเจ้าต้องมาพูดเรื่องเหล่านี้กับข้า?”
หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “ไม่ใช่เจ้าเป็นคนหยิบยกขึ้นมาหรือ? อีกอย่าง เพียงแค่หลับนอนอยู่ในห้องเดียวกัน เหตุใดต้องเจ็บด้วย?”
หยางชิงซือ “…”
นางสังเกตหลิวจิ่วจู๋ พบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ดูเขินอายแม้เพียงนิดจึงเริ่มสงสัยว่า ความหมายของคำว่า ‘ร่วมหลับนอน’ นี้ไม่เหมือนกับที่ตนจินตนาการไว้ใช่หรือไม่
“พวกเจ้าร่วมหลับนอนแล้วทำอะไรกัน?”
“ก็นอนหลับน่ะซี!”
“ก่อนนอนหลับเล่า?”
หลิวจิ่วจู๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “พูดคุยกันเพียงไม่กี่คำ จากนั้นก็หลับไปแล้ว”
หยางชิงซือกลอกตา
ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว คุยอยู่ครึ่งค่อนวันสุดท้ายไม่ต่างอะไรจากการที่ไก่คุยกับเป็ด
อย่างไรก็ตาม หลิวจิ่วจู๋ก็นับได้ว่าเป็นสาวงามลือชื่อของที่นี่เช่นกัน นางมีดวงตาเมล็ดซิ่งกลมโต ริมฝีปากเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม ถึงแม้จะเตี้ยไปสักหน่อย ทว่าทรวดทรงกำลังดี ที่ควรผอมก็ผอม ที่ควรมีเนื้อก็มี ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเพียงใดปรารถนานาง ลู่ฉาวจิ่งผู้นั้นหน้าตาไม่หล่อเหลา สถานะหรือก็ต่ำต้อย ได้พบกับ ‘ชิ้นเนื้อ’ เช่นนี้กลับไม่แตะต้องแม้แต่น้อย อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร
อย่างไรเสีย แม้จิ่วจู๋จะไม่ประสีประสา ทว่าบุรุษผู้นั้นจักต้องรู้เป็นแน่ หากเขาคิดจะทำอะไร นั่นก็ง่ายดาย ถึงอย่างไรสาวน้อยผู้นี้ก็โง่เขลาจนน่าสงสาร
“เกิดเรื่องแล้ว ๆ” มีคนวิ่งเข้ามา “ร้านยาผิงจี้ทางนั้นเกิดเรื่องวุ่นวายแล้ว”
ลูกค้าที่กำลังกินเต้าฮวยเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“ร้านยาผิงจี้ทางนั้นพังหมดแล้ว มีคนกลุ่มหนึ่งไปสร้างปัญหา ทะเลาะกับเจ้าของร้าน พวกท่านลองเดาดูสิว่าเป็นอย่างไร? ตอนที่พวกเขาบุกเข้าไปก็เห็นคนงานของร้านยากำลังทำยาปลอมอยู่ที่สวนด้านหลังน่ะซี”
“ว่าอย่างไรนะ?”
“ตอนนี้คนมากมายกำลังไปเอะอะโวยวายอยู่ที่นั่น!”
“ไป พวกเราไปดูกันเถอะ”
หยางชิงซือลากหลิวจิ่วจู๋ไป “พวกเราก็ไปดูเถอะ”
“สามียังไม่กลับมาเลยนะ!”
“โถ่เอ๊ย เขากลับมาแล้วก็จะรอเราอยู่ที่นี่” หยางชิงซือเอ่ย “ร้านยากำลังทำยาปลอม เรื่องวุ่นวายใหญ่โตเช่นนี้จะไม่ไปดูได้อย่างไร?”
“มีอะไรหรือ?” ลู่ฉาวจิ่งกับจงซู่เกินเดินเข้ามา
จงซู่เกินเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่รู้ว่ากำลังมองหาอะไร
ความสนใจของหยางชิงซือล้วนจดจ่ออยู่กับความครึกครื้นจึงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเขา
“ได้ยินว่าร้านยาผิงจี้ทางนั้นเกิดเรื่องแล้ว พวกเรากำลังจะไปดูน่ะ”
“พวกเราพึ่งมาจากที่นั่น” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “คนก่อปัญหาเหล่านั้นไปหมดแล้ว ไปตอนนี้ก็ไม่เห็นอะไร”
“พวกเจ้าไปที่นั่นได้อย่างไร?” หยางชิงซือเอ่ยถาม “เพียงแค่ไปห้องสุขาไม่ต้องถ่อไปไกลเพียงนั้นกระมัง?”
“ข้ารู้สึกปวดท้องจึงคิดจะไปซื้อยาที่ร้านขายยาสักหน่อยเลยไปที่นั่น”
“เจ้ามีเงินค่าตรวจอาการหรือ?”
“สหายจงเป็นคนดี เขาบอกว่าจะให้ข้ายืม เพียงแต่พึ่งไปถึงที่นั่นก็เห็นคนกำลังเอะอะโวยวายจึงไม่ได้ซื้อยาแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หยางชิงซือนึกสนใจใคร่รู้จึงเขย่าแขนจงซู่เกิน “เล่าหน่อยสิ ผู้ใดก่อเรื่อง เหตุใดจึงก่อเรื่อง? หลังจากก่อเรื่อง ทางนั้นเป็นอย่างไรแล้ว?”
จงซู่เกินอึก ๆ อึก ๆ พูดไม่ออก
ลู่ฉาวจิ่งกล่าวต่อไป “สหายจงคงตกใจแล้ว ยังคงให้ข้าเล่าเถอะ…”
จงซู่เกิน “…”
คนผู้นี้เป็นคนดีหรือเป็นคนเลวกันแน่?
เมื่อนึกถึงฉากเมื่อครู่นี้ จงซู่เกินพลันสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
หากคนผู้นี้เป็นคนเลว เช่นนั้นนับประสาอะไรกับหลิวจิ่วจู๋สาวน้อยผู้หนึ่ง เกรงว่าแม้กระทั่งเขาบุรุษตัวโตผู้นี้ก็คงทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น คนผู้นี้ฉลาดเกินไป ฉลาดเสียจนน่ากลัว
ทว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่เพียงฉลาดเท่านั้น แต่อีกฝ่ายฝีมือยังดีอีกด้วย จังหวะนั้นอยู่ห่างไกล เขาอาศัยเพียงหินก้อนเล็ก ๆ ก้อนเดียวบนพื้นก็ยังสามารถจัดการกับคนงานร้านยาได้ ทำให้ผู้จัดการร้านยายอมควักหนึ่งร้อยตำลึงเงินให้อย่างว่าง่าย
แต่คนผู้นี้ก็มีน้ำใจต่อพวกพ้องมากเช่นกัน เมื่อครู่พี่น้องเหล่านั้นร่วมมือกับเขาแสดงละครฉากหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าแต่ละคนจะได้ค่าตอบแทนคนละสิบตำลึงเงิน เห็นได้ว่าคนผู้นี้คบค้าเป็นสหายนั้นดี แต่ไม่อาจเป็นศัตรูได้เป็นอันขาด