สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 1101 ตอนพิเศษ (7/1)
บทที่ 1101 ตอนพิเศษ (7/1)
“จริงสิ ข้ามีสิบตำลึงเงิน เจ้ารับไว้สิ” ลู่ฉาวจิ่งส่งเงินให้กับหลิวจิ่วจู๋
หลิวจิ่วจู๋มองสิบตำลึงเงินนั้นแล้วหันกลับไปมองลู่ฉาวจิ่งด้วยความประหลาดใจ “เจ้าไปเอาเงินมาจากที่ใด?”
นางซื้อเขามา ตั้งแต่หัวจรดเท้ามีเพียงเสื้อผ้าชุดหนึ่ง เดิมทีก็ไม่มีของอย่างอื่น
ลู่ฉาวจิ่งกล่าวโดยไม่แม้แต่เปลี่ยนสีหน้า “เมื่อครู่ระหว่างทางกลับ มีเศรษฐีผู้หนึ่งถูกอันธพาลเจ้าถิ่นสร้างปัญหาให้ ข้ากับพี่ใหญ่จงเข้าไปช่วย พวกเขาจึงให้เงินเราคนละสิบตำลึง ใช่หรือไม่ พี่ใหญ่จง?”
ลู่ฉาวจิ่งจ้องมองจงซู่เกินด้วยรอยยิ้ม
จงซู่เกิน “…”
เมื่อเผชิญหน้ากับหลิวจิ่วจู๋ที่จ้องมองมาอย่างสงสัยกับดวงตาลุกเป็นไฟของหยางชิงซือ เขาก็พยักหน้าอย่างกล้าหาญ
“เศรษฐีผู้นี้ใจกว้างเกินไปแล้ว” หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “พบเห็นความไม่เป็นธรรมย่อมต้องชักดาบออกมาช่วยเหลือ เจ้าช่วยเขาเป็นเรื่องที่ควร ไม่ควรรับเงินมา นอกจากนี้ เงินสิบตำลึงก็มากเกินไป”
“ข้าก็บอกเช่นนั้น ทว่าอีกฝ่ายยืนกรานจะตอบแทนพวกเรา พวกเราไม่มีวิธีปฏิเสธน้ำใจของเขาจริง ๆ” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “เอาละ พวกเราไปซื้อข้าวซื้อหมี่กันเถอะ!”
“ใช่ พวกเราไปซื้อของกัน” หยางชิงซือคว้าแขนหลิวจิ่วจู๋มากอด “เศรษฐีไม่ขาดแคลนเงิน นอกจากนี้ หากอีกฝ่ายยืนกรานจะให้ พวกเขาไม่รับไว้ เศรษฐีก็จะยังคิดว่าพวกเขาโลภอยากได้อย่างอื่นน่ะสิ”
ทั้งสี่คนไปซื้อข้าวและหมี่ กับของใช้จำเป็นอื่น ๆ จากนั้นก็กลับไปยังที่ที่จอดเกวียนไว้ วางข้าวของลงในนั้น
สตรีในหมู่บ้านคนอื่น ๆ ทยอยกลับมา เมื่อเห็นพวกเขาขนข้าวของมามากมาย แต่ละคนต่างอิจฉาตาร้อน
“จิ่วจู๋ ท่านย่าเจ้าไม่อยู่แล้ว เหตุใดเจ้าจึงใช้เงินมือเติบเพียงนี้?” หญิงนางหนึ่งเอ่ยขึ้น “ข้าวและหมี่เยอะเพียงนี้ จ่ายเงินไปไม่น้อยกระมัง?”
หลิวจิ่วจู๋หน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง “ข้า…”
“จิ่วเอ๋อร์” ลู่ฉาวจิ่งเรียกนาง “ในเมื่อเป็นคนรู้จักกันก็ควรแนะนำสามีสักหน่อยหรือไม่?”
สิ้นคำ เขาก็เผยรอยยิ้มดูมีลับลมคมในออกมา
สตรีหลายคนนั้น “…”
ไม่ พวกนางไม่อยากจะรู้จักแม้แต่น้อย
“ได้ยินแล้ว ได้ยินว่าวุ่นวายใหญ่โตเชียวล่ะ…”
สตรีหลายคนนั้นพูดคุยซุบซิบกันเรื่องร้านยาผิงจี้ ไม่สนใจหลิวจิ่วจู๋กับลู่ฉาวจิ่งอีก
หลิวจิ่วจู๋ถอนหายใจออกเบา ๆ
“จิ่วเอ๋อร์ เจ้านั่งตรงนี้ ข้าจะนั่งตรงที่นั่งเจ้า” ลู่ฉาวจิ่งกล่าว
“ได้”
ลู่ฉาวจิ่งเปลี่ยนตำแหน่งกับหลิวจิ่วจู๋ ชาวบ้านข้าง ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาเสียด้วยซ้ำ
เหตุใดคนผู้นี้จึงดูโหดร้ายเช่นนี้เล่า?
คนผู้นี้คงไม่ได้เป็นฆาตกรมาจากที่ใดกระมัง?
ล่วงเกินไม่ได้ ๆ
เกวียนกลับมาถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านลงจากเกวียนคนแล้วคนเล่า ไม่แม้แต่จะทักทายกัน เพียงหยิบข้าวของของตนแล้วจากไป
จงซู่เกินเอ่ย “สหายลู่ ภายหน้าท่านไปตลาด ข้าจะไม่คิดค่านั่งเกวียนท่าน”
“ได้สิ!” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “วันนี้ขอบคุณท่านกับแม่นางหยางแล้ว”
หยางชิงซือเอ่ย “จู๋จือกับข้าเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันมาหลายปีแล้ว ท่านยังต้องเกรงใจหรือ?”
หลังจากหยางชิงซือกับจงซู่เกินจากไปแล้ว ลู่ฉาวจิ่งก็ช่วยหลิวจิ่วจู๋ขนข้าวของต่าง ๆ
พวกเขาซื้อข้าวและหมี่มาไม่น้อย พอที่จะกินไปได้อีกหนึ่งเดือน
หลิวจิ่วจู๋มองถังที่เต็มไปด้วยข้าวและหมี่ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
นอกจากข้าวและหมี่แล้ว ยังมีเครื่องปรุงรสต่าง ๆ
หลิวจิ่วจู๋วางเสื้อผ้าที่พึ่งซื้อมาใหม่ไว้เบื้องหน้าลู่ฉาวจิ่งแล้วกล่าว “เจ้าใส่ชุดใหม่ดูสิ!”
“ได้”
“ฟ้ายังไม่มืด ข้าจะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเพิ่ม” หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “เพียงแต่เกิดเรื่องกับร้านยาผิงจี้ เกรงว่าจะไม่มีร้านยาในเมืองรับซื้อยาแล้ว คราวหน้าพวกเราต้องไปขายที่ร้านขายยาในเมืองที่ไกลออกไป”
“เจ้าวางใจ ราคาในเมืองย่อมสูงขึ้น”
“จะว่าไปก็ใช่”
หลิวจิ่วจู๋เป็นคนมองโลกในแง่ดีผู้หนึ่ง กังวลเพียงไม่กี่อึดใจ ไม่นานความกังวลก็กลายเป็นความยินดี นางผ่อนคลายลงแล้ว
หลังจากหลิวจิ่วจู๋ออกไป ใบหน้าของลู่ฉาวจิ่งก็เต็มไปด้วยความกังวล
ทั้งอำเภอมีเพียงถนนสามเส้น เศรษฐกิจไม่ดีนัก ร้านค้าก็มีไม่มาก สถานที่เช่นนี้ไม่มีทางมีร้านสาขาของสกุลลู่ ไม่ว่ามารดาเขาจะมีความสามารถเพียงใดก็ไม่อาจทำกิจการไปทั่วทุกมุมโลกได้
คราวหน้าไปร้านยาในเมือง บางทีอาจมีโอกาสอื่น ถึงแม้ที่นั่นจะไม่มีคนของมารดาเขา อย่างน้อยหากมีกองคาราวานผ่านมาก็สามารถส่งข่าวไปยังเมืองหลวงได้
หลิวจิ่วจู๋สะพายตะกร้าขึ้นไปบนเขา
คนผู้หนึ่งขวางทางเอาไว้ จ้องมองนางอย่างเยือกเย็น “เจ้าใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าใช้ชีวิตแบบใด?”
หลิวจิ่วจู๋มองสตรีตรงหน้า
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ผู้ที่คหบดีจางถูกใจตั้งแต่แรกก็เป็นเจ้า เจ้าแต่งไปอย่างว่าง่าย ได้กินดีอยู่ดีไม่ดีหรือ? แต่เจ้ากลับไปทำให้คหบดีจางขุ่นเคือง เขาจึงจับข้าไป ตอนนี้… ตอนนี้…” ฝางซิ่วหลานเริ่มร้องไห้ฟูมฟาย “คนในหมู่บ้านล้วนบอกว่าข้าเป็นรองเท้าผุพัง*[1] ถูกคหบดีจางแตะต้องแล้ว เจ้าจะให้ข้าใช้ชีวิตในหมู่บ้านต่อไปได้อย่างไร?!”
ฝางซิ่วหลานยิ่งพูดยิ่งทุกข์ใจ นางทรุดนั่งลงกับพื้น ร้องไห้โวยวายออกมา ทั้งร้องไห้ทั้งตบขา เหมือนกับหญิงปากร้ายไม่มีผิดเพี้ยน
“งานแต่งครั้งนี้เป็นท่านแม่ที่รับปาก สินสอดก็เป็นนางที่รับไป ข้าไม่ยินดี แน่นอนว่านางต้องคืนสินสอดกลับไป ได้ยินว่าหลิ่วจินเปยเสียเงินหลายสิบตำลึงเพื่อให้ได้แต่งกับเจ้า ในเมื่อเจ้ามีค่ามากเพียงนั้น ยกเจ้าใช้หนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา! ข้าเป็นเพียงลูกติดของท่านแม่ ไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ สักหน่อย ไม่อาจนำข้าไปใช้หนี้ได้กระมัง?”
“เจ้า! เจ้าทำร้ายข้า ข้าจะตีเจ้า…” ฝางซิ่วหลานพุ่งเข้าหาหลิวจิ่วจู๋
หลิวจิ่วจู๋ไม่ขยับ ทว่ามีบางอย่างขยับแล้ว นั่นก็คืองูสีแดงในเสื้อผ้าของนาง
งูแดงเลื้อยขึ้นไปบนไหล่หลิวจิ่วจู๋แล้วขู่ฟ่อ ๆ ไปทางฝางซิ่วหลาน มองนางด้วยดวงตาเยือกเย็นคู่นั้น
ฝางซิ่วหลานหยุดฝีเท้าทันที นางชะงักค้างมองงูแดงตัวนั้น
หลิวจิ่วจู๋มองฝางซิ่วหลานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าถูกคหบดีจางชิงตัวไปแล้ว ข้าเห็นใจเจ้า เพียงแต่ เจ้าโทษสามีของเจ้าที่ไร้ความสามารถ โทษครอบครัวสามีเจ้าที่ไร้ความสามารถได้ แต่โทษข้าไม่ได้ ไยข้าต้องเสียสละตนเองเพื่อช่วยพวกเจ้าด้วยเล่า? หากเจ้ายังคิดจะสร้างปัญหาให้ข้าอีก เจ้าแดงจะเป็นคนแรกที่ไม่ยอม ผู้อื่นไม่รู้ แต่เจ้าคงกระจ่างแจ้ง เจ้าแดงเป็นลูกของราชางูบนภูเขา”
ราชางูที่ว่า อันที่จริงแล้วเป็นการพูดเกินจริงของคนในท้องที่ หากกล่าวตามตรงก็คืองูเหลือมใหญ่ตัวหนึ่ง
ในตอนแรก งูเหลือมก่อให้เกิดอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงในหมู่บ้าน ทั้งหมู่บ้านจึงพยายามกำจัดมันขณะที่มันกำลังตั้งท้อง อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดรู้ว่างูตัวนั้นได้ทิ้งลูกเอาไว้
งูก็มีความนึกคิดเช่นกัน มันไปซ่อนที่ใดไม่ได้นอกจากในบ้านของหลิวจิ่วจู๋ บังเอิญท่านย่าของหลิวจิ่วจู๋เป็นหมอตำแยจิตใจดีมีเมตตาผู้หนึ่งจึงไม่ได้ทำอะไรมัน
เหตุที่ฝางซิ่วหลานรู้เป็นเพราะนางเคยเจอเจ้าแดงครั้งหนึ่งจึงคิดจะใช้จอบฆ่ามัน ผลที่ได้คือถูกเจ้าแดงกัดและถูกพิษ หากย่าของหลิวจิ่วจู๋ไม่ช่วยนางไว้ นางคงไปอีกโลกตั้งนานแล้ว
เพียงแต่สตรีผู้นี้เห็นแก่ตัวอย่างไร้ทางเยียวยา ท่านย่าของหลิวจิ่วจู๋ช่วยนางไว้ ทว่านางกลับแว้งกัด ใส่ความว่าหลิวจิ่วจู๋จงใจเลี้ยงงูให้มาทำร้ายตนเอง ขู่เอาห้าตำลึงเงินจากนาง เมื่อท่านย่าของหลิวจิ่วจู๋เห็นว่าชาวบ้านต่อว่าหลานสาวที่เลี้ยงงูพิษ นางจึงนำเงินเก็บทั้งหมดออกมาอย่างจำยอม ซึ่งนั่นเป็นเงินเพียงสองสามเหรียญ*[2]เท่านั้น
[1] รองเท้าผุพัง : หมายถึง หญิงมั่วโลกีย์
[2] รองเท้าผุพัง : 1 เหรียญ ประมาณ 150 อีแปะ 10 เหรียญ เท่ากับ 1 ตำลึง