สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派] - บทที่ 111 นางเป็นหัวหน้าครอบครัวของเรา
- Home
- สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย [农门福妻全家是反派]
- บทที่ 111 นางเป็นหัวหน้าครอบครัวของเรา
บทที่ 111 นางเป็นหัวหน้าครอบครัวของเรา
บทที่ 111 นางเป็นหัวหน้าครอบครัวของเรา
เมื่อยามอาทิตย์อัสดง ลำแสงสีทองสาดส่องลงมา โลกทั้งใบราวกับถูกปกคลุมด้วยอาภรณ์สีทองอร่าม หมู่บ้านบนภูเขาที่เงียบสงบและยากจนแห่งนี้งดงามราวกับภาพวาด
เสียงเห่าหอนของสุนัข เสียงร้องไห้ของเด็กทารก เสียงสาปแช่งและด่าทอของสตรี ทุกเสียงทำให้ภาพอันสวยงามนี้มีชีวิตชีวา
ลู่อี้แบกสัมภาระไว้บนบ่าและเดินเหินอย่างรวดเร็วราวกับบินได้
เขามีรูปร่างสูงใหญ่และสีหน้าไร้อารมณ์ แม้เขาจะดูเชยและไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป แต่ทุกการเคลื่อนไหวก็สง่างาม ไร้ซึ่งส่วนใดให้ตำหนิ
“ลู่อี้ กลับมาแล้วหรือ?”
“อืม”
“ลู่อี้ เดี๋ยวก่อน…”
อวี๋ซื่อวางทารกที่กำลังร่ำไห้ไว้ในอ้อมแขนของลูกสะใภ้ ก่อนจะรีบวิ่งออกมาหาเขา
ลู่อี้ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยความสุภาพ
“วันนี้เจ้าไม่อยู่บ้าน คงไม่รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับครอบครัวของเจ้า”
ลู่อี้ขมวดคิ้ว “เกิดสิ่งใดขึ้นหรือ?”
อวี๋ซื่อบอกเล่าเรื่องที่มู่ซืออวี่ขายสูตรหมูตุ๋นให้กับหัวหน้าหมู่บ้านและส่งต่อกิจการหมูตุ๋นให้กับหมู่บ้านแห่งนี้ แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อทุกคน ดังนั้นนางจึงไม่ได้ตำหนิสิ่งใด
“หากนางขายตำราประดิษฐ์งานไม้ให้กับคนในหมู่บ้านด้วย เราก็คงรู้สึกขอบคุณไม่น้อย แต่ในขณะที่ครอบครัวเจ้ากำลังประสบกับความยากลำบาก รู้หรือไม่ว่านางกล่าวสิ่งใด? นางบอกว่าจะส่งเสี่ยวหานเข้าไปเรียนในสำนักศึกษา”
หลังจากได้ยินอวี๋ซื่อกล่าว ลู่อี้ก็ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว
“เรื่องราวมีเพียงเท่านี้หรือ?”
“นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือ? นางแต่งเข้ามาอยู่ในครอบครัวของพวกเจ้าแล้ว ก็ไม่ควรเอาครอบครัวเดิมของตนเข้ามาลำบากผู้อื่น”
ลู่อี้จ้องมองตาเขม็งและกล่าวอย่างหมดความอดทน “นางเป็นหัวหน้าครอบครัวของเรา ดังนั้นนางมีสิทธิ์ตัดสินใจ”
เมื่อเห็นว่าการยั่วยุไม่ประสบผลสำเร็จ หญิงตรงหน้าเขาก็เบิกตากว้าง “เจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่หรือไม่?”
“พวกท่านไม่จำเป็นต้องกังวลถึงครอบครัวของเรา” ลู่อี้หมดความอดทน เขาหยิบสัมภาระและเดินจากไปทันที
หลังจากเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดฝีเท้าและเอ่ยโดยที่ไม่หันกลับมามอง “ไม่ว่าชาวบ้านจะพูดอะไร ท่านจงจำคำของข้าไว้ให้ดี ในครอบครัวของเรา นางคือหัวหน้าครอบครัว และข้าก็สนับสนุนทุกการตัดสินใจของนางอย่างไม่มีเงื่อนไข”
อวี๋ซื่อกัดฟันด้วยความเกลียดชัง
มู่ซืออวี่ขายตำราประดิษฐ์งานไม้ให้กับหัวหน้าหมู่บ้าน ได้รับเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึง แต่มู่ซืออวี่ไม่รู้ว่ามีผู้อื่นล่วงรู้เรื่องนี้ อวี๋ซื่อบังเอิญเดินผ่านบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน จึงได้ยินการสนทนาของพวกเขาพอดี เนื่องจากมองไม่เห็นผู้ใดภายนอกบ้าน พวกเขาจึงไม่รู้ว่านางได้ยินบทสนทนาทั้งหมด
แม้ตำราการประดิษฐ์งานไม้จะช่วยหาเงินให้กับทุกคน แต่เมื่อรู้ว่ามู่ซืออวี่ได้รับเงินก้อนโตขนาดนั้น ผู้ใดบ้างจะไม่อิจฉา?
เมื่อก่อนครอบครัวของอีกฝ่ายยากจนและซอมซ่อ แต่ตอนนี้กลับดีขึ้นจนน่าประหลาดใจ อวี๋ซื่อไม่อาจรู้ได้ว่าหญิงผู้นั้นเรียนรู้ทักษะเหล่านี้มาจากที่ใด จู่ ๆ ถึงกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน
“ท่านพ่อ!!” ลู่จื่ออวิ๋นมองเห็นลู่อี้กำลังหอบหิ้วสัมภาระมายังหน้าประตู จึงตะโกนขึ้นมาอย่างมีความสุข “ท่านแม่ ท่านพ่อกลับมาแล้ว”
ลู่อี้วางสัมภาระลง จ้องมองลูกสาวที่ดูเหมือนผีเสื้อกำลังโบยบินวิ่งเข้าไปในห้องครัว แล้วดึงมือหญิงที่เปื้อนไปด้วยแป้งเดินออกมา
ภรรยาแสนสวย ลูก ๆ ตัวน้อย บ้านอันแสนสงบ ความสุขนั้นแสนจะเรียบง่าย
“เจ้าหิ้วอะไรมาด้วย?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“บะหมี่ข้าว” ลู่อี้กล่าว “ที่ร้านขายอาหารวันนี้มีข้าวใหม่ ข้าเห็นว่าเม็ดมันเรียงตัวสวยเลยนำกลับมาด้วย ข้าหยิบยืมมาจากศาลาว่าการ จะนำกลับไปคืนในวันพรุ่งนี้”
ลู่ฉาวอวี่เดินออกมาจากห้อง ยื่นกระดาษในมือให้กับลู่อี้ “นี่คืองานเขียนของข้า ไม่รู้ว่าใช้ได้หรือไม่”
นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ฉาวอวี่ได้ทดลองเขียนหนังสือบนกระดาษ ไม่ว่าเขาจะดูสงบนิ่งมากเพียงใด แต่สีหน้าก็ยังปรากฏความไม่มั่นใจให้เห็น
ลู่อี้รับเอากระดาษมาพลิกดู
เขายืนนิ่งเพื่ออ่าน อ่านครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นจึงนั่งลงอ่านต่อ
มู่ซืออวี่เดินออกมาหลังจากจัดเตรียมอาหารเสร็จสิ้น นางเห็นพ่อและลูกชายกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าจริงจัง ใบหน้าของพวกเขาทั้งสองคล้ายคลึงกันอย่างมาก
“พวกเขากำลังอ่านสิ่งใดกัน?” มู่ซืออวี่กระซิบกระซาบกับลู่จื่ออวิ๋น
ลู่จื่ออวิ๋นกระซิบตอบกลับ “พวกเขากำลังอ่านสิ่งที่ท่านพี่เขียน”
“อ๋อ…” มู่ซืออวี่พยักหน้า
ลู่อี้เป็นผู้ที่มีความรู้มากที่สุดในครอบครัว ลู่ฉาวอวี่จึงชื่นชมและสนิทสนมกับพ่อของเขามากกว่าผู้ใด อีกทั้งยังต้องการได้รับคำชื่นชมจากพ่อเช่นเดียวกัน
ลู่เซวียนเดินออกมาพลางขยี้ตา บิดขี้เกียจ จ้องมองไปยังพ่อและลูกชายที่นั่งเคียงข้างกัน ณ ลานบ้าน จากนั้นจึงหันมองแม่และลูกสาวที่กำลังนั่งแทะเมล็ดทานตะวันอยู่ใต้ชายคาบ้าน
เหตุใดภาพเหตุการณ์เหล่านี้จึงดูน่าขันนัก?
“ทำสิ่งใดกันอยู่?”
“รออาหารสุก” มู่ซืออวี่ตอบ “คิดว่าตอนนี้พวกเขาจะกินลงหรือ ต้องรอสักพักก่อนแล้วกระมัง”
ลู่อี้ตกตะลึงต่อคำพูดนั้น
เดิมทีเมื่อเห็นมู่ซืออวี่สนับสนุนให้ลู่เซวียนและลู่ฉาวอวี่เขียนหนังสือ เขาคิดว่านี่เป็นเพียงการฝึกฝนรูปแบบหนึ่งจึงไม่ได้จริงจังกับมันนัก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะจริงจังกับการหาเงินบนเส้นทางนี้มาก
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ลู่ฉาวอวี่จ้องมองลู่อี้อย่างประหม่า
“จุ๊จุ๊…” มู่ซืออวี่ส่งเสียงแปลกประหลาด
“จุ๊จุ๊จุ๊ หมายความว่าอย่างไรหรือ? ลู่จื่ออวิ๋นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เหตุใดท่านแม่จึงมองท่านพี่และท่านพ่อเช่นนั้น?”
“ดูพี่ชายของเจ้าเถิด ปกติแล้วเวลาอยู่กับข้า เขาเอาแต่เผยกรงเล็บ แยกเขี้ยวดุจเสือร้าย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เป็นพ่อกลับดูราวกับลูกแมวตัวน้อย” มู่ซืออวี่กล่าวอย่างฉุนเฉียว “ใจร้ายตั้งแต่เด็ก”
“พอใจซะเถอะ อย่างน้อยเขาก็เรียกเจ้าว่าแม่” ลู่เซวียนกล่าวด้วยความพึงพอใจ “หากลูกเสือถูกทำร้ายตั้งแต่เด็ก ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไว้วางใจบุคคลผู้นั้นอีก แต่อย่างน้อยเขาก็ให้โอกาสเจ้า”
ลู่อี้ลูบศีรษะลู่ฉาวอวี่ “เจ้ายังต้องฝึกฝนให้มากขึ้น”
มู่ซืออวี่ “…”
คำพูดนี้… ช่างเป็นคำพูดที่ยอดเยี่ยม
หากเป็นนางที่กล่าวเช่นนี้ สีหน้าของเขาคงบูดบึ้ง
ลู่ฉาวอวี่ตอบกลับอย่างเชื่อฟัง “อือ”
“นี่ถือเป็นเรื่องราวที่ดี”
“ไม่ว่านางจะเอ่ยสิ่งใด ข้าก็เขียนตามที่นางเอ่ย”
มู่ซืออวี่กลอกตา “ข้าเป็นแม่ของเจ้า เรียกข้าว่านางได้อย่างไร? นางที่เจ้าว่าหมายถึงผู้ใด? น่าตีเสียจริง”
ลู่ฉาวอวี่เม้มริมฝีปากแน่นโดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
“อ่านจบแล้วใช่หรือไม่? ฉาวอวี่ ไปเรียกน้ากับยายของเจ้ามาทานอาหารเย็นที่นี่” มู่ซืออวี่กล่าว “วันนี้เราจะกินหม้อไฟ”
“หม้อไฟคือสิ่งใด?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“แล้วเจ้าจะรู้เอง”
หม้อขนาดใหญ่ถูกวางบนเตาขนาดเล็ก น้ำแกงที่ทำจากกระดูกเป็ดก็กำลังเดือดพล่านอยู่ในหม้อนั้น นี่เป็นเป็ดที่พวกเขาซื้อมาจากคนในหมู่บ้าน
วันนี้ถงซื่อเงียบขรึมกว่าปกติ นางมาที่นี่เพื่อพูดถึงเรื่องการศึกษาของมู่เจิ้งหานและลู่ฉาวอวี่ เพราะไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าลูกเขยจะมีท่าทีอย่างไร นางจึงรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
“หม้อไฟเป็นเช่นนี้เอง!” ลู่จื่ออวิ๋นกะพริบตา “หอมมากเจ้าค่ะ!”
“กินเสีย! ข้าปรุงมาตลอดทั้งบ่ายจะได้เลิศรส” มู่ซืออวี่บีบขาลู่จื่ออวิ๋น
หม้อไฟถือเป็นอาหารที่เชื่อมความสัมพันธ์อย่างหนึ่ง แม้ไม่เคยมีผู้ใดพิสูจน์ว่าความขัดแย้งสามารถสมานฉันท์ได้ด้วยการกินหม้อไฟ แต่หากจะบ่งบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลนั้นดีหรือไม่ ก็สังเกตได้จากการดูว่าพวกเขาสามารถนั่งร่วมโต๊ะกินหม้อไฟด้วยกันได้หรือไม่
“นี่คือบะหมี่ที่ข้าเพิ่งทำขึ้นมา หากอยากกินก็จงใส่ลงไปในน้ำซุป”
มู่ซืออวี่ผสมน้ำจิ้มและเครื่องปรุงทุกชนิด แล้วแสดงวิธีกินหม้อไฟให้พวกเขาดู
ในขณะนี้ทุกคนต่างถูกดึงดูดด้วยอาหารแปลกประหลาดตรงหน้า แม้แต่ลู่อี้ที่ปกติแล้วจะเฉยเมยและเคร่งขรึมก็ถูกดึงดูดเช่นเดียวกัน
“อิ่มมาก อิ่มมากเลย ท้องของข้ากำลังจะแตกแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวพลางเอื้อมมือลูบท้องของตน “ท่านแม่ หม้อไฟนี้อร่อยมาก”
“หากเจ้าชอบ ครั้งหน้าข้าจะทำให้กินอีก หม้อไฟนี้ทำได้ไม่ยาก ยังปรุงรสให้แตกต่างออกไปได้ด้วย” มู่ซืออวี่กล่าวพลางทำความสะอาดโต๊ะ
พอลู่อี้ยื่นมือเข้ามาใกล้หม้อ มู่ซืออวี่ก็ตบหลังมือของเขา “อย่าเพิ่งแตะ หม้อนี้ยังร้อนอยู่”
คว้าหม้อด้วยมือเปล่า คิดว่าตนเองเป็นวีรบุรุษที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวหรืออย่างไร?